[CR] PMS รีวิวการรักษาโดยไม่ใช้ยา #pms #วิธีรักษาpms #ปวดท้องประจำเดือน

วันนี้เราจะขอมาเล่าประสบการณ์ในการรักษาอาการ PMS ที่เราเป็นโดยไม่ใช้ยานะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังสู้กับอาการนี้ทุกเดือนอยู่ค่ะ 
*ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลที่เราหาอ่าน ศึกษา และได้ทดลองกับตัวเองแล้วทั้งหมดค่ะ* 
อาการที่เราเป็น
ขอเกริ่นไปตั้งแต่ต้นเลยนะคะ เราเริ่มเป็นประจำเดือนตอนอายุ 13 จำได้เลยว่าอายมากที่ต้องใส่ผ้าอนามัย อายจนถึงขั้นนอยด์ ร้องไห้ กลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นจากด้านหลังว่าที่ก้นมีอะไรนูนๆอยู่ แต่อาการอายของเรา ก็ไม่หนักเท่ากับอาการที่มาพร้อมกับประจำเดือนทุกครั้ง 

ในช่วงวัย 13 - 16 ปี เป็นช่วงที่เราจะมีอาการอ่อนเพลียในวันที่มีประจำเดือนเฉยๆ ไม่ได้มีอาการปวดท้องรุนแรงใดๆ แต่พอเราอายุได้ 17 + อาการต่าง ๆเริ่มมามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการหงุดหงิด อารมณ์เสียใส่คนรอบข้าง หิวขนมทุกชนิด สามารถกินเค้กได้หมดคนเดียว 3 ปอนด์ และที่ร้ายสุดคืออาการปวดท้องรุนแรงจนสลบไป ซึ่งมันเป็นอาการปวดท้องหนัก เหมือนท้องเสีย ร่วมกับอาการคลื้นไส้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาการนี้หนักสุด เพราะมันทำให้ชีพจรเราเต้นช้าลงจนเหมือนคนที่ใกล้จะเสียชีวิต (ที่รู้เพราะคุณแม่อยู่ข้างๆตอนที่เป็นและจับชีพจรให้ตลอด คุณแม่เคยเป็นพยาบาลค่ะ) ที่แย่ที่สุดคือ เรามีอาการแบบนี้ทุกเดือน เวลาประจำเดือนจะมาที คือเตรียมลางานไว้เลย มีอยู่ครั้ง 1 ที่ลางานไม่ได้ ไปเป็นลมที่ทำงาน ก็ต้องให้คุณพ่อไปรับกลับบ้านค่ะ 

เราพยายามรักษา ไปหาคุณหมอเพื่อตรวจดู ไม่ว่าจะเป็นการตรวจภายใน (ไม่พบอะไรผิดปกติ นอกจากถุงน้ำในรังไข่ ที่มันเริ่มฝ่อแล้ว และคุณหมอสรุปการวินิฉัยมาว่าไม่เกี่ยวกับอาการที่เป็น) การเจาะเลือด ก็ไม่พบว่าเป็นธาลัสซีเมีย (โลหิตจาง) แต่อย่างใด เราลองมาหมดทั้งการกินอาหารเสริม พวก primrose oil , folic acid วิตามินต่างๆ ลองฝึกโยคะทุกวันติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน แต่กลับทำให้อาการแย่ลง อ่อนเพลียมากขึ้น จนเราท้อใจ ปล่อยไปตามอาการ รับมือเอาอย่างเดียวเลยละกัน…

จนกระทั้งแต่งงานก็ยังเป็นแบบนี้ทุกเดือน คนรอบตัวบอกว่า เดี๋ยวแต่งงานมีลูก ก็น่าจะดีขึ้น แต่เราคิดว่า มันไม่ใช่ทางออก เพราะเราไม่ได้อยากมีลูกเพื่อมารักษาตัวเอง เรากังวลและเห็นใจสามีทุกครั้งที่ต้องมาคอยดูแลเราทุกเดือน…
ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เราทำอาชีพสอนโยคะตั้งแต่อายุ 19 และมันบั่นทอนเราทุกครั้งที่เรายังเป็นแบบนี้อยู่ เคยมีคนรู้จัก ที่เห็นอาการเราตอนเป็น พูดว่า ‘นี้ขนาดเป็นครูโยคะนะ ยังเป็นขนาดนี้เลย’ มันเลยเป็นแรงผลักดัน ให้เราอยากหายจากอาการเหล่านี้แบบจริงจังเสียที 
วิธีที่เราใช้รักษาตัวเอง
เหมือนเราจะยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะเราได้มาเจอกับครูสอนโยคะ ชาวต่างชาติสองท่าน ที่เขาเขียนเล่าเรื่องการมีประจำเดือนของตัวเองเอาไว้ และได้อธิบายในบทความให้ฟังว่า ประจำเดือนนั้นสำคัญกับผู้หญิง และมีผลต่อสังคมอย่างไร มันเปลี่ยนความคิดเรา และทำให้เรากลับมาเริ่มรักษาตัวเองอีกครั้งอย่างจริงจริง 
ซึ่งสิ่งที่เราลงมือทำ และเห็นผลจริงจัง มี 4 หมวดหมู่ด้วยกัน นั้นก็คือ 1. Mindset ทัศนคติและความเข้าใจต่อรอบเดือน  2.Yoga & Other exercise โยคะและการออกกำลังกาย 3.Food อาหารตามหลักอายุรเวท 4.Self-Care กิจวัตรประจำวันเพื่อการดูแลตัวเอง รายละเอียดตามหมวดหมู่ด้านล่างค่ะ 

1.MINDSET 
ทัศนคติและความเข้าใจต่อรอบเดือน
เราทำความเข้าใจเกี่ยวกับการมีประเดือน ตามหลักอายุรเวทก่อน ซึ่งครูทั้งสองท่านได้อธิบายตั้งแต่การมีประจำเดือนในยุคก่อนประวัติศาสต์ ไปจนถึงการใช้ชีวิตในสมัยปัจจุบัน ว่ามันส่งผลกระทบต่อวงจรการมีประเดือนของผู้หญิงอย่างไรบ้าง ตรงนี้ทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น และเริ่มที่จะปรับลดพฤติกรรมที่เป็นผลเสียกับร่างกายเราลง
นอกจากนี้ ครูทั้งสองได้อธิบายถึงรอบเดือน โดยนำมาเปรียบเทียบกับฤดูทั้งสี่ตามฝั่งตะวันตกว่า ประจำเดือนเรามี 4 ฤดูด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็น ฤดูหนาว (ในช่วงมีประเดือน วันแรกที่มีประจำเดือนจะนับเป็นวันที่ 1 ไปจนถึง 5 / 7 ตามแต่ละคนว่ามีประจำเดือนนานกี่วัน) ฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงหลังหมดประจำเดือน ต้ังแต่วันที่  7 - 14) ฤดูร้อน (ช่วงวันที่ 14 - 21) ซึ่งในแต่ละช่วงฤดูกาลของรอบเดือน ระดับพลังงาน ฮอร์โมนต่างๆก็ไม่เท่ากัน เช่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของรอบเดือน จะเป็นช่วงที่พลังงานเราเริ่มลดน้อยลง แต่การรับรู้ต่างๆกลับชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกลิ่น การมองเห็น หรือแม้กระทั้งการจับอารมณ์ความรู้สึกคนอื่นๆ และตัวเอง เราหิวมากขึ้น (เพราะร่างกายกำลังเตรียมตัวสำหรับการมีประจำเดือน) เรากลายเป็นคนปากตรงกับใจมากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งหากเรารู้ทันอารมณ์ และอาการต่างๆ เราจะสามารถรรับมือกับฤดูใบไม้ร่วงได้อย่างชาญฉลาด และไม่ตกเป็นเหยื่อของคำว่า PMS อีกต่อไป ซึ่งพอเราได้รู้ถึงพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ และวิธีรับมือล่วงหน้าแล้ว มันทำให้เราวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับแต่ละฤดูกาลได้อีกด้วย เราจะไม่เอางานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไปทำช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่จะเป็นช่วงที่เราจะปิดโปรเจ็ค หรือทำงานที่ไม่ต้องคิดมาก เป็นงานที่วางแผนมาก่อนแล้ว และเตรียมตุนขนมดีๆ ผลไม้ที่ชอบเอาไว้ตั้งแต่ก่อนช่วงนี้ เพราะเราจะหิวมากเป็นพิเศษ และทำให้กินโดยไม่มีสติได้ 555


2.YOGA & OTHERS EXERCISE
โยคะและการออกกำลังกาย
พอเราเข้าใจร่างกายตามหลักอายุรเวทแล้ว เราก็เริ่มปรับการฝึกโยคะของเราให้เข้ากับแต่ละช่วงของรอบเดือน ผสมการฝึกแบบ resistant training, pilates เข้ามาร่วมด้วยในการฝึกโยคะ  แม้กระทั้งการสอนของเราก็เปลี่ยนไป หากเราต้องสอนนักเรียนผู้หญิง เราจะถามเขาเลยว่า ประจำเดือนใกล้มาหรือยัง และช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง เพื่อให้การฝึกโยคะกับเรา ช่วยซัพพอร์ตเขาในช่วงนั้นๆ ของเดือนได้มากที่สุด ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราปลื้มใจมากก็คือ นักเรียนที่เราปรับการเรียนให้แบบนี้ มีอาการท้องบวมน้อยลง รู้ทันอารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น และเหนื่อยน้อยลง เหมือนเขาได้ใช้ชีวิตเต็มที่มากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะบวม หรือจะเหวี่ยงใครบ่อยๆ อีก >_<  ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือผลลัพธ์จากการที่เราได้ทดลองฝึกและปรับกับตัวเองมาก่อนแล้วทั้งสิ้น 
 
FOOD 
อาหารตามหลักอายุรเวท
อาหารคือปัจจัยสำคัญที่เรามองข้ามไป ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในการักษาตัวเองตลอดระยเวลาที่ผ่านมา และยังเป็นปัจจัยหลักนัมเบอร์วัน ที่ทำให้เรามีปัญหาสิวเรื้อรังมาตลอด พอเราได้ทำความเข้าใจศาสตร์อายุรเวท ทำให้เราค่อยๆปรับอาหารตามช่วงนั้นๆของเดือน และที่สำคัญที่สุดคือ เราเปลี่ยนการกิน Diet (diet ที่ไม่ได้แปลว่าการอดอาหารนะจ๊ะ แต่หมายถึงสไตล์การกิน) มาเป็น Pesceterian 
(แพซ เคอร์ เทเรียน) คือการไม่กินเนื้อหมู ไก่ วัว (สัตว์ใหญ่) แต่กินอาหารทะเล ไข่ ผัก และผลไม้ต่างๆ สำหรับตัวเราเอง การงดเนื้อสัตว์ใหญ่ ทำให้เราใจเย็นลง และที่สำคัญอาการปวดท้องน้อยหายแบบรุนแรงหายไปเลยจ้า ! ไม่อ่อนเพลียจนสลบเวลามีประจำเดือนอีกแล้ว และการงดขนมจำพวกเบเกอรี่ต่างๆ ก็ช่วงให้เราไม่โหยขนมในช่วงมีประจำเดือนอีกด้วย 
SELF CARE ROUTINE 
กิจวัตรประจำวันเพื่อการดูแลตัวเอง 
ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าคำว่าดูแลตัวเองคืออะไร เรานึกว่ามันคือการไปสปา ทำเล็บ ทำผม นวดตัวอะไรแบบนี้ 555 แต่พอได้ฟังครูทั้งสองท่านแล้ว เขาบอกว่า ที่เราพูดมาก็ถูกนะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของการดูแลตัวเอง หรือ Self Care จริงๆ การดูแลตัวเองของเขาหมายถึงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ กิจกรรมหรือ กิจวัตรอะไรที่ทำประจำ แล้วส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ เขาถือว่าเป็น Self Care หมด ยกตัวอย่างเช่น การทำงานทีละอย่าง ไม่ multitask กินไปด้วย เล่นมือถือไปด้วยก็ถือว่าเป็น Self Care นะ หรือจะเป็นการเดินออกกำลังเบาๆ ทุกเช้า การเข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม การฝึกสมาธิเป็นประจำ แม้จะใช้เวลาสั้นๆ เพียง 3 นาทีก็ตาม การได้ฟังเพลงที่ชอบ การหางานอดิเรกที่ทำให้มีสมาธิมากขึ้น เช่นการฝึกเล่นหมากรุก การฝึกประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ เหล่านี้เขานับเป็น Self-Care หมดเลย 
เอาจริงๆคือเราเป็นคนที่บ้างาน ทำงานได้เรื่อยๆ ไม่เลิก แต่พอตั้งใจรักษาตัวเองจริงจัง เราก็ค่อยๆ ปรับพฤติกรรมตัวเอง เริ่มหัดเล่นดนตรีง่ายๆ ฝึกสมาธิตอนเช้าหลังตื่นนอน 1 - 2 นาที กินน้ำอุ่นหลังตื่นนอน อ่านหนังสือแทนการดูมือถือก่อนนอน ระหว่างวันก็จะแวะมาดูลมหายใจตัวเองบ้าง เพื่อให้ร่างกายไม่ตึงเครียดเกินไป เดินออกไปทำงานบ้านบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้ขยับ อะไรแบบนี้เป็นต้น 

จากประสบการณ์ในการรักษาอาการ PMS ของตัวเอง โดยไม่ใช้ยา ทำให้เราได้ข้อสรุปว่า ร่างกาย จิตใจ และอาหาร มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นแล้ว เราควรดูแลตัวเองในทุกๆ มิติให้สมดุล และเข้าใจร่างกายตัวเองอย่างที่เป็น ไม่ควรเปรียบเทียบกับร่างกายของคนอื่น 

เราหวังว่าสาวๆที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้แล้วจะทำให้มีกำลังใจ และความหวังในการักษาตัวเองกันนะคะ เรารู้ว่ามันทรมานแค่ไหน ขอให้ลองเริ่มทำสัก 1 ข้อ แล้วมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังในกลุ่ม เพื่อเป็นกำลังใจให้กันและกันได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ 

https://www.facebook.com/groups/3769693909761590
ชื่อสินค้า:   pms ปวดท้องประจำเดือน ประจำเดือน
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่