คุณคิดว่า เรียนแต่ละแบบต่างแค่ไหน? เหมาะกับใคร และ ถ้าเลือกได้ จะเลือกแบบไหน?
ลองให้ความเห็นกันดูนะครับ แต่ผม จะขอแชร์ให้ฟังในฐานะที่ ลูก ได้มีโอกาสเรียนทั้งสามแบบต่อเนือ่งกันในปีที่ต่อเนื่องกันเลย จึงเห็นความแตกต่าง และการเปลี่ยนแปลงชีวิต
โปรดอ่าน! ภาพประกอบเอไอดัดแปลง เพราะไม่ตอ้งการใช้ภาพลูกจริงๆมาลง เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้อง
ไปกันต่อ...
เรียนไทย
อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะส่วนมากเข้าใจกันดีอยู่แล้ว ก็จะบอกแบ็คกราวด์แค่โรงเรียนที่ลูกเรียนค่อนข้างเสรี ทั้งทรงผมและเครือ่องแบบ รวมถึงหลักสูตรและสิ่งแวดล้อม เครื่องแบบใส่วันเดียวต่อสัปดาห์(และงานพิธี งานทางการ) เป็นโรงรเียนแบบเรียนในห้อง ครูสลับกันมาสอนที่ห้อง (ไม่ได้เดือนเรียน) วิชาเรียนของห้องคือวิชาตามสายการเรียน(ม.ปลาย) ไม่มีวิชาเลือกลงอิสระ
น่าจะเป็นชีวิตปกติพื้นฐานของโรงเรียนไทยส่วนใหญ่
ความรับผิดชอบในชีวิตคือ จัดตารางเรียนในแต่ละวัน ตั้งใจเรียนในแต่ละวิชา ทำงานส่งในวิชา ทำกิจกรรมหลังเลือกรเียน กลับบ้านทำการบ้านและนำไปส่งตามกำหนด
ครูผู้สอนดูแลใกล้ชิดเรียกหาตามตัวกันได้ง่าย สนิทกับเพื่อนในห้อง และเพื่อนในระดับกันมากกว่ารุ่นพี่ รุ่นน้อง บางคนอาจไม่มีรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่สนิทกันเลย แค่ร่วมโรงเรียน และ มีระบบอาวุโสระหว่างชั้นเรียน
ส่วนใหญ่อาศัยกับพ่อแม่และผู้ปกครอง มีบ้างที่อยู่หอ ซึ่งก็มีทั้งระบบหอในและหอนอก หากอยู่กับผู้ปกครองก็ดูแลตัวเองพื้นฐาน สุขอนามัยตัวเอง จัดการพื้นที่ตัวเองเก็บห้อง ซักผ้าส่วนตัว ช่วยงานบ้าน ถ้าทำได้แบบนี้พ่อแม่ก็ชื่นใจแล้ว
------------------------
เรียนแลกเปลี่ยน
ในที่นี้ขอเป็นบริบทของอเมริกานะครับ ส่วนมากไปในระยะปีการศึกษาหรือราว 10 เดือน และส่วนมากอาศัยอยู่กับ"โฮสต์"
ในด้านการเรียน บางโรงเรียนที่มีนักเรียนแลกเปลี่ยนเยอะ จะมีตารางเรียนเฉพาะกลุ่มนักรเียนแลกเปลี่ยน ผสมกับวิชาเรียนมาตรฐาน ซึ่งรายวิชาไม่เยอะเมื่อเทียบกับประเทศไทย บางโรงเรียน ก็ลงเรียนวิชาพื้นฐานตาสมสายการเรียนที่เทียบมาร่วมกับเด็กทั่วไป ซึ่งก็มักจะน้อยกว่าไทยอยู่ดี แต่ ในเทอมการศึกษาที่เปลี่ยนไป วิชาจะหลากหลายกว่า เมื่อรวมๆกันทั้งสามเทอม ก็จะมีความหลากหลายของวิชาใกล้ๆกันกับไทย แต่ ของไทยแต่ละส่วนเนื้อหาจะอัดเยอะกว่ามาก งานรายวิชา ใบงาน เยอะกว่าอย่างชัดเจน
ระบบโรงเรียน 99% คือการเดินเรียน นั่นคือ ไปตามห้องเรียนตามคาบ ตามวิชาของตัวเอง ไม่มีห้องประจำของตัวเอง ไม่มีโต๊ะประจำของตัวเอง มีแต่ล็อคเกอร์ของตัวเอง ต้องจำห้อง เวลา และวิชาให้ได้ ที่สำคัญ ต้องจำครูที่สอนให้ดี หากต้องการติดต่ออะไร ต้องไปตามตัวที่สำนักงานได้ กิจกรรมในโรงเรียนโดยเฉลี่เยอะกว่าไทย และ ทุกกิจกรรม มีเป้าหมายรองรับเช่น กีฬา จะมีทัวร์นาเมนท์แข่งขัน ดนตรีมีการแสดงและการประกวด วิชาการมีตารางกิจกรรมสอบและแข่งขันต่างๆ หากได้โรงเรียนขนาดใหญ่ อาจต้องทดสอบเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ (คัดตัว หรือ ออดิชั่น) แต่ถ้าได้โรงเรียนขนาดเล็กอาจโชคดี ได้ทำทุกอย่าง
กิจกรรมกีฬาหลากหลายขึ้นอยู่กับรัฐและเมือง พื้นที่ สภาพแวดล้อม และชุมชน แต่สิ่งที่มีพื้นๆเลยคือ บาสเก็ตบอล ร้องประสานเสียง
สภาพแวดล้อมในโรงเรียน เพื่อนส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่เรียนวิชาเดียวๆกัน และ มีเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่ทำกิจกรรมร่วมกันมากกว่าของไทย เพราะในวิชาชมรมหรือกิจกรรมพละ ดนตรี จะเรียนรวมกันระหว่างชั้นปี และโรงเรียนไม่มีระบบอาวุโส นอกจากนี้ ในบางรายวิชา อาจเรียนคละกันระหว่างชั้นปีการศึกษาด้วย(แล้วแต่โรงเรียนจัดการ)
ส่วนเรื่องความเ)็นอยู่ ต้องจัดการตัวเองมากกว่าอยู่แบ้านแน่นอน โฮสต์ส่วนมาก ดูแลแบบหลสมๆ ดูแลตามกฎหมาย และความสนิทสนม(ตามบัคลิกของครอบครัวเค้า) อาจมีเพื่อนร่วมในบ้านอายุไล่ๆกันเรียนที่เดียวกัน หรืออาจมีพี่ มีน้องอายุห่างกัน อันนี้แล้วแต่ชะตาจะเจอเลย บางบ้านก็เข้มงวด บางบ้านก็สบายๆ ซึ่ง นักรเียนต้องปรับตัวให้อยู่ได้ อยู่ง่าย ทำตัวไปตามกฎระเบียบ กรณีเจอปัญหาคุกคามหรือเอาเปรียบ ต้องรู้จักปกป้องตัวเองโดยประสานคุยกับเจ้าหน้าที่โครงการและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
มีไม่น้อยที่ปรับตัวกับโฮสต์ไม่ได้ กดดัน ซึ่งเราจะไม่โทษว่าผิดที่ใคร แต่ บางงโครงการสามารถขอเปลี่ยนโฮสต์ได้ ในขณะที่บางโครงการ หากมีปัญหาการปรับตัว ที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง (คือเ)็นปกติวิสัยของครอบครัวเค้าแต่เราปรับไม่ได้เอง) ก็คือกลับบ้าน
กิจกรรมเสริม บางโครงการมีข้อกำหนดการร่วมกิจกรรมกับชุมชน ท้องถิ่น หรือร่วมกับโรงเรียน ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ชุมชน โรงเรียนและแน่นอน แล้วแต่โครงการที่เลือกไป
เมื่อครบกำหนด ก็เดินทางกลับ โครงการสมัยนี้ส่วนมากสามารถเทียบระดับการศึกษากับโรงเรียนไทยได้แล้ว สพฐ. ของไทยสามารถเทียบเกรดมาเป็นวิชาของไทยและเรียนต่อได้เลยโดยไม่ซ้ำชั้น แต่จะได้อะไรมากน้อยแค่ไหน แล้วแต่โครงการที่ไป ซึ่งรายละเอียดจริงๆคือแล้วแต่โรงเรียนที่ได้เรียน (หรือเลือกเรียน) เราต้องยอมรับว่า บางโครงการเราไม่มีสิทธิ์เลือกโรงเรียนหรือเมือง ดังนั้น การจะได้โรงเรียนเล็กจิ๋วหรือใหญ่มาก ขึ้นอยู่กับวาสนาและโชค ทั้งสองก็มีข้อดีแตกต่างกัน แต่ถ้าเ)็นโครงการแบบจิ้มเลือกได้ (แน่นอนว่าจ่ายมากกว่า) ก็ศึกษาเลือกันให้ดี ให้เหมาะกับตัวนักรเียน
โรงเรียนดังๆสมัยนี้ก็มีดีลแลกเปลี่ยนตรงกับโรงเรียนต่างประเทศในเครือด้วย อันนั้นก็อีกระบบนึง
---------------------
เรียนต่างประเทศ
คนส่วนมากคิดว่าการเรียนแลกเปลี่ยนตือการเรียนต่างประเทศ 1 ปี แต่ในความเ)้นจริง ไม่ใช่เลย เพราะ การเรียนเต็มตัวทั้งในรูปแบบปกติ (เช่นได้สิทธิ์ตามพ่อแม่ที่ไปทำงาน ศึกษาต่อ) หรือมีกำลังส่งเรียนในแบบนานาชาติ รูปแบบการเรียน"มักจะ" แตกต่างกัน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดใหญ่ เช่นวิชาภาษาอังกฤษ จะได้เรียนตัวเดียวกับที่เด็กอเมริกันเรียน ในขณะที่บางโรงรเียน จัดให้เด็กแลกเปลี่ยนเรียนภาษาอังกฤษอีกตัว(สำหรับ 2nd language) และโดยมาก การลงวิชาต่างๆ มีอิสระมากกว่า ในด้านกิจกรรม อาจไม่แตกต่างกัน แต่นักรเียนระยะยาวจะได้เปรียบในหลายกิจกรรม ที่ร่วมอย่างต่อเนื่อง เช่นกีฬาจะมีทักษะที่ต่อเนื่อง (ยกเว้นว่าน้องนักรเียนไทยไปในระดับนักกีฬานั้นๆ)
ความเป็นอยู่ 90% อยู่หอพัก ซึ่งบางโรงเรียนก็เป็นระบบหอใน (เหมือนในหนังอยู่หอในโรงเรียน มีบ้านๆ มักเป็นโรงเรียนเอกชน แบบประจำ) หรือหอกึ่งใน นั่นคือหออยู่นอกโรงเรียน โรงเรียนไม่มีระบบประจำแต่มีเด็กหอเช่นนักกีฬา ทุน และ นักเรียนนานาชาติ และสุดท้ายคือ หอนอกเต็มรูปแบบ ตามกฎหมายส่วนใหญ่ หอพักคือหอพัก มีผู้ดูแลและระเบียบแตกต่างจากอพาร์ทเมนท์ และมีความรับผิดชอบตัวเด็กตามกฎหมายด้วย ถึงเป็นหอนอก ก็มีระเบียบที่เคร่งครัด แต่ ด้วยความที่เป็นหอพัก ทั้งสามระบบ จะมีความเป็นอยู่แตกต่างจากระบบโฮสต์ชัดเจนมาก
หอพัก มีกฎเข้มงวดกว่า แต่ก็ อิสระกว่า นั่นหมายถึง เด็กนักรเียนตอ้งจัดการตัวเองมากกว่า บริหารตัวเองตามกฎของหอและโรงเรียน หากเกิดปัญหา ไม่มีคนในครอบครัว(โฮสต์)ช่วยเหลือใกล้ชิด มีเพียง เพื่อนและพี่ในหอ กับเจ้าหน้าที่หอพักและอาจารย์ที่ปรึกษาเท่านั้น หอพักมักอยู่ใน ติดกัน หรือ ใกล้โรงเรียนในระดับเดินไปได้ บางโรงเรียนหอมีแคนทีนของตัวเอง(หอขนาดใหญ่ โรงเรียนประจำ) บางโรงเรียน หอมีครัวง่ายๆสำหรับวันหยุดและไปกินอาหารที่แคนทีนโรงเรียน วันหยุด นักเรียนเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง
วันและเวลาว่าง ของเด็กเรียนเต็มระบบ ถ้าไม่เลือกทำกิจกรรมกับทางโรงเรียน ก็สามารถทำกิจกรรมกับท้องถิ่นได้เช่น สโมสรกีฬาของเมือง ก็คล้ายๆกับเราคือประชากรคนนึงของเมืองเค้า และแน่นอนว่า ตัวนักเรียนต้องจัดการชีวิตตัวเอง ถ้าจะได้ประสบการณ์เต็มๆ แนะนำเลยว่า ต้องออกไปใช้ชีวิตนกิจกรรมนอกโรงเรียนด้วย จะได้เจอคน สังคมและโอกาสใหม่ๆมากกว่าเดิม
ด้านการทำงาน วีซ่านักเรียนมัธยมจะทำงานพิเศษไม่ได้ (ซึ่งโครงการแลกเปลี่ยน มีกฎห้ามทำงานพิเศษเลยด้วย เพราะผิดกฎหมายและวีฬ่าทำไม่ได้) อันนี้ต้องแล้วแต่ประเทศนะครับ บางประเทศก็ทำได้ แต่อเมริกา ส่วนมากเลยเรียนมัธยมนานาชาติจะทำงานพิเศาตามกฎหมายไม่ได้
แต่... ในทางปฎิบัติ งานรับจ้างรับเงินสดบางชนิดเช่น ตัดหญ้า ดูแลเด็ก ล้างจานร้านอาหาร ช่วยขายของ อาจมีนักเรียนนานาชาติบางส่วนไปทำเพื่อหารายได้พิเศษ ซึ่งย้ำตรงนี้ก่อนว่า แบกรับความเสี่ยงเอาเอง
เรียนไทย v เรียนแลกเปลี่ยน v เรียนต่างประเทศ (มัธยม) ต่างแค่ไหน
ลองให้ความเห็นกันดูนะครับ แต่ผม จะขอแชร์ให้ฟังในฐานะที่ ลูก ได้มีโอกาสเรียนทั้งสามแบบต่อเนือ่งกันในปีที่ต่อเนื่องกันเลย จึงเห็นความแตกต่าง และการเปลี่ยนแปลงชีวิต
โปรดอ่าน! ภาพประกอบเอไอดัดแปลง เพราะไม่ตอ้งการใช้ภาพลูกจริงๆมาลง เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้อง
ไปกันต่อ...
เรียนไทย
อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะส่วนมากเข้าใจกันดีอยู่แล้ว ก็จะบอกแบ็คกราวด์แค่โรงเรียนที่ลูกเรียนค่อนข้างเสรี ทั้งทรงผมและเครือ่องแบบ รวมถึงหลักสูตรและสิ่งแวดล้อม เครื่องแบบใส่วันเดียวต่อสัปดาห์(และงานพิธี งานทางการ) เป็นโรงรเียนแบบเรียนในห้อง ครูสลับกันมาสอนที่ห้อง (ไม่ได้เดือนเรียน) วิชาเรียนของห้องคือวิชาตามสายการเรียน(ม.ปลาย) ไม่มีวิชาเลือกลงอิสระ
น่าจะเป็นชีวิตปกติพื้นฐานของโรงเรียนไทยส่วนใหญ่
ความรับผิดชอบในชีวิตคือ จัดตารางเรียนในแต่ละวัน ตั้งใจเรียนในแต่ละวิชา ทำงานส่งในวิชา ทำกิจกรรมหลังเลือกรเียน กลับบ้านทำการบ้านและนำไปส่งตามกำหนด
ครูผู้สอนดูแลใกล้ชิดเรียกหาตามตัวกันได้ง่าย สนิทกับเพื่อนในห้อง และเพื่อนในระดับกันมากกว่ารุ่นพี่ รุ่นน้อง บางคนอาจไม่มีรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่สนิทกันเลย แค่ร่วมโรงเรียน และ มีระบบอาวุโสระหว่างชั้นเรียน
ส่วนใหญ่อาศัยกับพ่อแม่และผู้ปกครอง มีบ้างที่อยู่หอ ซึ่งก็มีทั้งระบบหอในและหอนอก หากอยู่กับผู้ปกครองก็ดูแลตัวเองพื้นฐาน สุขอนามัยตัวเอง จัดการพื้นที่ตัวเองเก็บห้อง ซักผ้าส่วนตัว ช่วยงานบ้าน ถ้าทำได้แบบนี้พ่อแม่ก็ชื่นใจแล้ว
------------------------
เรียนแลกเปลี่ยน
ในที่นี้ขอเป็นบริบทของอเมริกานะครับ ส่วนมากไปในระยะปีการศึกษาหรือราว 10 เดือน และส่วนมากอาศัยอยู่กับ"โฮสต์"
ในด้านการเรียน บางโรงเรียนที่มีนักเรียนแลกเปลี่ยนเยอะ จะมีตารางเรียนเฉพาะกลุ่มนักรเียนแลกเปลี่ยน ผสมกับวิชาเรียนมาตรฐาน ซึ่งรายวิชาไม่เยอะเมื่อเทียบกับประเทศไทย บางโรงเรียน ก็ลงเรียนวิชาพื้นฐานตาสมสายการเรียนที่เทียบมาร่วมกับเด็กทั่วไป ซึ่งก็มักจะน้อยกว่าไทยอยู่ดี แต่ ในเทอมการศึกษาที่เปลี่ยนไป วิชาจะหลากหลายกว่า เมื่อรวมๆกันทั้งสามเทอม ก็จะมีความหลากหลายของวิชาใกล้ๆกันกับไทย แต่ ของไทยแต่ละส่วนเนื้อหาจะอัดเยอะกว่ามาก งานรายวิชา ใบงาน เยอะกว่าอย่างชัดเจน
ระบบโรงเรียน 99% คือการเดินเรียน นั่นคือ ไปตามห้องเรียนตามคาบ ตามวิชาของตัวเอง ไม่มีห้องประจำของตัวเอง ไม่มีโต๊ะประจำของตัวเอง มีแต่ล็อคเกอร์ของตัวเอง ต้องจำห้อง เวลา และวิชาให้ได้ ที่สำคัญ ต้องจำครูที่สอนให้ดี หากต้องการติดต่ออะไร ต้องไปตามตัวที่สำนักงานได้ กิจกรรมในโรงเรียนโดยเฉลี่เยอะกว่าไทย และ ทุกกิจกรรม มีเป้าหมายรองรับเช่น กีฬา จะมีทัวร์นาเมนท์แข่งขัน ดนตรีมีการแสดงและการประกวด วิชาการมีตารางกิจกรรมสอบและแข่งขันต่างๆ หากได้โรงเรียนขนาดใหญ่ อาจต้องทดสอบเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ (คัดตัว หรือ ออดิชั่น) แต่ถ้าได้โรงเรียนขนาดเล็กอาจโชคดี ได้ทำทุกอย่าง
กิจกรรมกีฬาหลากหลายขึ้นอยู่กับรัฐและเมือง พื้นที่ สภาพแวดล้อม และชุมชน แต่สิ่งที่มีพื้นๆเลยคือ บาสเก็ตบอล ร้องประสานเสียง
สภาพแวดล้อมในโรงเรียน เพื่อนส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่เรียนวิชาเดียวๆกัน และ มีเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่ทำกิจกรรมร่วมกันมากกว่าของไทย เพราะในวิชาชมรมหรือกิจกรรมพละ ดนตรี จะเรียนรวมกันระหว่างชั้นปี และโรงเรียนไม่มีระบบอาวุโส นอกจากนี้ ในบางรายวิชา อาจเรียนคละกันระหว่างชั้นปีการศึกษาด้วย(แล้วแต่โรงเรียนจัดการ)
ส่วนเรื่องความเ)็นอยู่ ต้องจัดการตัวเองมากกว่าอยู่แบ้านแน่นอน โฮสต์ส่วนมาก ดูแลแบบหลสมๆ ดูแลตามกฎหมาย และความสนิทสนม(ตามบัคลิกของครอบครัวเค้า) อาจมีเพื่อนร่วมในบ้านอายุไล่ๆกันเรียนที่เดียวกัน หรืออาจมีพี่ มีน้องอายุห่างกัน อันนี้แล้วแต่ชะตาจะเจอเลย บางบ้านก็เข้มงวด บางบ้านก็สบายๆ ซึ่ง นักรเียนต้องปรับตัวให้อยู่ได้ อยู่ง่าย ทำตัวไปตามกฎระเบียบ กรณีเจอปัญหาคุกคามหรือเอาเปรียบ ต้องรู้จักปกป้องตัวเองโดยประสานคุยกับเจ้าหน้าที่โครงการและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
มีไม่น้อยที่ปรับตัวกับโฮสต์ไม่ได้ กดดัน ซึ่งเราจะไม่โทษว่าผิดที่ใคร แต่ บางงโครงการสามารถขอเปลี่ยนโฮสต์ได้ ในขณะที่บางโครงการ หากมีปัญหาการปรับตัว ที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง (คือเ)็นปกติวิสัยของครอบครัวเค้าแต่เราปรับไม่ได้เอง) ก็คือกลับบ้าน
กิจกรรมเสริม บางโครงการมีข้อกำหนดการร่วมกิจกรรมกับชุมชน ท้องถิ่น หรือร่วมกับโรงเรียน ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ชุมชน โรงเรียนและแน่นอน แล้วแต่โครงการที่เลือกไป
เมื่อครบกำหนด ก็เดินทางกลับ โครงการสมัยนี้ส่วนมากสามารถเทียบระดับการศึกษากับโรงเรียนไทยได้แล้ว สพฐ. ของไทยสามารถเทียบเกรดมาเป็นวิชาของไทยและเรียนต่อได้เลยโดยไม่ซ้ำชั้น แต่จะได้อะไรมากน้อยแค่ไหน แล้วแต่โครงการที่ไป ซึ่งรายละเอียดจริงๆคือแล้วแต่โรงเรียนที่ได้เรียน (หรือเลือกเรียน) เราต้องยอมรับว่า บางโครงการเราไม่มีสิทธิ์เลือกโรงเรียนหรือเมือง ดังนั้น การจะได้โรงเรียนเล็กจิ๋วหรือใหญ่มาก ขึ้นอยู่กับวาสนาและโชค ทั้งสองก็มีข้อดีแตกต่างกัน แต่ถ้าเ)็นโครงการแบบจิ้มเลือกได้ (แน่นอนว่าจ่ายมากกว่า) ก็ศึกษาเลือกันให้ดี ให้เหมาะกับตัวนักรเียน
โรงเรียนดังๆสมัยนี้ก็มีดีลแลกเปลี่ยนตรงกับโรงเรียนต่างประเทศในเครือด้วย อันนั้นก็อีกระบบนึง
---------------------
เรียนต่างประเทศ
คนส่วนมากคิดว่าการเรียนแลกเปลี่ยนตือการเรียนต่างประเทศ 1 ปี แต่ในความเ)้นจริง ไม่ใช่เลย เพราะ การเรียนเต็มตัวทั้งในรูปแบบปกติ (เช่นได้สิทธิ์ตามพ่อแม่ที่ไปทำงาน ศึกษาต่อ) หรือมีกำลังส่งเรียนในแบบนานาชาติ รูปแบบการเรียน"มักจะ" แตกต่างกัน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดใหญ่ เช่นวิชาภาษาอังกฤษ จะได้เรียนตัวเดียวกับที่เด็กอเมริกันเรียน ในขณะที่บางโรงรเียน จัดให้เด็กแลกเปลี่ยนเรียนภาษาอังกฤษอีกตัว(สำหรับ 2nd language) และโดยมาก การลงวิชาต่างๆ มีอิสระมากกว่า ในด้านกิจกรรม อาจไม่แตกต่างกัน แต่นักรเียนระยะยาวจะได้เปรียบในหลายกิจกรรม ที่ร่วมอย่างต่อเนื่อง เช่นกีฬาจะมีทักษะที่ต่อเนื่อง (ยกเว้นว่าน้องนักรเียนไทยไปในระดับนักกีฬานั้นๆ)
ความเป็นอยู่ 90% อยู่หอพัก ซึ่งบางโรงเรียนก็เป็นระบบหอใน (เหมือนในหนังอยู่หอในโรงเรียน มีบ้านๆ มักเป็นโรงเรียนเอกชน แบบประจำ) หรือหอกึ่งใน นั่นคือหออยู่นอกโรงเรียน โรงเรียนไม่มีระบบประจำแต่มีเด็กหอเช่นนักกีฬา ทุน และ นักเรียนนานาชาติ และสุดท้ายคือ หอนอกเต็มรูปแบบ ตามกฎหมายส่วนใหญ่ หอพักคือหอพัก มีผู้ดูแลและระเบียบแตกต่างจากอพาร์ทเมนท์ และมีความรับผิดชอบตัวเด็กตามกฎหมายด้วย ถึงเป็นหอนอก ก็มีระเบียบที่เคร่งครัด แต่ ด้วยความที่เป็นหอพัก ทั้งสามระบบ จะมีความเป็นอยู่แตกต่างจากระบบโฮสต์ชัดเจนมาก
หอพัก มีกฎเข้มงวดกว่า แต่ก็ อิสระกว่า นั่นหมายถึง เด็กนักรเียนตอ้งจัดการตัวเองมากกว่า บริหารตัวเองตามกฎของหอและโรงเรียน หากเกิดปัญหา ไม่มีคนในครอบครัว(โฮสต์)ช่วยเหลือใกล้ชิด มีเพียง เพื่อนและพี่ในหอ กับเจ้าหน้าที่หอพักและอาจารย์ที่ปรึกษาเท่านั้น หอพักมักอยู่ใน ติดกัน หรือ ใกล้โรงเรียนในระดับเดินไปได้ บางโรงเรียนหอมีแคนทีนของตัวเอง(หอขนาดใหญ่ โรงเรียนประจำ) บางโรงเรียน หอมีครัวง่ายๆสำหรับวันหยุดและไปกินอาหารที่แคนทีนโรงเรียน วันหยุด นักเรียนเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง
วันและเวลาว่าง ของเด็กเรียนเต็มระบบ ถ้าไม่เลือกทำกิจกรรมกับทางโรงเรียน ก็สามารถทำกิจกรรมกับท้องถิ่นได้เช่น สโมสรกีฬาของเมือง ก็คล้ายๆกับเราคือประชากรคนนึงของเมืองเค้า และแน่นอนว่า ตัวนักเรียนต้องจัดการชีวิตตัวเอง ถ้าจะได้ประสบการณ์เต็มๆ แนะนำเลยว่า ต้องออกไปใช้ชีวิตนกิจกรรมนอกโรงเรียนด้วย จะได้เจอคน สังคมและโอกาสใหม่ๆมากกว่าเดิม
ด้านการทำงาน วีซ่านักเรียนมัธยมจะทำงานพิเศษไม่ได้ (ซึ่งโครงการแลกเปลี่ยน มีกฎห้ามทำงานพิเศษเลยด้วย เพราะผิดกฎหมายและวีฬ่าทำไม่ได้) อันนี้ต้องแล้วแต่ประเทศนะครับ บางประเทศก็ทำได้ แต่อเมริกา ส่วนมากเลยเรียนมัธยมนานาชาติจะทำงานพิเศาตามกฎหมายไม่ได้
แต่... ในทางปฎิบัติ งานรับจ้างรับเงินสดบางชนิดเช่น ตัดหญ้า ดูแลเด็ก ล้างจานร้านอาหาร ช่วยขายของ อาจมีนักเรียนนานาชาติบางส่วนไปทำเพื่อหารายได้พิเศษ ซึ่งย้ำตรงนี้ก่อนว่า แบกรับความเสี่ยงเอาเอง