ครั้งเมื่อผมบวช ตอน แหกพรรษา

กระทู้สนทนา
ทุกคนเคยได้ยินคำว่า การบวชนั้นว่ายากแล้ว แต่การที่จะสึกนั้นยากกว่ามั๊ยครับ
ที่ผมหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน
เนื่องด้วยเมื่อปีที่ผ่านมาเห็นว่ามีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่อง บวชๆสึกๆ ออกมาสู่สายตากัน ผมก็ได้มีโอกาสไปดูนะครับ สนุกมากบอกตรงๆว่าชอบเลยล่ะเรื่องนี้

เรื่องที่ผมจะเขียนนี้ถามว่ามันเกี่ยวกับอาถรรพ์การสึกมั๊ยมันก็เกี่ยว หรือจะมองไม่ให้มันเข้าไปเกี่ยวก็ได้แล้วแต่ความเชื่อของตัวบุคคล เนื้อเรื่องมันอาจไม่ได้หวือหวาเหมือนในหนังที่เราๆท่านๆได้ชมกัน แต่ผมก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้การอ่านเรื่องสั้นนี้มันน่าเบื่อจนกลายเป็นการท่องหนังสือเรียนไป

เอาล่ะครับ เมื่อเสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อนแล้วในระหว่างรอน้ำเดือดมาอ่านเรื่องสั้นฆ่าเวลากัน
กับเรื่องสั้นผลงานของผม ตรัยโศกชิโร่ ผู้นี้
เชิญทรรศนา ณ บัดเน้.........


หลังจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของลุงศักดิ์ผ่านพ้นไป ทุกอย่างในวัดก็กลับมาสู่ความสงบดังเดิม เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูฝน อากาศจึงค่อนข้างเย็นสบาย
ส่วนกิจนินมต์นั้นย่อมเป็นที่รู้กันของเหล่าพระเถรเณรชีทั้งหลาย ว่าในช่วงเข้าพรรษานั้นจะมีน้อยมาก ทำให้พวกเราค่อนข้างว่างกันพอสมควร

วันนี้เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กิจวัตรอย่างหนึ่งที่ต้องทำ ขาดมิได้โดยเด็ดขาด นั่นคือการเข้าร่วมสังฆกรรมฟังพระปาติโมกข์ หรือที่บรรดาผู้ทรงศีลเรียกกันสั้นๆว่า ลงโบสถ์ กล่าวคือการที่เหล่าพระสงฆ์มานั่งรวมกันโดยไม่แบ่งแยกพรรษาหรือวัดที่ตนสังกัด เพื่อร่วมฟังพระปาติโมกข์ โดยพระที่สามารถสวดได้นั้น ต้องเก่งและแม่นภาษาบาลีมากๆ

พระปาติโมกข์ที่ผมกล่าวมานั้น พูดกันแบบบ้านๆก็คือ ศีลทั้ง 227 ข้อของพระสงฆ์นั่นแหละครับ ใช้เวลาในการสวดราวๆ 1 ชั่วโมง สวดเป็นภาษาบาลีล้วนๆ เร็วปรื๋อแบบต่อเนื่อง ชนิดที่แรปเปอร์มือหนึ่งของโลกก็ต้องยอมยกนิ้วให้ เพราะเหตุนี้พระที่สามารถท่องจำและสวดได้อย่างแม่นยำจึงมีน้อยมาก ขนาดพระชั้นผู้ใหญ่บางท่านยังทำไม่ได้เลยพระรูปนั้นจึงเป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตากันอย่างเปิดเผย หลังจากเสร็จสิ้นการลงโบสถ์เป็นที่เรียบร้อย เหล่าบุตรแห่งพระพุทธองค์ทั้งหลายก็ทยอยพากันออกจากอุโบสถเพื่อเดินทางกลับวัด

"จารย์เพ้นนนนเป็นจังได๋เล่าท่าน ขรึมแท้"
ผมเอ่ยแซวหลวงพี่เพ็ญเสียงดัง หวังจะให้แกยิ้มออกมาบ้าง เพราะตั้งแต่เหตุการณ์สูญเสียลุงศักดิ์แกดูซึมๆไป หลวงพี่เพ็ญหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็เดินไปนั่งท้ายกระบะรถคันเก่าของลุงภา
"เฮ้อ...ท่าจะแย่ล่ะทีนี้ท่านนิ่มเอ้ย"
หลวงพี่หน่องกล่าว
"แย่ไรหลวงพี่ ผมงงเด้นิ"
ผมเอ่ยถามจับต้นชนปลายไม่ถูก
"หลวงพี่เพ็ญแกจะสึก"
หื้ม? จะสึก มันเรื่องอะไรกันเล่า บวชเป็นพระมาก็หลายพรรษา อยู่ๆจะสึกนี่มันต้องมีเหตุจูงใจที่รุนแรงพอตัว
"แกจะสึกทำไมอ่ะหลวงพี่ กลางพรรษาเลยเนี่ยนะ ได้ด้วยเรอะ"
ผมยังคงทู่ซี้ต่อไป
"ท่านนิ่ม กล้วยจะสุก พระจะสึกไหนเลยจะห้ามได้"
หลวงพี่หน่องกล่าวเสร็จก็เดินไปขึ้นรถ
"ใช่ๆ ไหนเลยจะห้าม วงบอยแบนด์ของพวกผมเห็นทีจะต้องยุบวงเสียแล้ว"
หลวงพี่บอลเอ่ยสำทับพลางส่ายหน้า

ตลอดทางกลับวัดที่ต้องนั่งรถร่วมครึ่งชั่วโมง หลวงพี่เพ็ญนั่งตาละห้อยไม่พูดจาปราศรัยใดๆกับใครทั้งสิ้น อาการแบบนี้มันยิ่งทำให้คนที่มีความกระตือรือล้นชอบสอดรู้สอดเห็นอย่างผมคันยิบๆไปทั้งตัว มันต้องรู้ให้ได้เหตุผลที่หลวงพี่แกจะสึก
ทั้งที่เป็นคนพร่ำสอนผมในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย แต่ทีนี้ตัวเองดันจะสึกแหกพรรษาออกไปแบบนี้ไม่ด้ายยยยยเดี้ยนไม่ยอมมมม

เมื่อถึงวัด พวกเราค่อยๆทยอยลงรถ ผมเดินปรี่ไปหาหลวงพี่เพ็ญ กะว่าต้องถามให้รู้เรื่องเป็นไงเป็นกัน หากต้องใช้กำลังห้ำหั่นกันก็ต้องยอมล่ะ
"หลวงพี่เพ็ญ!!" ผมตะโกนออกไปดังลั่นจนคนทั้งหมดพากันสะดุ้งโหยง หันมามองผมเป็นตาเดียว
"เอ่อ...มีเรื่องอะไรปรึกษาผมได้นะหลวงพี่"
ผมพูดต่อไปเสียงอ่อย ก็เป็นพระนี่ครับจะไปให้ใช้กำลังประทุษร้ายเขาเพื่อถามเรื่องราวก็ใช่ที่ หลวงพี่เพ็ญมองหน้าผมสีหน้าสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าน้อยๆแล้วเดินตรงไปหน้าห้องผม นั่งลงที่ม้าหินปลุกเสกเป็นเชิงบอกนัยๆว่า มานั่งคุยกันก่อนท่าน อะไรประมาณนั้น

จากเรื่องราวที่หลวงพี่เพ็ญเล่าให้ผมฟัง วันนั้น วันที่บรรดาญาติสนิทมิตรสหายพากันมารับศพลุงศักดิ์กลับไป พ่อของหลวงพี่แกก็มาด้วย แต่ที่มานั้นหาได้มีจุดประสงค์เพื่อมารับศพเพียงอย่างเดียว
แต่แกจะมากล่อมให้ลูกชายคนเดียวสิกขาลาเพศ ทิ้งผ้าเหลืองออกไปใส่ผ้าสีกากี ทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านแทนตน แต่หลวงพี่เพ็ญแกหาได้อยากทิ้งชีวิตบรรพชิตไปไม่ เนื่องจากเวลาอันเนิ่นนานที่แกทุ่มให้กับพระพุทธศาสนา มันได้หล่อหลอมแกให้เข้าถึงทางธรรมทั้งกายและใจไปแล้ว อีกอย่างในช่วงแรกๆของการบวชแกก็เคยคิดจะสึกออกไป แต่พอไปหาฤกษ์สึกแล้วมันหาไม่ได้ มันไม่มีฤกษ์ หากดื้อรั้นสึกออกไปอาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น
"ร้ายแรงขั้นไหนอ่ะหลวงพี่" ผมถาม
"ขั้นชีวิตเลยล่ะท่าน" หลวงพี่เพ็ญเอ่ยตอบสีหน้าไม่สู้ดีนัก

เงียบสนิทครับ บรรยากาศมาคุอย่างที่สุด ทั้งผมและหลวงพี่เพ็ญต่างก็นิ่งเงียบกันไปแบบนั้น ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าเรื่องนี้ แค่เราสองคนคงหาทางแก้ยาก ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเล็กๆดังขึ้น

"ใจ...สู้หรื้อป่าวววว ไหวมั๊ยบอกมาาาา ถ้าหิวก็ต้มมาม่าาา เสียบกาต้มน้ำร้อนนนนน"
คงไม่ต้องถามนะครับว่าเสียงใคร ลูกพี่เต้เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพลและมีกลไกรับเรื่องเขย่าขวัญชั้นเยี่ยมนั่นเอง มันเดินร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์หลังกลับจากไปเตะฟุตบอลที่โรงเรียน
"อ้าว ทำไมนั่งหน้าเครียดกันแบบนี้ล่ะครับ ไปลงโบสถ์มาไม่สนุกเหรอ เฮ้อ..เป็นพระก็งี้แหละเดี๋ยวก็ชิน"
ไอ้เต้พูดขึ้นหลังจากที่มองเห็นว่าผมกับหลวงพี่เพ็ญพากันจ้องไปที่มันเป็นตาเดียว
แทนที่จะโกรธหรือหงุดหงิด หลวงพี่เพ็ญกลับลั่นก๊ากออกมาเสียงดังจนผมสะดุ้ง
นี่แหละหนอความไร้เดียงสาของเด็กสามารถทำลายความตึงเครียดทั้งปวงลงได้อย่างสิ้นเชิง แกขอตัวไปผลัดผ้า บอกว่าเรื่องนี้จะหาทางจัดการเองให้ผมไม่ต้องเป็นห่วง

ค่ำนั้นขณะที่ให้ไอ้เต้เหยียบหลังเพื่อคลายเมื่อยขบ ผมที่คิดอะไรเพลินๆก็เอ่ยถามขึ้น
"เต้ ถ้าหลวงพี่จะสึกเอ็งจะว่าไง"
ไอ้เต้หยุดกึก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าทั้งที่ยังอยู่บนหลังผม ทำเอากระดูกแทบเคลื่อน

"มะ ไม่ได้นะหลวงพี่ จะสึกทำไม วัดนี้ไม่ดีเหรอ หรือพวกหลวงพี่หน่องแกล้งอะไรหลวงพี่ บอกผมเดี๋ยวผมจัดการให้  หรือโกรธที่เมื่อเย็นผมไม่ไปซื้อลูกชิ้นปิ้งให้ ก็ผมบอกแล้วว่าร้านมันปิด หลวงพี่จะให้ผมทำไง"
ไอ้เต้ ร้องห้ามผมเสียงเคลือ ผมรู้สึกขำปนสงสารในความคิดของมัน หันกลับไปก็พบว่ามันนั่งเบะปากน้ำตาคลอหน่วยอยู่
"เออ ไม่สึกหรอกพูดเล่น"
ผมหันกลับมากล่าวอย่างขบขัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่