
"เสือเขี้ยวดาบ" แมวใหญ่ยุคบรรพกาล
🐯
#เสือเขี้ยวดาบ
หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า สไมโลดอน (Smilodon) เป็นสัตว์นักล่าในตระกูลแมวที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคน้ำแข็งที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุด
🐯จุดเด่นที่สุดของเสือเขี้ยวดาบคือ เขี้ยวคู่บนที่ยาวมาก ยื่นยาวโค้งลงมาคล้ายดาบหรือมีดกรีด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เขี้ยวดาบ" เขี้ยวเหล่านี้อาจยาวได้ถึง 28 เซนติเมตรในสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด
🐯เสือเขี้ยวดาบมีโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่โต แข็งแรง และมีขาหน้าสั้นและหนาซึ่งมีพละกำลังมาก บางสายพันธุ์มีขนาดตัวพอๆ กับสิงโตในปัจจุบัน แต่มักจะมีน้ำหนักมากกว่า
🐯พวกมันสามารถอ้าปากได้กว้างถึงประมาณ 120 องศา (เทียบกับสิงโตที่อ้าได้ประมาณ 65 องศา) ซึ่งจำเป็นต่อการใช้เขี้ยวอันยาวในการสังหารเหยื่อโดยไม่ให้เขี้ยวติดหรือหัก
🐯เชื่อกันว่าเสือเขี้ยวดาบเป็นนักล่าแบบซุ่มโจมตี มากกว่าการวิ่งไล่เหยื่อด้วยความเร็วสูงเหมือนเสือชีตาห์ในปัจจุบัน เนื่องจากมีขาที่ค่อนข้างสั้น
🐯พวกมันใช้พละกำลังเข้าตะปบเหยื่อตัวใหญ่ให้ล้มลงก่อน จากนั้นจึงใช้เขี้ยวดาบแทงเข้าที่ลำคอหรือจุดสำคัญอื่น ๆ เพื่อตัดเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เหยื่อตาeอย่างรวดเร็ว เขี้ยวที่ยาวและค่อนข้างบอบบางเมื่อเทียบกับแรงกัดของแมวใหญ่อื่น ๆ บ่งชี้ว่าเขี้ยวถูกใช้เพื่อเจาะอย่างแม่นยำ ไม่ใช่ใช้ในการกัดหรือฉีกกระชากอย่างรุนแรง
เสือเขี้ยวดาบจัดอยู่ในเผ่า Smilodontini ในวงศ์ย่อย Machairodontinae ของวงศ์เสือและแมว (Felidae)
ไม่ใช่ญาติใกล้ชิดกับเสือหรือแมวสมัยใหม่ (เช่น เสือโคร่งหรือสิงโต) แม้จะมีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า "เสือเขี้ยวดาบ" ก็ตาม
มีหลายสายพันธุ์ที่เป็นที่รู้จัก เช่น Smilodon gracilis (สายพันธุ์บรรพบุรุษที่เล็กกว่า) และ Smilodon fatalis (สายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงจากแหล่งขุดค้น ลาเบรอา ทาร์ พิทส์ ในลอสแอนเจลิส) รวมถึง Smilodon populator (สายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดที่พบในอเมริกาใต้)
เสือเขี้ยวดาบมีชีวิตอยู่ในช่วงยุค ไพลสโตซีน (Pleistocene) หรือที่เรียกกันว่ายุคน้ำแข็ง โดยมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ประมาณ 2.5 ล้านปีที่แล้ว จนกระทั่งสูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว
สาเหตุการสูญพันธุ์คาดว่าเกี่ยวข้องกับการสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ซึ่งทำให้เหยื่อตัวใหญ่ที่พวกมันล่า (เช่น แมมมอธ, แรดขนยาว) ลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ไปนั่นเอง
The Earth
แหล่งที่มา : The Earth
https://www.facebook.com/share/p/17R2VHCmL1/
"เสื้อเขี้ยวดาบ" แมวใหญ่ยุคบรรพกาล
"เสือเขี้ยวดาบ" แมวใหญ่ยุคบรรพกาล
🐯
#เสือเขี้ยวดาบ
หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า สไมโลดอน (Smilodon) เป็นสัตว์นักล่าในตระกูลแมวที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคน้ำแข็งที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุด
🐯จุดเด่นที่สุดของเสือเขี้ยวดาบคือ เขี้ยวคู่บนที่ยาวมาก ยื่นยาวโค้งลงมาคล้ายดาบหรือมีดกรีด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เขี้ยวดาบ" เขี้ยวเหล่านี้อาจยาวได้ถึง 28 เซนติเมตรในสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด
🐯เสือเขี้ยวดาบมีโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่โต แข็งแรง และมีขาหน้าสั้นและหนาซึ่งมีพละกำลังมาก บางสายพันธุ์มีขนาดตัวพอๆ กับสิงโตในปัจจุบัน แต่มักจะมีน้ำหนักมากกว่า
🐯พวกมันสามารถอ้าปากได้กว้างถึงประมาณ 120 องศา (เทียบกับสิงโตที่อ้าได้ประมาณ 65 องศา) ซึ่งจำเป็นต่อการใช้เขี้ยวอันยาวในการสังหารเหยื่อโดยไม่ให้เขี้ยวติดหรือหัก
🐯เชื่อกันว่าเสือเขี้ยวดาบเป็นนักล่าแบบซุ่มโจมตี มากกว่าการวิ่งไล่เหยื่อด้วยความเร็วสูงเหมือนเสือชีตาห์ในปัจจุบัน เนื่องจากมีขาที่ค่อนข้างสั้น
🐯พวกมันใช้พละกำลังเข้าตะปบเหยื่อตัวใหญ่ให้ล้มลงก่อน จากนั้นจึงใช้เขี้ยวดาบแทงเข้าที่ลำคอหรือจุดสำคัญอื่น ๆ เพื่อตัดเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เหยื่อตาeอย่างรวดเร็ว เขี้ยวที่ยาวและค่อนข้างบอบบางเมื่อเทียบกับแรงกัดของแมวใหญ่อื่น ๆ บ่งชี้ว่าเขี้ยวถูกใช้เพื่อเจาะอย่างแม่นยำ ไม่ใช่ใช้ในการกัดหรือฉีกกระชากอย่างรุนแรง
เสือเขี้ยวดาบจัดอยู่ในเผ่า Smilodontini ในวงศ์ย่อย Machairodontinae ของวงศ์เสือและแมว (Felidae)
ไม่ใช่ญาติใกล้ชิดกับเสือหรือแมวสมัยใหม่ (เช่น เสือโคร่งหรือสิงโต) แม้จะมีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า "เสือเขี้ยวดาบ" ก็ตาม
มีหลายสายพันธุ์ที่เป็นที่รู้จัก เช่น Smilodon gracilis (สายพันธุ์บรรพบุรุษที่เล็กกว่า) และ Smilodon fatalis (สายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงจากแหล่งขุดค้น ลาเบรอา ทาร์ พิทส์ ในลอสแอนเจลิส) รวมถึง Smilodon populator (สายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดที่พบในอเมริกาใต้)
เสือเขี้ยวดาบมีชีวิตอยู่ในช่วงยุค ไพลสโตซีน (Pleistocene) หรือที่เรียกกันว่ายุคน้ำแข็ง โดยมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ประมาณ 2.5 ล้านปีที่แล้ว จนกระทั่งสูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว
สาเหตุการสูญพันธุ์คาดว่าเกี่ยวข้องกับการสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ซึ่งทำให้เหยื่อตัวใหญ่ที่พวกมันล่า (เช่น แมมมอธ, แรดขนยาว) ลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ไปนั่นเอง
The Earth
แหล่งที่มา : The Earth
https://www.facebook.com/share/p/17R2VHCmL1/