"เศรษฐา" กระทุ้งรัฐรีบเปิดประเทศก่อนคนจะอดตาย แนะหนุนคนไทยผลิตวัคซีนโควิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2450911
 
“เศรษฐา” กระทุ้งรัฐรีบเปิดประเทศก่อนคนจะอดตาย แนะหนุนคนไทยผลิตวัคซีนโควิด
 
เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2563 นาย
เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวิตข้อความ โดยระบุว่า 
 
“นโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลไม่แน่นอน ชักเข้าชักออก ไม่รู้ว่าอยากรอวัคซีนโควิดก่อนหรือเปล่า แต่ถ้าฝากความหวังที่วัคซีนต่างชาติอย่างเดียว ถามหน่อย เขาจะให้เราก่อนคนประเทศเขาหรือครับ นักวิจัยไทยเก่งๆก็เยอะ ช่วยสนับสนุนวัคซีนผลิตโดยคนไทยด้วยก็ดี อย่างน้อยก็มั่นใจว่าคนไทยจะได้แน่นอน”
 
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้ทวิตต่ออีกว่า “
แต่ยังไงก็ต้องเปิดน่ะครับ ไม่งั้นอดตายแน่ กว่าวัคซีนจะมาปีหน้า”
 
https://twitter.com/Thavisin/status/1329692491721834496
https://twitter.com/Thavisin/status/1329703917169516544
  
 
'ยุทธพงศ์' จี้นายกฯ เบรกต่อสัมปทานบีทีเอส ถาม ทำไมรบ.ไม่ปฏิบัติตามกม.ปกติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2450695
  
“ยุทธพงศ์” จี้ นายกฯ เบรก ต่อสัมทานสายสีเขียว โดยอาศัยม.44 พร้อมปฏิบัติตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เคลียร์ปมสังคมระแวง หลังสังเวย รมว.คลังไปแล้ว 2 คน เชื่อยังดื้อเป็นฟางเส้นสุดท้าย ให้ปชช.ออกมาขับไล่รัฐบาล
 
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นาย
ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีกระทรวงมหาดไทยเสนอ ครม.อนุมัติขยายสัมปาทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ออกไปอีก 30 ปี ว่า การถอนเรื่องออกจากวาระจรในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ไม่ใช่ครั้งแรก เรื่องนี้มีการดำเนินการมาก่อนและ เสีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปแล้ว2 คน คือ นาย
อุตตม สาวนายน และ นาย
ปรีดี ดาวฉาย เนื่องจาก ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการต่อสัญญาให้ บีทีเอส โดยอาศัย คำสั่ง คสช.ที่3 /2562 อ้างอำนาจมาตรา 44 และ เห็นควรว่ารัฐบาลควรปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 จึงเป็นคำถามว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายปกติ แต่เลือกที่จะใช้อำนาจมาตรา 44 ต่อไป และ ที่สำคัญทราบมาว่ารัฐบาลจะรีบนำเรื่องเข้าครม.อีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยเป็นรายละเอียดเช่นเดิมใช่หรือไม่
 
นาย
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า ความจริง รัฐบาลไม่ควรรีบเร่งผลักดันเรื่องนี้ เพราะยังมีเวลาอีก 10 ปี หรือ ปี 2572 ที่สัมปทานเดิมสายสีเขียวจะหมดลง แล้วหาเงื่อนไขที่ดีที่สุดให้พี่น้องประชาชน มิใช่เลือกขยายสัญญาไปอีก 30 ปี และสิ้นสุดสัญญา ปี 2602 ให้แก่เอกชนรายเดียวและรายเดิม ดังนั้น พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ควรจะชะลอเรื่องออกไปก่อน พร้อมกับเอาเวลาไปเคลียร์ข้อสงสัยต่างๆ อาทิ ที่กระทรวงคมนาคมสงสัยการเก็บค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาท ตลอดสาย เพื่อแลกสัมปทาน ว่าเหมาะสมเป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่ เพราะ ที่ผ่านมาบีทีเอส คืนทุนตลอดอายุสัมปทานเดิมมาหมดแล้ว ขณะที่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินในปัจจุบันเก็บค่าโดยสารตลอดสาย เพียง 42 บาท รวมทั้งควรนำเรื่องเข้าพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เพราะจะได้ทราบข้อเท็จจริง ทรัพย์สินทั้งหมดมีเท่าไหร่ รัฐได้เท่าไหร่ และ เอกชนได้เท่าไร่ รวมทั้งเชื่อว่าหากมีการประมูลใหม่ จะเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่าเพราะเกิดการแข่งขันเกิดขึ้น
 
“พล.อ.ประยุทธ์ เร่งรีบเรื่องนี้เข้าครม.ในวาระจร และสัปดาห์หน้าทราบว่าจะรีบนำเข้าครม.อีกครั้ง ทั้งที่ยังมีข้อพิรุธและสังคมสงสัยมากกมาย หรือเป็นเพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในวันที่ 2 ธันวาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินพ้นเก้าอี้นายกฯในคดีบ้านพักข้าราชการหลังเกษียณอายุราชการ หรือไม่ จึงรีบเร่ง รวมทั้งยังเชื่อว่าเรื่องนี้หากยังดึงดัน จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ประชาชนจะออกมาไล่รัฐบาล” นาย
ยุทธพงศ์ กล่าว
 
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
 
ส.ส.เพื่อไทย ย้ำพิรุธต่อสัมปทานสายสีเขียว ชี้ฟางเส้นสุดท้ายพังรัฐบาล
 
แฉหลังต่อสัมปทาน ค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวแพงมหาโหด
https://www.dailynews.co.th/politics/808058
 
จับตา มท.ลักไก่ชง ครม.ต่อสัมปทานสายสีเขียว ฟาดค่าโดยสารมหาโหด 65 บาท ยาว30 ปี ยกข้อมูล รฟม.เทียบ ฟันส่วนต่างกว่า 2 แสนล้าน
 
 เมื่อวันที่ 20 พ.ย. แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยข้อมูลว่า ให้เตรียมจับตาการประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองคุกรุ่นว่า มีความเป็นไปได้ที่กระทรวงมหาดไทย จะรีบเสนอ ครม.ขอเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะขยายสัญญาสัมปทานให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS ออกไปอีก 30 ปี โดยไม่ผ่านขั้นตอนการประมูลคัดเลือกเอกชนร่วมทุนกับรัฐ (PPP) จากเดิมระยะแรกจะสิ้นสุดปี 2572 เป็นสิ้นสุดปี 2602 โดยจะมีการจัดเก็บค่าโดยสารที่ 65 บาทตลอดสาย
 
ประเด็นสำคัญคือ มีการออก ม.44 คำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในช่วงรัฐบาล คสช. มารองรับว่า ไม่ต้องทำการประกวดราคาตามรูปแบบปกติ ในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐ หรือ PPP เพื่อให้มีการแข่งขันกันนั้น ได้สอบถามกับนักกฎหมายระดับสูงในรัฐบาลที่น่าเชื่อถือได้ ได้ตีความออกมาว่า ม.44  จะได้รับการรับรอง เฉพาะเมื่อการกระทำจบสิ้นในขณะนั้น ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับเรื่องที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้นได้อีก ดังนั้นเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ ม.44 เรื่องนี้ควรจะสิ้นสภาพ เหมือนเป็น “ยาหมดอายุ” 
 
ที่น่าห่วงที่สุดก็คือ เรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. กรณี กทม. ไปตั้งบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด แล้วบริษัทนี้ไปจ้าง บีทีเอส เดินรถ อีกทอดหนึ่ง จะเป็นการขัดหรือแย้งกับกฎหมาย หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้กำลังรอผลตัดสินอยู่ และจากข้อมูล รฟม.นั้นพบตัวเลขการเก็บค่าโดยสารของ สายสีน้ำเงิน ระยะเส้นทางใกล้เคียงกัน แต่ รฟม. เก็บตามระยะทางราคาสูงสุดตลอดสายเพียง 42 บาท ขณะที่สายสีเขียว จะเก็บตามระยะทางโดยราคาสูงสุดตลอดสายที่ 65 บาท นั้น เป็นราคาที่สูงจนเกินไป เพราะ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ในระยะที่ 1 จะหมดสัมปทานในอีก 9 ปีข้างหน้า ไม่จำเป็นจะต้องรีบต่ออายุสัมปทาน
 
“ปกติแล้วการคำนวณราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า จะนับคนใช้บริการเฉลี่ยเพียง 12 สถานี เท่านั้น มีน้อยมากที่ผู้โดยสารจะขึ้นใช้บริการยาวกว่านี้ ทำไมจึงเก็บค่าโดยสารตลอดสาย 65 บาท  อย่าลืมว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวท่อนแรก เป็นท่อนที่อยู่ตรงกลางผ่าใจกลางของเมือง และเมื่อหมดอายุสัมปทานในอีก 9 ปีข้างหน้าจะกลับมาเป็นของรัฐ หากให้ รฟม.วิ่งเอง ราคาจะไม่เกิน 42 บาท ตลอดสายแน่นอน เพราะอนาคตเมื่อปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ประกอบกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นเส้นทางหลักของเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นมาเชื่อมต่ออีกด้วย” แหล่งข่าวระบุ
 
แหล่างข่าวยังระบุด้วยว่า สำหรับการเดินรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน มีคนอยู่ในระบบเฉลี่ยประมาณวันละ 3 แสนคน แต่ระบบของสายสีเขียว คาดการณ์ว่า จะมีคนเข้าระบบเดินรถประมาณวันละ 8 แสนคน เมื่อจำนวนคนมาก ค่าโดยสารยิ่งไม่ควรจะถึง 65 บาท ขนาดสายสีน้ำเงินคนน้อยกว่ายังเก็บ 42 บาท หากเปรียบเทียบ ราคา 42 บาทตลอดสาย กับ บีทีเอส เสนอราคา 65 บาทตลอดสาย จะพบว่า มีเงินส่วนต่างคือ 23 บาท หากนำมาคำนวณ เอกชนรับผลประโยชน์ตรงนี้ไป คือ 23 (ส่วนต่าง) * 800,000 (จำนวนลูกค้าต่อวัน) * 30 (วัน)  * 12 (เดือน) * 30(ปี) = 198,720,000,000 บาท หรือเป็นส่วนต่างเกือบ 2 แสนล้านบาท การที่ประชาชนยังจะต้องรับภาระค่าโดยสารตลอดสาย 65 บาท ไปอีก 40 ปี หรือจนถึงปี 2602 นั้น ขณะที่ข้อมูลอีกด้านคือ รฟม.ทำราคาได้น้อยกว่า 42 บาท อันไหนจะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่ากัน.																															
 
						
JJNY : "เศรษฐา"กระทุ้งรัฐรีบเปิดปท./ยุทธพงศ์จี้เบรกต่อสัมปทานบีทีเอส/แฉค่ารถไฟฟ้าสีเขียวแพง/ชงชื่อชลน่านชิงปธ.แก้รธน.
https://www.matichon.co.th/politics/news_2450911
เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2563 นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวิตข้อความ โดยระบุว่า
“นโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลไม่แน่นอน ชักเข้าชักออก ไม่รู้ว่าอยากรอวัคซีนโควิดก่อนหรือเปล่า แต่ถ้าฝากความหวังที่วัคซีนต่างชาติอย่างเดียว ถามหน่อย เขาจะให้เราก่อนคนประเทศเขาหรือครับ นักวิจัยไทยเก่งๆก็เยอะ ช่วยสนับสนุนวัคซีนผลิตโดยคนไทยด้วยก็ดี อย่างน้อยก็มั่นใจว่าคนไทยจะได้แน่นอน”
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ได้ทวิตต่ออีกว่า “แต่ยังไงก็ต้องเปิดน่ะครับ ไม่งั้นอดตายแน่ กว่าวัคซีนจะมาปีหน้า”
https://twitter.com/Thavisin/status/1329692491721834496
https://twitter.com/Thavisin/status/1329703917169516544
'ยุทธพงศ์' จี้นายกฯ เบรกต่อสัมปทานบีทีเอส ถาม ทำไมรบ.ไม่ปฏิบัติตามกม.ปกติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2450695
“ยุทธพงศ์” จี้ นายกฯ เบรก ต่อสัมทานสายสีเขียว โดยอาศัยม.44 พร้อมปฏิบัติตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เคลียร์ปมสังคมระแวง หลังสังเวย รมว.คลังไปแล้ว 2 คน เชื่อยังดื้อเป็นฟางเส้นสุดท้าย ให้ปชช.ออกมาขับไล่รัฐบาล
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีกระทรวงมหาดไทยเสนอ ครม.อนุมัติขยายสัมปาทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ออกไปอีก 30 ปี ว่า การถอนเรื่องออกจากวาระจรในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ไม่ใช่ครั้งแรก เรื่องนี้มีการดำเนินการมาก่อนและ เสีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปแล้ว2 คน คือ นายอุตตม สาวนายน และ นายปรีดี ดาวฉาย เนื่องจาก ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการต่อสัญญาให้ บีทีเอส โดยอาศัย คำสั่ง คสช.ที่3 /2562 อ้างอำนาจมาตรา 44 และ เห็นควรว่ารัฐบาลควรปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 จึงเป็นคำถามว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายปกติ แต่เลือกที่จะใช้อำนาจมาตรา 44 ต่อไป และ ที่สำคัญทราบมาว่ารัฐบาลจะรีบนำเรื่องเข้าครม.อีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยเป็นรายละเอียดเช่นเดิมใช่หรือไม่
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ความจริง รัฐบาลไม่ควรรีบเร่งผลักดันเรื่องนี้ เพราะยังมีเวลาอีก 10 ปี หรือ ปี 2572 ที่สัมปทานเดิมสายสีเขียวจะหมดลง แล้วหาเงื่อนไขที่ดีที่สุดให้พี่น้องประชาชน มิใช่เลือกขยายสัญญาไปอีก 30 ปี และสิ้นสุดสัญญา ปี 2602 ให้แก่เอกชนรายเดียวและรายเดิม ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ควรจะชะลอเรื่องออกไปก่อน พร้อมกับเอาเวลาไปเคลียร์ข้อสงสัยต่างๆ อาทิ ที่กระทรวงคมนาคมสงสัยการเก็บค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาท ตลอดสาย เพื่อแลกสัมปทาน ว่าเหมาะสมเป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่ เพราะ ที่ผ่านมาบีทีเอส คืนทุนตลอดอายุสัมปทานเดิมมาหมดแล้ว ขณะที่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินในปัจจุบันเก็บค่าโดยสารตลอดสาย เพียง 42 บาท รวมทั้งควรนำเรื่องเข้าพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เพราะจะได้ทราบข้อเท็จจริง ทรัพย์สินทั้งหมดมีเท่าไหร่ รัฐได้เท่าไหร่ และ เอกชนได้เท่าไร่ รวมทั้งเชื่อว่าหากมีการประมูลใหม่ จะเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่าเพราะเกิดการแข่งขันเกิดขึ้น
“พล.อ.ประยุทธ์ เร่งรีบเรื่องนี้เข้าครม.ในวาระจร และสัปดาห์หน้าทราบว่าจะรีบนำเข้าครม.อีกครั้ง ทั้งที่ยังมีข้อพิรุธและสังคมสงสัยมากกมาย หรือเป็นเพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในวันที่ 2 ธันวาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินพ้นเก้าอี้นายกฯในคดีบ้านพักข้าราชการหลังเกษียณอายุราชการ หรือไม่ จึงรีบเร่ง รวมทั้งยังเชื่อว่าเรื่องนี้หากยังดึงดัน จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ประชาชนจะออกมาไล่รัฐบาล” นายยุทธพงศ์ กล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ส.ส.เพื่อไทย ย้ำพิรุธต่อสัมปทานสายสีเขียว ชี้ฟางเส้นสุดท้ายพังรัฐบาล
แฉหลังต่อสัมปทาน ค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวแพงมหาโหด
https://www.dailynews.co.th/politics/808058
จับตา มท.ลักไก่ชง ครม.ต่อสัมปทานสายสีเขียว ฟาดค่าโดยสารมหาโหด 65 บาท ยาว30 ปี ยกข้อมูล รฟม.เทียบ ฟันส่วนต่างกว่า 2 แสนล้าน
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยข้อมูลว่า ให้เตรียมจับตาการประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองคุกรุ่นว่า มีความเป็นไปได้ที่กระทรวงมหาดไทย จะรีบเสนอ ครม.ขอเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะขยายสัญญาสัมปทานให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS ออกไปอีก 30 ปี โดยไม่ผ่านขั้นตอนการประมูลคัดเลือกเอกชนร่วมทุนกับรัฐ (PPP) จากเดิมระยะแรกจะสิ้นสุดปี 2572 เป็นสิ้นสุดปี 2602 โดยจะมีการจัดเก็บค่าโดยสารที่ 65 บาทตลอดสาย
ประเด็นสำคัญคือ มีการออก ม.44 คำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในช่วงรัฐบาล คสช. มารองรับว่า ไม่ต้องทำการประกวดราคาตามรูปแบบปกติ ในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐ หรือ PPP เพื่อให้มีการแข่งขันกันนั้น ได้สอบถามกับนักกฎหมายระดับสูงในรัฐบาลที่น่าเชื่อถือได้ ได้ตีความออกมาว่า ม.44 จะได้รับการรับรอง เฉพาะเมื่อการกระทำจบสิ้นในขณะนั้น ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับเรื่องที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้นได้อีก ดังนั้นเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ ม.44 เรื่องนี้ควรจะสิ้นสภาพ เหมือนเป็น “ยาหมดอายุ”
ที่น่าห่วงที่สุดก็คือ เรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. กรณี กทม. ไปตั้งบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด แล้วบริษัทนี้ไปจ้าง บีทีเอส เดินรถ อีกทอดหนึ่ง จะเป็นการขัดหรือแย้งกับกฎหมาย หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้กำลังรอผลตัดสินอยู่ และจากข้อมูล รฟม.นั้นพบตัวเลขการเก็บค่าโดยสารของ สายสีน้ำเงิน ระยะเส้นทางใกล้เคียงกัน แต่ รฟม. เก็บตามระยะทางราคาสูงสุดตลอดสายเพียง 42 บาท ขณะที่สายสีเขียว จะเก็บตามระยะทางโดยราคาสูงสุดตลอดสายที่ 65 บาท นั้น เป็นราคาที่สูงจนเกินไป เพราะ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ในระยะที่ 1 จะหมดสัมปทานในอีก 9 ปีข้างหน้า ไม่จำเป็นจะต้องรีบต่ออายุสัมปทาน
“ปกติแล้วการคำนวณราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า จะนับคนใช้บริการเฉลี่ยเพียง 12 สถานี เท่านั้น มีน้อยมากที่ผู้โดยสารจะขึ้นใช้บริการยาวกว่านี้ ทำไมจึงเก็บค่าโดยสารตลอดสาย 65 บาท อย่าลืมว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวท่อนแรก เป็นท่อนที่อยู่ตรงกลางผ่าใจกลางของเมือง และเมื่อหมดอายุสัมปทานในอีก 9 ปีข้างหน้าจะกลับมาเป็นของรัฐ หากให้ รฟม.วิ่งเอง ราคาจะไม่เกิน 42 บาท ตลอดสายแน่นอน เพราะอนาคตเมื่อปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ประกอบกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นเส้นทางหลักของเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นมาเชื่อมต่ออีกด้วย” แหล่งข่าวระบุ
แหล่างข่าวยังระบุด้วยว่า สำหรับการเดินรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน มีคนอยู่ในระบบเฉลี่ยประมาณวันละ 3 แสนคน แต่ระบบของสายสีเขียว คาดการณ์ว่า จะมีคนเข้าระบบเดินรถประมาณวันละ 8 แสนคน เมื่อจำนวนคนมาก ค่าโดยสารยิ่งไม่ควรจะถึง 65 บาท ขนาดสายสีน้ำเงินคนน้อยกว่ายังเก็บ 42 บาท หากเปรียบเทียบ ราคา 42 บาทตลอดสาย กับ บีทีเอส เสนอราคา 65 บาทตลอดสาย จะพบว่า มีเงินส่วนต่างคือ 23 บาท หากนำมาคำนวณ เอกชนรับผลประโยชน์ตรงนี้ไป คือ 23 (ส่วนต่าง) * 800,000 (จำนวนลูกค้าต่อวัน) * 30 (วัน) * 12 (เดือน) * 30(ปี) = 198,720,000,000 บาท หรือเป็นส่วนต่างเกือบ 2 แสนล้านบาท การที่ประชาชนยังจะต้องรับภาระค่าโดยสารตลอดสาย 65 บาท ไปอีก 40 ปี หรือจนถึงปี 2602 นั้น ขณะที่ข้อมูลอีกด้านคือ รฟม.ทำราคาได้น้อยกว่า 42 บาท อันไหนจะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่ากัน.