“ ปัญญาคือสัจจะ หาใช่การข่มใจ นี่คือสิ่งสากลของธรรมชาติหาใช่มนุษย์เสกสรรค์ ”
การที่เราจะเข้าถึงสัจจะที่สุดแสนจะเรียบง่ายนั้น เกิดได้จากเส้นทางเดียวคือปัญญาที่ตกผลึกเป็นความรู้อันแจ่มแจ้งดุจแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เราจะรับรู้ได้ถึงการไร้ซึ่งคำถามอีกต่อไป สิ่งต่างๆมากมายที่เราต้องการคำตอบจากอดีตแลอนาคตนั้นได้สมบูรณ์แล้ว
ปัญญาในที่นี้คือการที่เราเข้าใจตัวเองอย่างแจ่มแจ้งในทุกสภาวะการณ์ดุจท่านมีดวงตาภายในตนคอยส่องสว่าง...เรากำลังคิดอะไรอยู่? เรากำลังเป็นบ้าอะไร? เรากำลังมีอคติต่อคนผู้นี้หรือ? เรากำลังหลงใหลเธอผู้มีความงดงามอันจอมปลอมอยู่หรือ? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการคับข้องในดวงใจเราอย่างยิ่ง
เมื่อเราเกิดสภาวการณ์ที่บีบอัดใจเราให้ทุกข์ระทมหรือดีใจสุดแสนนั้น ตัวเราสามารถวางมันลงได้หรือไม่? โดยการที่ท่านกลับมารับรู้แลอยู่ในปัจจุบันอันเรียบง่าย ดุจความรู้สึกดั่งน้ำนิ่งไม่ไหวติงใดๆแต่หาใช่เราบังคับให้เป็นอย่างนั้น แต่ให้เป็นไปตามสภาวะที่เกิดจากธรรมชาติแห่งการมีปัญญาอันรับรู้นั่น มิใช่เกิดจากการที่เราไปพยายามบีบบังคับหรือพยายามสร้างหลักการใดๆ นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้ามักเรียกแทนว่า “แววตาของเด็กทารก”
หรือแม้กระทั่งว่าการที่เราขยันสังเกตทุกสิ่งมาเป็น “การสร้างปัญญาเพื่อรู้สภาพความเป็นจริงที่แก่นแท้ของมัน” ดั่งว่าชีวิตของคนเราเมื่อเรากำเนิดขึ้นความตายก็ติดตัวมาเป็นสิ่งเดียวกันหาใช่แยกจากกันแล้วเราจะเสียใจไปทำไมเล่าเมื่อการจากลาแห่งชีวิตเกิดขึ้น? สิ่งต่างๆในสังคมเป็นความจริงหรือมายาภาพกันแน่? เราต้องดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อเงินเดือนแต่เราสูญเสียสิ่งยิ่งใหญ่คือความเป็นมนุษย์ของตนเองไป ทั้งๆที่สามารถกลับไปหาชีวิตที่เรียบง่ายอันไร้การแก่งแย่งชิงดีรือแข่งขันแทงหลังกันทำไมหนอ?
สภาวะที่เป็นสัจจะ คือ ความเรียบง่าย แลนั่นเองมันต้องดำเนินอย่างถูกต้อง...การถูกต้องนั้นคือ สภาพการณ์ที่ไร้ความรับรู้แห่งแรงบีบคั้นในจิตใจใดๆ เป็นสภาวะที่ราบเรียบสามัญไร้การปรุงแต่งใดๆ ไร้หลักการใดๆ ไร้เหตุแลผลใดๆ เป็นความเงียบแต่มันก็สุขสมบูรณ์ในตัวของมัน
ในทุกๆกิจกรรมที่ท่านแสดงบทบาท ท่านก็ทำเช่นว่านี้ได้ตลอดทุกเวลาแลนาที ให้ทุกๆขณะสภาวะแห่งสัจจะอยู่กับท่าน อยู่ในตัวท่านเองหาใช่ที่อื่นใด ปัญหาต่างๆในโลกหล้าก็อยู่ในตัวท่าน...ยิ่งซับซ้อนมากเท่าใด ความเรียบง่ายก็จะไกลห่างออกไป “ตัวเราคือผู้เลือกว่าจะให้เป็นเช่นไร?”
ปัญญาหาใช่การข่มใจ...สายชล