เมื่อลูกต้องเจอกับสิ่งลี้ลับ...ซึ่งไม่มีใครมองเห็นนอกจากเขา....จากที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

ช่วงปิดเทอม  เราได้ส่งลูกทั้งสองคนและยาย (แม่เราเอง) ไปอยู่บ้านเกิดจังหวัดโซนภาคเหนือ
ปกติพวกเราอยู่บ้านที่ กทม. ทั้งหมด  (ยาวหน่อยนะคะ)
               ในช่วงที่ลูกไปอยู่เหนือ ครบ 1 เดือนที่ลูกไปอยู่บ้านต่างจังหวัด ลูกคนโตเราอายุ 4.9 ขวบ คนเล็ก 3.1 ขวบ เป็นเด็กน่ารัก ร่าเริง ช่างพูดทั้งคู่  แต่จู่ๆ บ่ายวันนึง  ยายได้โทรมาช่วงบ่ายซึ่งไม่ใช่เวลาที่ปกติ แจ้งข่าวว่าคนโต จู่ๆ ก็นอนอย่างเดียว ไม่ยอมทานข้าว ไม่ยอมทานนม และไม่ยอมทานอะไรเลยนอกจากน้ำ น้องจะตื่นแค่ตอนหิวน้ำ และอยากเข้าห้องน้ำ
ยายแจ้งว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันที่ ช่วงเย็นหลังจากวางสายจากเรา แต่ไม่มีไข้ ตัวไม่ร้อน แต่ไม่พูด พอพูดก็พูดฟังไม่รู้เรื่องเหมือนคนลิ้นไก่สั้น พูดเสียงเบามาก (ปกติเป็นคนเสียงดังร่าเริง พูดชัดถ้อยชัดคำ)  เราจึงให้ยายพาเด็กไปหาหมอที่ รพ.  หมอแจ้งว่า เด็กมีอาการอ่อนเพลีย แต่ไม่มีไข้ และมีการตรวจเทสโควิด ปรากฏว่าไม่เจอ แต่เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียมาก หมอจึงต้องเติมน้ำเกลือ เพราะน้องไม่ยอมทานอะไรเลย  นอกจากน้ำเปล่า (ปกติเป็นเด็กตุ้ยนุ้ย และทานเก่งทั้งนมและข้าว)  เราเป็นกังวลมากอยากขึ้นไปเยี่ยมลูกเป็นห่วงและกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร  น้องนอน รพ. อยู่ 3 วัน 
จนหมอตรวจทุกอย่างและระบุว่าปกติดี แต่น้องก็ยังนอนและตื่นแต่ตอนต้องการทานน้ำและเข้าห้องน้ำเท่านั้น ช่วงวันที่ 3 ต้องพยุงทั้ง 2 คนเพราะร่างกายไม่มีแรงแต่หมอก็ให้กลับบ้าน
                ทั้ง 3 วันทำไมเราไม่กลับไปหาลูก ใจเราอยู่ที่ลูกทุกวันค่ะ ไม่เป็นอันทำงาน แต่เนื่องจากมีโปรเจคใหญ่ที่ต้องจัดการให้แล้วเสร็จเนื่องจากสำคัญมากซึ่งเราก็เร่งจนแล้วเสร็จในวันที่ลูกออก รพ. พอดี  เรารีบขับรถจาก กทม. มุ่งสู่บ้านเกิด  เพื่อรับลูกกลับมาบ้านที่ กทม.  ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 7 ชม. จาก กทม.- บ้านเกิด วินาทีที่จอดรถใต้ถุนบ้าน เปิดประตูรถ แล้วเห็นลูกนอนเป็นผักอยู่บนที่นอน ไม่มีรอยยิ้ม มีแต่สายตาที่ว่างเปล่ามองเรา  และร่างกายที่ซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด (ลูกที่เคยสดใส เจื้อยแจ้วคนเดิมหายไปไหน) น้ำตาเราไหลไม่รู้ตัวมันหยุดไม่ได้ มีคนเล็กที่ดีใจกระโดดโล้ดเต้นแม่มาแล้ว แม่มาแล้ว  เรารีบอุ้มคนเล็กแล้วเดินไปหาคนโตที่ยังนอนอยู่บนที่นอน
พร้อมกับวางคนเล็กข้างๆ  คนเล็กพูดว่า “แม่จ๋าพี่ไม่สบายไม่กินข้าวเลย พี่น่าสงสารจัง” เรารีบสวมกอดคนโตพร้อมกับบอกว่าแม่มาแล้วนะ แม่มารับกลับบ้านเรา  น้องผ่ายผอมลงไปเยอะมาก น้องพูดกับเราเบาๆ แค่ว่า “หิวน้ำ” พอให้ทานน้ำน้องก็เอนหัวลงไปนอนต่อ  เรามองหน้ายายซึ่งคุยกันแทบทุกวัน ยายเองก็ผ่ายผอม พร้อมกับพูดว่าเป็นอย่างนี้มาจะ 4 วันแล้วนะ หมอก็ได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร  แต่แค่จะเดินยังไม่มีแรง เพราะไม่ยอมลุกขึ้นมากินอะไรเลย
               รุ่งเช้า เราตัดสินใจขับรถกลับมากทม.  แต่ช่วงที่ขับรถกลับมา กทม. มีเหตุการณ์ที่น่าแปลกใจคือ จู่ๆ น้องก็พูดขึ้นมาว่า “เราจะไปไหนทำไมไปกันเยอะแยะแล้วเขานั่งหน้ารถทำไม” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เราเจอลูกที่เขาพูดประโยคได้ยาวแบบนี้ เราก็พูดขึ้นว่า เยอะตรงไหนครับลูกมี 4 คนเราเอง “จู่ๆ เขาก็ยกมือชี้ไปทางด้านหน้ากระโปรงรถแล้วพูดว่าแล้วนั่นใครละ” เราก็บอกว่าไม่เห็นมีใคร และคิดว่าลูกคงนอนเยอะ อาจตาพร่ามัวได้  จากนั้นก็ มุ่งสู่ รพ. เด็ก ที่ราชวิถี   เมื่อตรวจร่างกายและเช็คทุกอย่างคุณหมอก็แจ้งว่าขอให้นอนและให้น้ำเกลือเนื่องจากน้องร่างกายอ่อนเพลียมากไม่มีไข้แต่อย่างใด เก็บเลือดและปัสวะ อุจาระ เพื่อหาอย่างอื่นต่อไป สรุปนอนให้น้ำเกลือที่นี่ 2 คืนและหมอก็ให้กลับบ้านเพราะไม่เจออะไรนอกจากร่างกายอ่อนเพลียและรอบนี้เริ่มทานนมได้
              กลับบ้านพอวันถัดมาน้องเริ่มนอนอีก รอบนี้นอนยาว ลุกมาฉี่และทานน้ำกับนมแค่ตอนเที่ยงและ 4 โมงเย็น
แต่ดีที่มีเรียกทานข้าวสวยกับไข่ต้ม แต่ก็แค่วันเดียวเท่านั้น จากนั้นวันถัดมาก็นอนทั้งวันจนเราพาลูกไป รพ.พญาไท 
เพื่อไปตรวจอีกครั้ง  หมอตรวจจากนั้นก็ให้นอน รพ. อีก 2 คืนและ 3 วัน เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลีย และวันที่หมอให้ยอมกลับได้เนื่องจากเริ่มทานข้าวต้มและโจ๊ก  วันนี้จึงเป็นวันที่พวกเราได้ออกจาก รพ. อีกครั้งและเป็น 3 รพ.ในรอบ 1 เดือน แต่ลูกก็ยังไม่มีอาการที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
                ในช่วงเวลาที่ลูกเราป่วยเข้า รพ.นั้น ออก รพ.นี้ ทางพ่อและญาติ ก็ได้ไปดูหมอบ้างหละ ไปนิมนต์หลวงพ่อมาดูบ้างหละ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กตัวเล็กๆ ที่จากร่างเริง สดใส กลายมาเป็นเด็กนอนนิ่งเป็นผักไม่ยอมกิน เอาแต่นอน
เล่าย้อนไปนิดวันที่เราถึงบ้านป้าถึงกับร้องไห้ เพราะกลัวว่าลูกเราจะตาย เพราะเขานอน อย่างเดียวจริงๆ ไม่กิน ไม่เล่น ไม่พูดกับใครเลย
                วันนี้เราเดินทางออกจาก รพ. พญาไท เมื่อถึงบ้าน เราก็เปิดทีวีจากนั้นคนโตก็นอนบนโซฟา ส่วนคนเล็กนั่งเล่นตุ๊กตาหน้าทีวี ส่วนเราขนของลงจากรถ ในขณะที่เราจัดของจู่ๆ คนโตก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมตะโกนเรียก  “ช่วยด้วยมันจะฆ่าน้อง แม่ ยาย น้องหายใจไม่ออกช่วยด้วย “ เราทิ้งของพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปก่อน พร้อมกับๆ คนเล็กทิ้งตุ๊กตาในมือพร้อมกับใช้มือมาทุบและดึงที่คอพี่ชาย “ทำพี่หนูทำไมทำพี่หนูทำไม” เราและยายรีบพากันอุ้มขึ้นไปชั้นสองมุ่งตรงไปห้องพระพร้อมกับสวดมนต์ไหว้พระให้คุ้มครองลูกเรา เรานำพระพุทธชินราช มาให้ลูกกอดไว้ เราทำอะไรไม่ถูกไม่เคยเจอไม่รู้ว่าลูกเห็นอะไรเป็นกันแน่ ในขณะที่ตัวลูกเราสั่นเทา และเขาก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีแล้วแม่ไม่มีแล้วมันไปไหนแล้วแม่ ตัวใหญ่มันไปไหนแล้ว “  เราขนลุกไปทั้งตัว นอกจากที่นอนเป็นผักไม่เคยพูดจานอนจากตื่นห้องน้ำและทานน้ำกับนมแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ลูกพูดเป็นประโยคและฟังรู้เรื่อง  จากนั้นคำถามเราก็ผุดขึ้นมาในหัว ว่าไอ้ใหญ่ที่ลูกพูดถึงคือใคร มาจากไหนและเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับลูก  
            เราเขาเน็ตหาวัดที่ทำพิธีทางด้านพุทธศาสนาทันที เราไปทุกวัดและทุกวัดก็ให้แค่ด้ายสายสิน และน้ำมนต์มาเพื่ออาบเท่านั้น เพราะโควิดเริ่มระบาดทางศาสนารัฐบาลให้ยุติพิธีกรรมทุกอย่าง  เราคิดอะไรไม่ออก เราเคยเป็นอาจารย์สอนนักเรียนมาก่อน และนักเรียนมีหลายศาสนามาก เราตัดสินใจเข้า FB และ IB หาลูกศิษย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม
ลูกศิษย์เราขอวันเดือนปีเกิด จากนั้นก็โทรกลับมาหาเราว่าให้นำลูกเราไปที่โรงเรียนด่วน (เป็นโรงเรียนของศานาอิสลาม)
เราสี่คน หอบอุ้มพระพุทธชินราช ขึ้นรถมุ่งสู่ โรงเรียน เพื่อไปพบกับคุณตาท่านนึง (เราไม่รู้ว่าเรียกว่าอย่างไรเราขอเรียกว่าท่านตาก็แล้วกัน)  เมื่อไปถึงท่านตาก็เตรียมถังน้ำ 1 ถัง และเทียนไข 1 เล่ม แค่ลูกเราเข้าไปอยู่ใต้ชายคา โรงเรียน ลูกเราก็ร้องกลับบ้าน ไม่อยากอยู่ทีนี่   คุณท่านตา น่าจะสวดบทสวดอะไรชักอย่างพร้อมกับจับมือน้อง พร้อมๆ กับวนเทียนไขไปรอบๆ เราก็จ้องตาไม่กระพริบและจับลูกไปด้วย เพราะเริ่มร้องไม่หยุด  จู่ๆ ในถังน้ำ ก็ปรากฏรูปคนตัวใหญ่ 1 คน พร้อมกับจับมือคนตัวเล็กเดินตามหลัง  คุณท่านตาพยายามพูดกับเราแต่สอบถามต้องคอยมีล่ามเพราะท่านตาพูดไม่ชัดและหูไม่ดี
จากล่ามที่แปลคือ “ลูกเรามีคนคอยควบคุมและดูแลพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลา เป็นคนตัวใหญ่ร่างสูง ผู้ชาย “ คอยกำกับและพูดให้ลูกเราอยู่ในอานัติตลอดเวลา  วันนี้ลูกเราต้องอาบน้ำที่ท่านตาลงบทสวดไว้ และมีข้อห้ามกับเราว่า ห้ามทำพิธีเลี้ยงผู้ชายคนนี้เด็ดขาด และให้มาอาบน้ำที่นี่ให้ครบ 3 วัน (ล่ามเล่าว่าไทยพุทธเมื่อรู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรมักจะทำการเลี้ยงสิ่งให้กับสิ่งลี้ลับเรียกร้อง)
เหตุที่ลูกเราเป็นแบบนี้เพราะน่ารัก ถูกชะตา และช่างพูด เจอกันที่กลางทุ่งนาที่มีหนองน้ำ  (บ้านเราทำนาค่ะ และช่วงที่เด็กๆ ไปอยู่บ้าน คุณตา (พ่อเรา) ก็จะไปที่สระน้ำเพื่อบ่อยๆ ทำการสูบน้ำใส่นาและเด็กๆ ก็ตามไปด้วย)
วันนี้อาบน้ำมนต์วันแรกและเป็นวันที่ 3 ที่เรากลับมาถึง กทม. และน้องเริ่มลุกเดินค่ะ แต่ต้องคอยพยุง
พาออกมาเดินปกติแต่แม่ต้องคอยพยุงเพราะยังไม่มีแรง  เพื่อนบ้านพอเห็นต่างก็ทักว่าน้องเป็นอะไร ทำไมน้องตาลอย ทำไมน้องไม่ทักทาย ทำไมน้องดูกลัวๆ  ไม่สดใส ไม่ร่าเริง น้องเป็นอะไร (จากนั้นกลางคืน Line ส่วนตัวเราจากเพื่อนบ้านก็ต่างสอบถามว่าน้องเป็นอะไร เพราะน้องแปลกไปมาก จนมีหลายบ้านแนะนำสถานที่ๆต้องไปศักการะ) 
วันแรกของการอาบน้ำผ่านพ้นไป ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี น้องสามารถเดินได้แต่ต้องพยุง แต่ถ้าใครทักทายจะชวนกลับเข้าบ้านทันที พอเจอใครที่เป็น ผู้ชายตัวโตจะยิ่งหวาดกลัว  พออาบน้ำที่บ้านท่านตา ครบทั้ง 3 วัน น้องดีขึ้นแค่ยอมทานข้าว เดินได้ แต่ยังพูดช้าๆ เบาๆ และหวาดกลัวคนนอก  และมีการพูดถึง ไอ้ใหญ่บ่อยขึ้น เช่น ตัวใหญ่พูดว่าเด็กดีไม่พูดมากเด็กพูดมากเป็นเด็กไม่น่ารัก  ,กินเยอะระวังท้องจะโตและหนอนจะมากินข้าวในท้องที่โต, เด็กดีต้องนอนเยอะๆ
เราปรึกษาแม่ว่าลูกไม่ดีขึ้นเลย จะทำยังไงกันดี เรานอนร้องไห้ทุกคืน เราสงสารลูก และไม่รู้เมื่อไหร่ลูกเราจะหาย
12 วันแล้วนะที่ลูกเป็นแบบนี้  
               ญาติโทรมาพร้อมกับแจ้งว่าให้ตีรถกลับไป จ.แพร่ด่วน หลวงพ่อวัดนึงในจังหวัดแพร่ให้ไปหาท่านที่นัดได้นัดหมายไว้เรียบร้อยแล้ว  เตรียมไข่ดิบไปด้วย 3 ฟอง น้ำเปล่า 1 ขวด (เสียงจากสายของญาติท่านนึง)
               รุ่งเช้า  04.00 น. ล้อหมุนออกจาก กทม. อีกครั้ง  13.00 น. เดินทางถึง วัดนึงใน จ.แพร่ 
พอไปถึงหลวงพ่อ ก็เรียกน้องไปสอบถาม ว่าเล่ามาซิตัวใหญ่ทำอะไรหนูบ้าง
“ตัวใหญ่ชอบแกล้งน้อง บีบคอน้องเวลาน้องพูดเยอะ”  “ตีก้นกล่อมน้องนอน” “ห้ามพูดเยอะไม่น่ารักถ้าพูดเยอะจะไม่มีใครรัก”  เดี๋ยวหลวงพ่อจะช่วยนะไม่ต้องกลัว
              จากนั้นหลวงพ่อ ให้เราถวายไข่ดิบ ที่เรานำติดตัวมาด้วย จากนั้นหลวงพ่อบอกว่าคนที่เขาติดตามมาไม่ได้คิดร้าย
เดี๋ยวก็รู้ว่าเขาอยากได้อะไร จากเรา  แล้วหลวงพ่อก็นำไข่ 1 ใบที่เรานำมาถวายใส่ในมือท่าน พร้อมกับแบบมือไข่ยังนอนนิ่งในมือ จากนั้นท่านก็งึมงำสวดอะไรซักอย่าง  “จู่ๆ ไข่ 1 ฟองที่เรานำมาถวายที่อยู่ในมือที่แบบอยู่ก็ค่อยๆ ตั้งขึ้น “ “เอ้าต้องการอะไรจากเขาบอกมาซิ มากวนเด็กมันทำไม ไม่พอใจอะไรอยากได้อะไรพูด “ 
“เขาอยากมาอยู่กับเราให้เราเลี้ยงดูเขา เขาเป็นกุมารที่ลูกทิ้งขว้าง อยากมาเป็นลูกเราเราจะรับเขาใหม” เราเกิดมา 35 ปี เรามีความเชื่อเรื่องนี้บ้างแต่สิ่งที่เจอและเห็นกับตาในวันนี้มันทำให้เรารู้ว่านอกเหนือจากวิทยาศาสตร์แล้วทางโลกลี้ลับก็มีอยู่จริง  เราบอกหลวงพ่อว่าเราไม่รับ เราไม่เคยดูแล เราอยากได้ลูกเราคืน เราไม่รับเลี้ยงเขา เราไม่เอา “ถ้าไม่รับเลี้ยงเขาแต่เขายังเข้าใจว่าเด็กเป็นลูกโยม โยมต้องยกลูกให้เป็นลูกอาตมา มีข้อแม้ว่าให้มากราบไหว้ที่นี่ทุกๆ ปี  ห้ามทุบตีด้วยโทสะไม่งั้นเราจะมีอันเป็นไป จะยกลูกให้อาตมาหรือไม่” เรารีบตอบว่ายกให้ทันที  จากนั้นหลวงพ่อ “ค่อยๆ นำสายสิญพันไปรอบๆ ไข่ และใช้ปลายมัดแทงไปที่ด้านบนสุดจนไข่แตก และใส่ขันให้เรานำไปฝังใต้ต้นโพธิ์ “ 
หลวงพ่อผูกข้อมือให้น้องรับเป็นลูก เราและยายผูกข้อมือรับขวัญ จากนั้นให้ดื่มน้ำเปล่าที่เราเตรียมไป   จากนั้นกราบลาเพื่อกลับบ้านเกิดเนื่องจากล่วงเลยมาเย็นแล้วจึงต้องพักที่บ้านก่อนค่อยกลับ กทม.ตอนสาย
              พอก้าวพ้นหลังคากุฎิ น้องพูดว่า “แม่ครับน้องหิวหมูย่างจิ้มน้ำปลา น้องอยากกิน KFC น้องหิวครับแม่”
เราและยายร้องไห้ออกมาพร้อมกัน  เราได้ลูกคนเดิมของเรากลับมา ลูกคนที่สดใส ลูกคนที่ช่างเจรจา ลูกคนซึ่งช่างซักช่างถาม   เราได้เขากลับมาแล้วค่ะ  กลับมาถึงบ้านคุณตา และญาติ ต่างมาทำหมูย่างให้น้อง   และผูกข้อมือรับขวัญ
ทุกคนต่างดีใจที่ได้เห็นน้องกลับมาเป็นคนเดิม 13 วันที่ผ่านมา ช่างทรมานครอบครัวเราเหลือเกิน  
ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่านนะคะ ยาวไปนิด แต่เป็น 13 วันที่ เราร้องไห้ทุกคืน ทุกข์ระทมมาก ขอบคุณทุกๆ ท่านมากๆ ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่