อังกฤษ vs อเมริกัน: ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม

อังกฤษ vs อเมริกัน: ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม 

ก่อนอื่นเข้าใจตรงกันก่อน culture แปลว่า วัฒนธรรม มันไม่ใช่ประเพณี โอเค้? วัฒนธรรมก็คือชีวิตประจำวัน วิถีชีวิตของคนทั่วไปในสังคม พูดง่าย ๆ culture ก็คือ "way of life" ส่วนประเพณีคือคำว่า tradition มันจะเกี่ยวโยงกับความเชื่อและการกระทำเชิงสัญลักษณ์ มันคือ "belief"

เช่นพิธีจุดพลุในวันที่ 4 กรกฎาของคนอเมริกัน (Independence Day: วันชาติสหรัฐอเมริกา) นี่คือประเพณี เป็นสัญลักษณ์แห่งการประกาศอิสรภาพ ส่วนการที่คนอเมริกันทิปเด็กเสิร์ฟทุกครั้งที่ไปกินร้านอาหาร นั่นคือวัฒนธรรม ดังนั้นถ้าอยากศึกษาประวัติศาสตร์ ก็ศึกษาประเพณี แต่ถ้าอยากศึกษาวิธีการใช้ชีวิต ก็ต้องศึกษาวัฒนธรรม 

โอเคมาเริ่ม!

- เริ่มจากการเรียกคนสนิท (terms of endearment) คนอังกฤษเรียกคนที่อายุน้อยกว่าว่า love เพื่อแสดงความเอ็นดู (Where are you going, love?) ของคนอเมริกันมักใช้ dear (What are you here for, dear?) อันนี้เบสิกมาก คนอังกฤษอาจใช้ dear บ้าง แต่คนอเมริกันไม่ใช้ love

- "ห้ามแซงคิว" อันนี้เคยสอนละ คนอังกฤษเรียกคิวว่า "queue" ส่วนแซงคิวเราใช้สำนวน "Don't jump the queue." ส่วนคนอเมริกันเรียกคิวว่า "line" ดังนั้นวลีอย่าแซงคิวจึงพูดว่า "Don't cut in line."

- คนอังกฤษชอบพูดถึงอากาศ เวลาเจอเพื่อนทักทายกัน มักจะเริ่มบทสนทนาด้วยการบ่นถึงสภาพอากาศ สาเหตุก็เพราะที่อังกฤษสภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน วินเทอร์ก็หนาวเกิน ซัมเมอร์ก็ร้อนไป แถมมา ๆ หาย ๆ ในหนึ่งวันอาจมีทั้งฝนลมแดด ดังนั้นถ้ากลัวจะไม่มีเรื่องคุยก็ "What's the weather like in your country?" ไปเลย ฝึกบทสนทนาเกี่ยวกับสภาพอากาศไว้เยอะ ๆ 

- คนอเมริกันก็พูดถึงอากาศบ่อยนะ ด้วยความที่ USA มีพื้นที่ใหญ่มาก บางทีการเดินทางจากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่งเราอาจจะเจอสภาพอากาศใหม่เลย บางทีร้อน ๆ แต่พอขึ้นเหนือไปเรื่อยแล้วหนาวจัดก็มี สรุปแล้วสภาพอากาศมันคือ go-to topic สำหรับฝรั่ง ถ้าไม่มีอะไรคุยก็เรื่องนี้แหละ!

- คนอังกฤษชอบเดินทางไปต่างประเทศ (ในโซนยุโรป) เนื่องจากอังกฤษมีสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่บอก การเดินทางออกไปประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปนั่นสนุกกว่าเดินทางในประเทศตัวเอง เช่น Spain ที่อยู่ไม่ไกล แถมสภาพอากาศเอาแน่เอานอนได้มากกว่า ช่วงวันหยุดคนอังกฤษหลายคนชอบไปโผล่สเปน

- ที่อเมริกามีวันหยุดน้อยกว่าอังกฤษ สำหรับคนอเมริกันมักไปเที่ยวแบบ Road trip มากกว่า และราคาน้ำมันก็ถูกกว่าที่อื่นด้วย (Tip: คนอังกฤษเรียกว่าน้ำมันว่า "petrol" ส่วนคนอเมริกันเรียก "gasoline") แถมเป็นประเทศใหญ่ มีหลายเมือง ทุกเมืองมีถนนใหญ่เดินทางหากันสบาย ขับรถไปเล่นที่ Florida ถึง California หรือยาวไป Mexico ยังได้ ยังไงรถก็ไม่ติด (นอกจากมีเหตุอะไร) ไม่แปลกที่ road trip จะสนุก 

- คนแก่ที่อเมริกา โดยเฉพาะที่อยู่กันเป็นคู่ตายาย พอเกษียนแล้วก็มีจะซื้อรถ RV (recreational vehicle รถบ้าน ปรับแต่งตามใจ) แล้วขี่ทัวร์รอบสหรัฐอเมริกา อีกอย่างที่เมกามีอุทยานแห่งชาติโคตรหลายที่ เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวหลักของคนอเมริกันเลย สามารถใช้เวลาเป็นปีได้เลยกว่าจะเที่ยวครบ (ถ้าขับ RV เที่ยวอ่ะนะ)

- อันนี้ไม่รู้ใครเจอไหม แต่คนไทยหลายคนชอบแวะมาหาที่บ้านโดยไม่บอกกล่าวก่อน ที่อังกฤษทำแบบนี้ไม่ได้นะ เป็นการเสียมารยาทมาก ก่อนจะไปเยี่ยมเยียนใครต้องโทรถามก่อนเสมอ สำหรับ "การแวะเยี่ยม" คนอังกฤษใช้สำนวน "to pop around (for a visit)" เช่น "Are you home, love? I'm gonna pop around and just say hello." บางครั้งเปลี่ยนมาใช้ "pop in" ก็ได้

- สำหรับคนอเมกันสำนวนที่ใช้บ่อยคือ "drop by" แปลว่า แวะเยี่ยมถามไถ่ทุกข์สุขเหมือนกัน (pop it คนอเมริกันก็ใช้นะ แต่ไม่ใช้ pop around) และเหมือนกันสำหรับคนอเมริกัน การแวะไปบ้านใครโดยไม่บอกกล่าวก่อนถือเป็นเรื่องที่เสียมารยาท แต่ไม่จำเป็นต้องนัดล่วงหน้าหนึ่งวันนะ แค่บอกก่อนแวะเข้าไปก่อนสัก 1 - 2 ชั่วโมงก็พอ ขอแค่บอก

- ถึงตรงนี้มารู้จักสำนวน "Burn bridges" ที่แปลตรงว่า เผาสะพานลง ความหมายคือ "เลิกคบ" / "ยุติความสัมพันธ์" ซึ่งมันอาจเกิดขึ้นได้ถ้าเราแวะไปเยี่ยมบ้านคนอังกฤษหรือเมกันแบบไม่ได้นัดหมาย ฮ่า ๆ

- อีกหนึ่งเรื่องที่สังเกตได้ชัดมากคือ คนอังกฤษค่อนข้างสุภาพ (โอเคไม่ใช่ทุกคน แต่ก็ส่วนมาก(ที่ผมเจอ)) เราจะได้ยินคำเหล่านี้แทบในทุกบทสทนาคือ "please" "sorry" "thank you" เช่นในตอนที่เดินชนใคร แม้เราไม่ผิดก็มักจะพูด "sorry" ไปก่อนเสมอ 

- ในสังคมอเมริกันก็มีการ "over-apologizing" (ขอโทษเกินเบอร์) เหมือนกัน เพราะบ้านเขาให้ความสำคัญกับ politeness มาก ๆ (แต่บางคนจะ rude กับชาวต่างชาติ) ขนาดตอนที่คนอื่นเดินมาเหยียบเท้าเราก็ยังบอก sorry เขาก่อนเลย เรื่องความสุภาพพอ ๆ กันทั้งอังกฤษและอเมริกา แต่ก็อยู่ที่ตัวบุคคลด้วยนะ

- โดยเฉพาะเวลาอยู่บนรถไฟใต้ดินเนี่ย (อังกฤษ: underground / เมกัน: subway) เราจะเห็นคำว่า sorry ลอยไปมาเต็มไปหมด อีกวลีที่จะได้ใช้บ่อยคือ "coming through" หรือ "gimme some space, please" มันแปลว่า ขอทางหน่อยครับ

- ที่อเมริกาด้วยความที่มีพื้นที่ประเทศมากกว่าเพื่อน ทุกอย่างเลยดูใหญ่กว่า โดยเฉพาะที่จอดรถ ถ้าไปอเมริกาจะพบว่ามีที่จอดรถเยอะมาก ไม่มีวันเต็ม 5555 และแทบทุกบ้านที่อเมริกาจะมีเครื่องอบผ้าแทบทุกบ้าน ทั้งสำหรับเสื้อผ้าและจานชาม อันนี้ทุกบ้านจริง ๆ ใครอยู่เมกาลองดูสิบ้านตัวเองมีมั้ย แถมห้องซักผ้ามักจะแยกเป็นอีกห้องต่างหาก หลายหลังมีโรงรถด้วย

- ที่ประเทศอังกฤษ และประเทศเราแทบจะไม่มีบ้านไหนที่มีเครื่องอบผ้าเลย มีแต่เครื่องซักผ้า (แถมชอบเอาไว้ให้ห้องครัว แต่คนอเมริกันมักจะมีห้องแยก) เครื่องซักผ้าหลายรุ่นมีฟีเจอร์อบผ้าให้ แต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นใครใช้เลยนะ อาจเพราะสภาพอากาศที่ร้อนอยู่แล้ว ตากผ้าแปปเดียวก็แห้ง แถมบ้านเรา (และอังกฤษ) ไม่ได้ค่าไฟถูกเหมือนอเมริกา ขืนใช้เครื่องอบทุกวันคงค่าไฟบาน ส่วนคนอเมริกันใช้เครื่องพวกนี้ได้อย่างสบายใจ

.......... พักเบรก 10 วิ__ __ __ __ __ __ __ __ __ __ ไปต่อ!

- เราอาจจะชินกับการไปปาร์ตี้แบบมือเปล่า แต่ที่อังกฤษไม่ควรทำอย่างยิ่ง ถ้ามีใครชวนเราไปปาร์ตี้ที่บ้าน ต้องซื้ออะไรติดมือไปด้วยเสมอ ถึงเจ้าบ้านจะบอกว่าไม่ต้องเอามา เราก็ต้องเอาไป โอเค้?! อย่างน้อยก็มีขนมติดมือไปด้วย 

- ที่อเมริกาก็ไม่ต่าง เวลามีคนชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้านเราก็อาจจะมีของหวานติดมือไปด้วยหน่อย หรืออาจจะทำอาหารเราไปร่วมด้วยสักจาน แต่ถ้าแวะไป pop in เฉย ๆ ก็ไม่ต้องเตรียมอะไรไปหรอกนะ แค่โทรนัดก่อนก็พอ

- อันนี้สังเกตดู คนอังกฤษในวันอาทิตย์มักจะนัดกันไปกินข้าวที่ผับ (เราเรียก pub lunch) หรือนัดกันมากิน roast dinner (อาหารปิ้งย่าง) ที่บ้าน ส่วนคนอเมริกันในวันอาทิตย์มักจะนัดรวมทานข้าวครอบครัว ในทุกวันพฤหัสที่สี่ของเดือนพฤศจิกาคนอเมริกันก็มักจะจัด "Thanksgiving" ซึ่งดูพวกเขาจะชอบมากและมีของกินแบบจัดเต็ม และที่ขาดไม่ได้คือไก่งวงและแฮม (ส่วนคนอังกฤษจะขึ้นไก่งวงช่วงคริสต์มาส)

- คนอังกฤษจะดื่มและปาร์ตี้หนักในคืนวันพฤหัสและคืนวันศุกร์(และเสาร์ด้วยแหละ) คนอเมริกันตกใจที่คนอังกฤษเริ่มงานเลี้ยงตั้งแต่ 6 โมงเย็น (ผมเองยังคิดว่ามันเช้าไปเลย 555) แต่ก็เลิกเร็วกว่าเพื่อน (ประมาณ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน) ส่วนที่อเมริกามักจะนัดเจอกันประมาณ 2 ทุ่มและจบงานเลี้ยงประมาณตีสอง อันนี้คือโดยรวม ๆ นะ แน่นอนว่ามันมีเคสที่ต่างไป

- ใครเคยคิดว่าฝรั่งพูดเสียงดังบ้าง? โดยเฉพาะเวลาอยู่บนรถสาธารณะเนี่ย พูดดังมากได้ยินกันทั้งคัน แต่โคตรแปลกที่พออยู่บ้านเขากับพูดเบาเฉย คนอังกฤษมองว่าการคุยโทรศัพท์เสียงดังเป็นการเสียมารยาท (แต่ทำไมตอนมาอยู่ต่างประเทศถึงไม่เคยแคร์?!) ดังนั้นถ้าเราเผลอคุยโทรศัพท์แบบออกรสเกินอาจจะโดน "give a side-eye" (มองแรง) ใส่ก็ได้

- พูดถึงการให้ทิปในร้านอาหาร ที่อังกฤษเราไม่ได้ทิปเด็กเสิร์ฟอะไรมากมาย (เว้นเสียแต่เป็นร้านอาหารพอช หรู ๆ) ปกติบิลค่าอาหารจะมี service charge อยู่ประมาณ 10 - 12 เปอร์เซนต์อยู่แล้ว ซึ่งบางคนก็จ่ายแยก จ่ายบัตรเครดิตกับค่าอาหาร แต่ service charge จ่ายเป็นเงินสดให้พนักงาน แต่โดยรวมแล้วเราไม่เครียดเรื่องการทิปเงินเด็กเสิร์ฟที่อังกฤษ

- แต่ที่อเมริกานี่ไม่ได้เลย การให้ทิปเด็กเสิร์ฟแต่ 10 เปอร์เซนต์ถือเป็นเรื่องหยาบคายมาก และเด็กเสิร์ฟอาจไม่พอใจ (ขนาด 10 เปอร์ยังแย่ ถ้าไม่ทิปเลยคือต่อยกันแล้วนะ 555) เขาจะคิดว่าเขาบริการให้เราแย่หรือเปล่า ที่อเมริกาอย่างต่ำต้องให้ทิปประมาณ 15 - 20 เปอร์เซนต์ อีกหนึ่งสาเหตุก็เพราะเงินเดือนเด็กเสิร์ฟค่อนข้างน้อย เพราะเจ้าของร้านเขาคาดหวังให้พนักงานได้ทิปจากลูกค้าอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเราทิปน้อยเขาก็จะมีรายได้ต่อเดือนน้อย

- แต่ก็ต้องยอมรับนะ ว่าบริการร้านอาหารที่อเมริกานั้นดีมาก ดีกว่าอังกฤษ และดีกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรปแน่นอน! หลายประเทศในยุโรปบอกเลยบริการค่อนข้างแย่ หรือไม่ก็เฉย ๆ ไร้ปฏิสัมพันธ์ อาจเพราะวัฒนธรรมการไม่ทิปนี่แหละ ทำให้บริการออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็ fair play ดี 555

- พูดถึงการศึกษา คนอังกฤษปัจจุบันเสียค่าเทอมเข้ามหาวิทยาลัยประมาณ 9000 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 350,000 +) สำหรับคนที่ไม่มีเงิน ก็มีระบบกู้ยืมเรียนเหมือนกัน (ขนาดสมัยที่ค่าเทอมฟรีก็ยังมีคนกู้เงินใช้รายเดือน) คงไม่ต้องบอกว่าระบบการยืมวุ่นวายน้อยกว่าบ้านเราเยอะ แต่จบมาก็หนี้บานอยู่พอตัว

- ที่อเมริกาไม่ต้องพูดถึง แพงพอกัน หรือแพงกว่าด้วยซ้ำ ค่าเทอมตกอยู่ประมาณเทอมละ 4000 เหรียญ (8000 ดอลลาร์ต่อปี ประมาณ 240,000 +) ดูเหมือนถูกกว่าอังกฤษก็เพราะอเมริกามีนโนบายว่าใครเรียนมหาวิทยาลัยในภูมิลำเนาที่ตัวเองอยู่อาศัยจะได้เสียค่าเทอมถูกลงเยอะมาก เราเรียกว่ามหาวิทยาลัยแบบ in-state 

- แต่ถ้าไปเรียนที่เมืองอื่น (out-state) ค่าเทอมรายปีอาจแพงถึง 40,000 เหรียญต่อปีเลยนะ (ประมาณ 1,200,000 +) ราคาพอ ๆ กับมหาลัยเอกชน (private university) แต่เอกชนคือไม่ว่าอยู่ในเมืองเดียวกันหรือนอกเมืองก็ราคาไม่ต่างกัน

- ที่อเมริกาก็กู้ได้เหมือนกัน แต่หนี้นี้โคตรบานยิ่งกว่าอังกฤษหลายเท่า บางคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะจ่ายหมด ใครเสนอนโยบายช่วยหนี้การศึกษาได้ถูกใจเด็ก ๆ ก็สามารถกวาดไปได้หลายเสียงเลย อิอิ

จบไป อ่านจบแล้วคิดว่าเราเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน จริง ๆ มันก็ไม่ต่างกันมากหรอก สองประเทศนี้เขาถือเป็นคู่รักกันอยู่แล้ว ไว้จะมาเขียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมอะไรแบบนี้อีกนะ

"ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
รู้ภาษาอังกฤษมากกขึ้นทุกวันที่ FB page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ

Stay knowledge-hungry
JGC.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่