ชีวิตวิถีใหม่ หลังการผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ภาคที่ 1

กระทู้สนทนา
ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) หลังการผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
เราขออนุญาตเล่าถึงประสบการณ์ ในการดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และหวังว่ามันพอจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ ที่คนในครอบครัว กำลังรอจะผ่าตัด หรือผ่าตัดแล้ว แต่ยังไม่คุ้นเคยกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่นี้ครับ
 
แฟนของเราต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเมื่อปี พ.ศ. 2556 และแกเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนนี้เราเริ่มพอมีเวลาว่าง จึงอยากแชร์สิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้จากที่เกิดขึ้นจริง จากการปฏิบัติจริง จากการสืบค้นหาอ่านจากสารพัดสื่อที่หาได้ เลยขอรวบรวมไว้ และแยกออกเป็นหลาย ๆ ประเด็น หลาย ๆ หัวข้อครับ
 
วิถีชีวิตใหม่ เราไม่ค่อยเข้าใจตอนที่เราเริ่มอ่านหาความรู้ ก่อนที่แฟนจะเข้ารับการผ่าตัด จนเมื่อแฟนผ่าตัดเสร็จแล้ว เราถึงเข้าใจสถานการณ์ของวิถีชีวิตใหม่อย่างถ่องแท้ ใช่ครับ มันคือวิถีชีวิตใหม่จริง ๆ เพราะโลก และชีวิตที่เคยรู้ เคยมี เคยเป็น จะต้องเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด มาปรับกันใหม่หมด ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตใหม่ ที่ไม่มีกระเพาะปัสสาวะ และความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะแฟนเราในฐานะคนไข้ แต่กระทบถึงเราตรง ๆ ในฐานะผู้ให้การดูแล
 
 
การผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
 
แฟนของเราได้รับการผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ตอนนั้นแกอายุ 80 ปีแล้ว โชคดีที่สภาพร่างกายโดยทั่วไป พร้อมที่จะรับการผ่าตัด การผ่าตัดนั้น ศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ (Urologist) เป็นผู้ผ่าตัด โดยตัดกระเพาะปัสสาวะที่เป็นมะเร็งออก แล้วตัดส่วนหนึ่งของลำไส้เล็กออกมาเพื่อต่อเข้ากับไต แล้วทำเป็นทางออกสำหรับปัสสาวะมาที่หน้าท้องใกล้ ๆ สะดือ ส่วนที่ยื่นออกมานี้เรียกว่าทวารเบาเทียม หรือ สะโตม่า (Stoma) จึงเป็นกระบวนการซับซ้อน เพราะตัด และต่อ หลายส่วนในช่องท้อง โดยใช้เวลาผ่าตัดกว่า 6-7 ชั่วโมง
 
แฟนเราต้องนอนห้อง ICU ทันทีหลังออกจากห้องผ่าตัด เพื่อเฝ้าสังเกตุอาการ 1 คืน เราได้เข้าไปเยี่ยมคืนนั้น หลังจากแกออกจากห้องผ่าตัด แกสลึมสลือมาก ไม่รับรู้อะไร สายสารพัดโยงระยางเต็มตัวไปหมดจนเราเองก็กลัว ไม่กล้าแตะอะไรเลย จึงปล่อยให้แกนอนไป
 
วันรุ่งขึ้น อาการแกค่อนข้างทรงตัว ทางห้อง ICU จึงส่งคืนให้กลับมาพักฟื้นต่อที่ห้องปกติ เมื่อกลับมาแล้ว แกยังมีสายสารพัดโยงยางติดตัวมาด้วย แต่แกเองก็ยังคงสลึมสลือ หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่อีกถึง 2 วัน แถมด้วยอาการไข้ขึ้น น้ำคั่งในร่างกาย รวมถึงในปอด แต่ทั้งหมดนี้ ทีมคุณหมอ และพยาบาลเฝ้าสังเกตุอาการอยู่ใกล้ชิดตลอด และให้ยาตามอาการ ซึ่งก็ทุเลาลง
 
เมื่อเข้าวันที่ 3-4 แกเริ่มรู้ตัวมากขึ้น แต่ยังเพลียอยู่มาก รวมถึงงงและหลง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน พยายามจะดึงสายน้ำเกลือ สายวัดชีพจร สายเดรนเลือด ออกจากตัว เวลามองหน้าเรา มองด้วยความสงสัยว่าเราเป็นใคร หรือสั่งให้ไล่พยาบาลออกจากห้อง คุณหมอและพยาบาลบอกว่าเป็นอาการปกติ สำหรับคนสูงอายุที่ต้องดมยาสลบนาน อีก 2-3 วันก็หาย สำหรับแฟนเรา กว่าจะหายก็เป็นอาทิตย์ครับ
 
ระหว่างพักฟื้นที่โรงพยาบาล แกเพลีย และบ่นเจ็บแผลอยู่ค่อนข้างบ่อย คุณหมอมาตรวจแผล และทำแผลให้ทุกวัน วันละ 2 เวลา ทำแผลทุกครั้ง แกบ่นเจ็บมากทุกครั้ง ระหว่างนอนพักฟื้น คุณหมอจะคอยถามว่า ผายลมแล้วรึยัง ถ่ายอุจจาระแล้วรึยัง ทั้งหมดนี้ เพื่อดูว่าระบบทางเดินอาหารที่ถูกตัดต่อไป ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้วรึยัง แต่ทั้งหมดนี้ แกถูกห้ามทานอาหาร หรือดื่มน้ำอยู่เป็นอาทิตย์นะครับ ซึ่งแกบ่นอยู่ตลอดว่า คอแห้ง อยากจิบน้ำ
 
แฟนเรานอนอยู่โรงพยาบาลรวมทั้งหมด 2 อาทิตย์ กว่าจะได้กลับบ้าน โดยเงื่อนไขคือ กลับบ้านได้เมื่อสามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ซึ่งก็แค่เดินไปมาประมาณ 10 เมตร เมื่อเริ่มทานอาหารอ่อนได้ และสำคัญที่สุด เมื่อสามารถถ่ายอุจจาระได้ แต่โชคดีที่แฟนผมแกอยากจะกลับบ้านแล้ว แกจึงฮึดสู้ ลุกขึ้นมาเดินให้ได้ ด้วยส่วนหนึ่งคือ ห้องนอนที่บ้านเราอยู่ชั้นสี่ ถ้าแกอยากกลับบ้าน ก็จำเป็นต้องมีแรงที่จะมาเดินปีนขึ้นบันได้ให้ถึงห้องนอนให้ได้ แฟนผมแกแรงฮึดสู้ดีจริง ๆ
 
ก่อนกลับบ้าน คุณหมอมาย้ำว่า แผลผ่าตัด ยังคงต้องทำอยู่ทุกวัน วันละ 1 ครั้ง โดยสามารถพาไปที่คลีนิก หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านได้ ซึ่งเราก็ทำตามนั้น จนกระทั่งแผลแห้งสนิทมากขึ้น เราถึงเป็นคนทำให้เอง แผลผ่าตัดนี้ค่อนข้างยาว เริ่มจากเหนือสะดือ ยาวลงมาประมาณ 5-6 นิ้ว ห้วงที่ยังมีไหมเย็บอยู่ แกจะบ่นเจ็บแผลตลอด เพราะไหมยังรั้งบริเวณผ่าตัดไว้ จนเกือบสองเดือนหลังผ่าตัด คุณหมอถึงได้ตัดไหมออก ซึ่งแกบอกว่าโล่งสบายขึ้นเยอะมาก แต่ก็ยังเสียว ๆ แผลผ่าตัดนั้นอยู่
 
วันที่ได้กลับบ้าน แกดูมีความสุขมาก ที่ได้กลับมานอนที่บ้านตัวเอง แกมีแรงฉุดพาตัวเองกลับขึ้นถึงห้องนอนที่ชั้นสี่ของที่บ้านได้ โดยผมเพียงแค่ช่วยประคองไม่ให้ล้ม หรือเซ เท่านั้นเอง
 
การกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน เป็นสิ่งที่ยากลำบากกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลเยอะมาก เพราะที่บ้าน ไม่ได้มีความพร้อมเหมือนกับโรงพยาบาล การลุกนั่ง เดินไปห้องน้ำ ยากลำบากมาก ต้องคอยประคองตลอดเวลา และแกยังอ่อนเพลียมาก ทำอะไรไม่ได้ นอนตลอดเวลา แถมเบื่ออาหาร ไม่อยากกิน ไม่อยากดื่มอะไรเลย กว่าจะผ่านห้วงนี้ไปได้ ก็ 3-4 เดือนไปแล้ว
 
แต่ถึงจะผ่านห้วงฟื้นตัวไปได้แล้ว กำลังวังชาต่าง ๆ ไม่เหมือนเดิมแล้ว แฟนผมบ่นอยู่ตลอดเวลา ว่าไม่มีแรงจะทำอะไรได้เลย ซึ่งแกก็ท้อแท้มาก เพราะเคยเป็นคนที่สามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้เองเยอะอยู่มาก แม้จะด้วยวัย 80 ปีแล้วก็ตาม ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรเลย หรือทำได้สักครู่ ก็เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ต้องหยุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่