ฝากไปถึงผู้บริหาร รร.สารสาสน์(ในเครือ)ทุกแห่ง รวมไปถึงผู้ได้รับใบอนุญาต(เบื้องหลังที่บุคคลทั่วไปควรรู้)

จากกรณีที่เป็นข่าวกรณี ครูพี่เลี้ยง ใช้ความรุนแรงต่อเด็กในระดับชั้นอนุบาล ไปจนถึงคุณครูท่านอื่นๆที่มีพฤติกรรมคล้ายๆกัน ได้สะท้อนถึงปัญหาบางที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษาไทย จึงอยากเล่าประสบการณ์บางอย่างที่บุคคลทั่วไปควรรับรู้ เกี่ยวกับบริบทของโรงเรียน อุดมการณ์ หรือวิธีคิด เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และระบบใน รร.อย่างแท้จริง

ภูมิหลังของโรงเรียน 

     รร.สารสาสน์ นับเป็น รร.ที่มามายาวนานกว่า 50 ปี โดยจุดเริ่มต้นอยู่ในย่านสาธุประดิษฐ์ ปัจจุบันคือ รร.สารสาสน์พิทยา และเปิดทำการสอนระบบอิงลิชโปรแกรมที่แรก คือ รร.สารสาสน์เอกตรา และถ้านับ รร.ในเครือมีมากกว่าสี่สิบแห่ง เอาเป็นว่า รอบๆ กทม ปริมณฑล ต่างจังหวัดหลายจังหวัด(ยกเว้นทางใต้) มี รร.ในเครือสารสาสน์ตั้งอยู่เกือบทุกภูมิภาค

จุดขาย
      รร.สารสาสน์เป็นผู้บุกเบิกหลักสูตร ep การสอนระบบสองภาษา การใช้ดนตรีเข้ามาเป็นส่วนพัฒนาผู้เรียนในหลักสูตร จริงๆในภาพรวมจะมีทั้งระบบสามัญ และ ep โดยนำวิชาหลัก วิทย์ คณิต สุขศึกษา สังคม มาเป็นวิชาคู่ขนานโดยจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ และยังเน้นจุดขายเรื่อง การควบคุมระเบียบวินัยเด็ก การคัดลายมือ (ผู้บริหารจะเน้นมากๆ) และมีสถานที่แบบตึกโดมตามสไตล์คาทอลิก นำแนวทางการอภิบาลแบบ ซาเลเซียนเข้ามาใช้ใน รร. เพื่อขัดเกลานักเรียน

จุดที่เป็นปัญหา

1. สช. ปล่อยปละละเลย รร.สารสาสน์มากพอสมควร คุณรู้หรือไม่ว่า ครูไทยและต่างประเทศใน รร.แห่งนี้ หลายคนไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู หลายคนเป็นแรงงานผิดกฎหมายไม่ได้รับอนุญาตสอน ไม่ได้ขอวีซาทำงาน โดยเฉพาะชาวฟิลิปปินส์ที่เข้ามาสอนใน รร.แห่งนี้ ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มลักลอบเข้ามาเป็นแรงงานต่างด้าวในไทย หรือแรงงานไทยที่ประเทศเกาหลี เพราะถ้าให้คุณตรวจสอบอย่างละเอียดกับ รร.ในเครือ คุณจะสะพรึงกว่านี้ ครูไทยหลายคนไม่ได้จบครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และทำการสอนแบบไม่ถูกต้องตามระเบียบของครุสภา ตรงนี้สช.ต้องเป็นหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมายาวนานมาก(แต่แค่ยังไม่เป็นข่าว หรือตรวจสอบอย่างจริงจัง)

2. ถ้าคุณคาดหวังว่าเด็ก สารสาสน์จบออกไปจะมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ กล้าแตกต่าง อย่างมั่นใจ มีความเชื่อมั่นในตนเอง คุณคิดผิด ภาพลักษณ์ภายนอก สิ่งที่คิด กับสิ่งที่บ่มเพาะใน รร.ต่างกันโดยสิ้นเชิง กิจกรรมส่วนใหญ่ใน รร. ล้วนเกิดจาก ผู้บริหารและเข้าของ รร. เด็กถูกควบคุมภายใน รร.อย่างผิดธรรมชาติ ให้เดินแถวอย่างเป็นระเบียบตลอดเวลา จะไปวิ่งเล่นอิสระ หรือทำอะไรที่สร้างสรรค์เป็นไปได้ยากมาก มีการเดินมาร์ช ร้องเพลงมาร์ช (ผมนึกว่าอยู่ใน รร.ยุคนาซี หรือยุคเกาหลีเหนือ ช่วงตระกูลคิมปกครอง) เด็กเหมือนถูกกล่อมเกลาให้เป็นระเบียบอยู่ตลอดเวลา จนบางทีเกิดความเบื่อหน่าย ขาดจินตนาการ ขาดการใช้ทักษะการริเริ่มสร้างสรรค์ทำสิ่งใหม่ ครูก็ทำตามนโยบายของผู้บริหาร รร. (คัดลายมือ รักษาระเบียบ อยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่เอาแต่ยัดเยียดการเรียนแบบท่องจำนำไปสอบ ดนตรี และลูกเสือ)

3. ถ้าคุณอยากเห็นการเรียนภาษาไทยภาคพิศดาร คุณจะพบเห็นได้ที่สารสาสน์ การแจกลูกคำ การฝึกเขียนก่อนฝึกพูด (ดูฝืนกับธรรมชาติการเรียนรู้) ซึ่งเป็น รร.ที่แตกต่างจากที่อื่น ไม่รู้ว่าความแตกต่างนี้มันได้สร้างปัญหาในระบบการเรียนรู้ และครูที่นั่นรู้ดีว่าต้องทำตามนโยบายของ รร. ตามคตินิยมของเจ้าของ รร. ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของจิตวิทยาพัฒนาการ 

4. รร.นี้เชิดชูเด็กที่อภิบาลได้ง่าย ไม่ชอบเด็กที่มีปัญหา หรือเด็กที่ฝืนกับระเบียบ รร. เด็กที่เล่นดนตรี คัดลายมือสวย จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เด็กที่แตกต่าง มีความคิดเป็นของตนเอง ตั้งคำถามต่อระเบียบวินัยที่ไร้ลอจิก เด็กจะอยู่ยากมาก จนถึงขั้นซึมเศร้า และเก็บกด รร.ไม่มีนักจิตวิทยาแนะแนวมืออาชีพที่ดีพอ ไม่มีผู้ให้คำปรึกษาหรือทิศทางเกี่ยวกับปัญหาเด็ก หรือวัยรุ่น ใช้การบริหารงานแบบท็อปดาวน์ เน้นทำตามคำสั่ง ของท่านเจ้าของที่เหมือนอยู่ในยุค คริสต์ศตววรษที่ 20 (โลกโบราณที่ไปไม่ถึง ศตวรรษที่ 21) ดังนั้น คุณไม่ต้องคาดหวังเลยว่าเด็กจะมี 4c หรืออะไรก็แล้วแต่ คิดวิพากษ์ยังไม่ได้เลย จะไปถึงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร เด็ก รร.นี้ ถ้าให้ฟรีเซ็นอะไร จะขาดความเป็นธรรมชาติ หรือใส่ความคิดเห็นที่เป็นอิสระมากๆ เพราะกลัวว่าถ้าแหกแหวกแนวจะไม่เข้าพวก เน้นท่องจำนำไปสอบเกือบทุกวิชา มีสรุปเหมือนติวก่อนสอบให้อ่านด้วยช็อตโน้ดวิเศษ (ผมคิดว่าการเรียนแบบนี้ไม่ไม่เวิร์คในปัจจุบัน)

5. ภาพลักษณ์ภายนอกดี แต่ภายในอึมครึม หดหู่ ไร้ชีวิตชีวา ตึกสูงใหญ่ เหมือนอยู่ในมหาวิหารอิตาลี แต่ข้างในเหมือนกรงขังจองจำเด็กดีดีนี่เอง ไม่รู้ความหวังดีของผู้บริหารที่ตกยุค มันจะทำให้เด็กเผชิญกับการรู้เท่าทันสังคมภายนอกได้หรือไม่ ระบบการเรียนแบบท่องจำนำไปสอบมันไม่เวิร์ค การเรียนในกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์หรือปฏิบัติก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ได้ทดสอบ ทดลอง แก้ปัญหา หาข้อสรุปในแบบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าจะให้ดีลองให้ศึกษานิเทศน์เข้าไปสังเกตการสอนทุกรายวิชาของที่นี่จะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเลย ถ้าเอาการประเมินแบบทักษะศตวรรษที่ 21 มาจับ รร.แห่งนี้ตกแบบดิ่งเหวเลยทันที

6. ระบบการบริหาร รร. ทำลายศักยภาพและเสรีภาพครู และเด็ก ทำให้กลายเป็นระบบที่ครอบงำให้อยู่ภายใต้โลกทัศน์ที่ตกยุค ผมคิดว่าถ้าจัดการเรียนการสอนแบบนี้ มันไม่ไปด้วยกันกับยุคสมัยหรอกครับ รร.(เก็บค่าเรียนพิเศษเด็กในคาบพิเศษ ซึ่งผมถือว่าเกินความจำเป็น) การเรียนพิเศษมันจำเป็นสำหรับทุกคนหรือครับ ชุด หรือเสื้อผ้า น่าจะผูกขาด รวมไปถึงอุปกรณ์การเรียนอื่นๆ ตกลงใครได้ประโยชน์ที่แท้จริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่