แมมมอธขนยาว(Wooly Mammoth) เป็นหนึ่งในแมมมอธหลายชนิดที่เคยอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ มันมีความสูงจากพื้นถึงไหล่ประมาณ ๓ เมตรครึ่ง หนัก ๕ ตัน มีขนสองชั้น ขนชั้นใน สั้นแน่นหนาสำหรับให้ความอบอุ่น ส่วนขนชั้นนอกยาวใช้กันลมและหิมะ มีงายาวโค้ง ที่น่าจะมีประโยชน์ เวลาใช้กวาดหิมะเพื่อหาพืชกิน
แมมมอธขนยาวและแมมมอธอื่นๆสูญพันธุ์ไปเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีก่อน หลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุดไม่ถึงพันปี สาเหตุการสูญพันธุ์หลัก มาจากการล่าของมนุษย์โบราณ และ สภาพอากาศที่เปลี่ยน
ทว่าหลังการสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง ยังคงมีผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็กๆ อาศัยอยู่บนเกาะ ที่เรียกได้ว่าเป็นแดนสนธยา เกาะแห่งนั้น คือ เกาะแรงเกล(Wrangel Island)
เกาะแรงเกลมีเนื้อที่ ๒,๙๐๐ ตารางไมล์(ราวสองล้านไร่)ตั้งอยู่ในทะเลชุกชี ซึ่งอยู่ระหว่างดินแดนไซบีเรียของรัสเซีย และรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา เกาะนี้ อยู่นอกชายฝั่งด้านเหนือของไซบีเรียตะวันออก โดยอยู่ห่างจากเกาะที่ใกล้ที่สุด ๓๗ ไมล์ และอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของรัสเซีย ๘๗ ไมล์
ยัอนไปหลังสิ้นยุคน้ำแข็ง สภาพภูมิประเทศของเกาะแรงเกล มีลักษณะคล้ายทุ่งสเตปป์ ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าเขตหนาว อันเป็นที่อาศัยหลักของแมมมอธ ซึ่งในยุคน้ำแข็ง มีแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ทอดยาวจากชายฝั่งมาถึงเกาะและแมมมอธจำนวนหนึ่งอาศัยแผ่นน้ำแข็งนี้ เดินข้ามมาถึงเกาะแรงเกลและอาศัยอยู่ที่นี่ จนเมื่อยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลงและแผ่นน้ำแข็งละลายหายไป ทำให้พวกแมมมอธติดอยู่บนเกาะ
๖,๐๐๐ ปีหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด อารยธรรมมนุษย์ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ชุมชน กสิกรรมรุ่นแรกในเมโสโปเตเมีย ที่พัฒนากลายเป็นครรัฐของชาวสุเมเรียน
อารยธรรมอียิปต์ที่ก่อตัวในลุ่มน้ำไนล์ของอาฟริกาเหนือ
การกำเนิดนครโมเฮนโจดาโรและฮารัปปาของอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ จนถึงการก่อตั้งราชวงศ์ชาง ในลุ่มน้ำหวงเหอของจีน ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว
ฝูงแมมมอธบนเกาะแรงเกล ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข
แมมมอธแรงเกลเป็นสายพันธุ์ย่อยของแมมมอธขนยาวบนแผ่นดินใหญ่ และมีลักษณะคล้ายกัน ยกเว้นขนาดเล็กกว่า โดยแมมมอธแรงเกลสูง ๑.๘ เมตร ถึง ๒.๓ เมตร หนักราว ๓ ตัน ซึ่งเล็กกว่าแมมมอธขนยาวบนแผ่นดินใหญ่ราว ๓๐%
การเปลี่ยนขนาดของมัน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตบนเกาะที่มีพื้นที่จำกัด แบบเดียวกับช้างบนเกาะสุมาตราและบอร์เนียว ที่มีขนาดเล็กกว่าช้างบนแผ่นดินใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่า บนเกาะแรงเกลในเวลาดังกล่าว น่าจะมีแมมมอธอยู่ประมาณ ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ ตัว
แมมมอธแคระ อาศัยอยู่บนเกาะนี้ เรื่อยมาจนถึงราว ๓,๕๐๐ ปีก่อน ก็สูญพันธุ์ไป สาเหตุการสูญพันธุ์ของมันเท่าที่สรุปในปัจจุบัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง ทำให้พืชอาหารหลักของพวกมันลดจำนวน ส่งผลให้แมมมอธล้มตายจากการขาดแคลนอาหาร นอกจากนี้ การมีประชากรจำกัด ทำให้การกระจายตัวทางพันธุกรรมมีน้อย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ ของสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าวในวารสาร PLOS Genetics โดยระบุว่าได้นำดีเอ็นเอจากฟอสซิลของแมมมอธขนยาวฝูงดังกล่าว มาศึกษาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของแมมมอธขนยาวรุ่นที่มีชีวิตอยู่ก่อนหน้านั้นเมื่อราว ๔๐,๐๐๐ ปีก่อน
พบว่าดีเอ็นเอของแมมมอธรุ่นหลังมีการกลายพันธุ์และมีจุดบกพร่องในการผลิตซ้ำดีเอ็นเออยู่จำนวนมาก โดยมีส่วนที่ตกไปจากการทำสำเนาดีเอ็นเอเป็นแถบใหญ่หลายจุด ซึ่งบางส่วนส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีนที่ปกติดีด้วย
นักวิจัยคาดว่าความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ดังกล่าวทำให้แมมมอธขนยาวฝูงนี้มีขนเงางามและนุ่มลื่นเหมือนแพรไหม ซึ่งต่างไปจากแมมมอธขนยาวรุ่นก่อน ๆ
แต่กลับมีความบกพร่องทางประสาทรับกลิ่น เนื่องจากมีตัวรับกลิ่นในโพรงจมูกน้อยลง ทั้งยังไม่สามารถผลิตสารในปัสสาวะที่บ่งบอกถึงสถานะทางสังคมและช่วยดึงดูดเพศตรงข้าม ทำให้พวกมันแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้แมมมอธฝูงนี้สูญพันธุ์ไปในที่สุด
ดร. รีเบคาห์ โรเจอร์ส ผู้นำคณะวิจัยบอกว่า กรณีนี้ถือเป็น "การล่มสลายทางพันธุกรรม" ในสัตว์ชนิดพันธุ์เดียวกรณีแรกของโลก โดยข้อบกพร่องทางพันธุกรรมจำนวนมากในฝูงมาจากการที่แมมมอธขนยาวมีประชากรลดน้อยลง จนถึงจุดที่กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติไม่สามารถทำงานขจัดพันธุกรรมที่บกพร่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลูกที่เกิดใหม่ ไม่แข็งแรง อายุสั้น กลายเป็นอีกปัจจัย ที่ลดจำนวนประชากรแมมมอธลง
เครดิต
-
https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-_-Nature-Diary-103366858068217/
-
https://www.livescience.com/woolly-mammoth-genetic-problems.html
แมมมอธฝูงสุดท้ายของโลก
แมมมอธขนยาวและแมมมอธอื่นๆสูญพันธุ์ไปเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีก่อน หลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุดไม่ถึงพันปี สาเหตุการสูญพันธุ์หลัก มาจากการล่าของมนุษย์โบราณ และ สภาพอากาศที่เปลี่ยน
ทว่าหลังการสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง ยังคงมีผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็กๆ อาศัยอยู่บนเกาะ ที่เรียกได้ว่าเป็นแดนสนธยา เกาะแห่งนั้น คือ เกาะแรงเกล(Wrangel Island)
เกาะแรงเกลมีเนื้อที่ ๒,๙๐๐ ตารางไมล์(ราวสองล้านไร่)ตั้งอยู่ในทะเลชุกชี ซึ่งอยู่ระหว่างดินแดนไซบีเรียของรัสเซีย และรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา เกาะนี้ อยู่นอกชายฝั่งด้านเหนือของไซบีเรียตะวันออก โดยอยู่ห่างจากเกาะที่ใกล้ที่สุด ๓๗ ไมล์ และอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของรัสเซีย ๘๗ ไมล์
ยัอนไปหลังสิ้นยุคน้ำแข็ง สภาพภูมิประเทศของเกาะแรงเกล มีลักษณะคล้ายทุ่งสเตปป์ ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าเขตหนาว อันเป็นที่อาศัยหลักของแมมมอธ ซึ่งในยุคน้ำแข็ง มีแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ทอดยาวจากชายฝั่งมาถึงเกาะและแมมมอธจำนวนหนึ่งอาศัยแผ่นน้ำแข็งนี้ เดินข้ามมาถึงเกาะแรงเกลและอาศัยอยู่ที่นี่ จนเมื่อยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลงและแผ่นน้ำแข็งละลายหายไป ทำให้พวกแมมมอธติดอยู่บนเกาะ
๖,๐๐๐ ปีหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด อารยธรรมมนุษย์ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ชุมชน กสิกรรมรุ่นแรกในเมโสโปเตเมีย ที่พัฒนากลายเป็นครรัฐของชาวสุเมเรียน
อารยธรรมอียิปต์ที่ก่อตัวในลุ่มน้ำไนล์ของอาฟริกาเหนือ
การกำเนิดนครโมเฮนโจดาโรและฮารัปปาของอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ จนถึงการก่อตั้งราชวงศ์ชาง ในลุ่มน้ำหวงเหอของจีน ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว
ฝูงแมมมอธบนเกาะแรงเกล ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข
แมมมอธแรงเกลเป็นสายพันธุ์ย่อยของแมมมอธขนยาวบนแผ่นดินใหญ่ และมีลักษณะคล้ายกัน ยกเว้นขนาดเล็กกว่า โดยแมมมอธแรงเกลสูง ๑.๘ เมตร ถึง ๒.๓ เมตร หนักราว ๓ ตัน ซึ่งเล็กกว่าแมมมอธขนยาวบนแผ่นดินใหญ่ราว ๓๐%
การเปลี่ยนขนาดของมัน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตบนเกาะที่มีพื้นที่จำกัด แบบเดียวกับช้างบนเกาะสุมาตราและบอร์เนียว ที่มีขนาดเล็กกว่าช้างบนแผ่นดินใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่า บนเกาะแรงเกลในเวลาดังกล่าว น่าจะมีแมมมอธอยู่ประมาณ ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ ตัว
แมมมอธแคระ อาศัยอยู่บนเกาะนี้ เรื่อยมาจนถึงราว ๓,๕๐๐ ปีก่อน ก็สูญพันธุ์ไป สาเหตุการสูญพันธุ์ของมันเท่าที่สรุปในปัจจุบัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง ทำให้พืชอาหารหลักของพวกมันลดจำนวน ส่งผลให้แมมมอธล้มตายจากการขาดแคลนอาหาร นอกจากนี้ การมีประชากรจำกัด ทำให้การกระจายตัวทางพันธุกรรมมีน้อย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ ของสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าวในวารสาร PLOS Genetics โดยระบุว่าได้นำดีเอ็นเอจากฟอสซิลของแมมมอธขนยาวฝูงดังกล่าว มาศึกษาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของแมมมอธขนยาวรุ่นที่มีชีวิตอยู่ก่อนหน้านั้นเมื่อราว ๔๐,๐๐๐ ปีก่อน
พบว่าดีเอ็นเอของแมมมอธรุ่นหลังมีการกลายพันธุ์และมีจุดบกพร่องในการผลิตซ้ำดีเอ็นเออยู่จำนวนมาก โดยมีส่วนที่ตกไปจากการทำสำเนาดีเอ็นเอเป็นแถบใหญ่หลายจุด ซึ่งบางส่วนส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีนที่ปกติดีด้วย
นักวิจัยคาดว่าความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ดังกล่าวทำให้แมมมอธขนยาวฝูงนี้มีขนเงางามและนุ่มลื่นเหมือนแพรไหม ซึ่งต่างไปจากแมมมอธขนยาวรุ่นก่อน ๆ
แต่กลับมีความบกพร่องทางประสาทรับกลิ่น เนื่องจากมีตัวรับกลิ่นในโพรงจมูกน้อยลง ทั้งยังไม่สามารถผลิตสารในปัสสาวะที่บ่งบอกถึงสถานะทางสังคมและช่วยดึงดูดเพศตรงข้าม ทำให้พวกมันแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้แมมมอธฝูงนี้สูญพันธุ์ไปในที่สุด
ดร. รีเบคาห์ โรเจอร์ส ผู้นำคณะวิจัยบอกว่า กรณีนี้ถือเป็น "การล่มสลายทางพันธุกรรม" ในสัตว์ชนิดพันธุ์เดียวกรณีแรกของโลก โดยข้อบกพร่องทางพันธุกรรมจำนวนมากในฝูงมาจากการที่แมมมอธขนยาวมีประชากรลดน้อยลง จนถึงจุดที่กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติไม่สามารถทำงานขจัดพันธุกรรมที่บกพร่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลูกที่เกิดใหม่ ไม่แข็งแรง อายุสั้น กลายเป็นอีกปัจจัย ที่ลดจำนวนประชากรแมมมอธลง
เครดิต
- https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-_-Nature-Diary-103366858068217/
- https://www.livescience.com/woolly-mammoth-genetic-problems.html