😄 วันนี้เรามีภาพของ Épicure ห้องอาหารฝรั่งเศสพื้นบ้านระดับ 3 ดาวมิชลินในกรุงปารีสมาฝากกัน
👉🏻ก่อนเข้ารีวิวเราขอแนะนำแฟนเพจ FB ของเราสักนิด เราเปิดขึ้นมาเพื่อรวบรวมร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศมากมาย มาแบ่งปันกัน ฝากกดไลค์ กดแชร เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะค้าาา
📍 FB: ตามล่า Fine Dining
📌 IG: Fine Dining lover
และช่องทางใหม่ทาง Youtube : ตามล่า Fine Dining
🇫🇷 Épicure - เอปิเคียว
⭐️⭐️⭐️ 3 Michelin Stars - 3 ดาวมิชลิน
👨🏻🍳👨🏻🍳👨🏻🍳👨🏻🍳 18/20 Gault & Millau (4 Toques) - 18/20 คะเเนน โกทเอทมิโย (หมวก 4 ใบ)
🍴 Modern Cuisine - อาหารยุคใหม่
🎗 ในปี 2019 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ห้องอาหาร Épicure เฉลิมฉลองการเปิดร้านมาจนครบ 20 ปี รวมไปถึงการรักษารางวัล 3 ดาวมิชลินได้ต่อเนื่องถึง 10 ปีของหัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารอย่าง Éric Fréchon
🎗 ตัวร้านตั้งอยู่ในโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวอย่าง Hotel Le Bristol Paris บนถนน Rue du Faubourg Saint-Honoré ในเขต 8 บริหารงานโดยกลุ่มนายทุน Oetker Family ชาวเยอรมัน เมื่อไปถึงพนักงานต้อนรับของโรงแรมจะกล่าวทักทายเราพร้อมบริการ Valet parking จากนั้นจึงเดินนำลูกค้าเข้าสู่ห้องอาหาร ภายในโรงแรมตกแต่งอย่างหรูหราราวกับพระราชวัง หน้าร้านมีพรมแขวนผนังผืนใหญ่แบบฝรั่งเศสวาดเป็นรูปนกยูงริมธารน้ำ ส่วนของห้องอาหารถูกออกแบบและปรับปรุงใหม่โดยสถาปนิกชื่อดัง Pierre-Yves Rochon ภายในโดดเด่นด้วยกระจกใสบานใหญ่ที่เปิดกว้างสู่บริเวณเทอเรส โต๊ะทุกตัวปูด้วยผ้าลินินสีขาวตัดเย็บโดย Garnier Thiebault แก้วน้ำทุกใบเป่าและหลอมโดยบริษัทเครื่องแก้วชื่อดัง Baccarat Crystal ซึ่งออกแบบแก้วขึ้นมาใหม่ให้กับห้องอาหาร Epicure โดยเฉพาะ ยังมีจาน, ถ้วยเเละเครื่องลิโมจพอร์ซเลนออกแบบโดย Raynaud Porcelain ในเมือง Limoges ส่วนมีด ช้อน ส้อม และเครื่องเงินต่างๆทางร้านเลือกใช้เเบรนด์สุดหรูอย่าง Christofle ที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความละเอียดเเละพิถีพิถันของร้านในการคัดสรรองค์ประกอบที่ดีที่สุดมาจัดวางบนโต๊ะอาหาร
🎗 แม้ว่าบ้านเกิดจะอยู่ที่เมือง Corbie ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศสเเต่วัยเด็กของ Éric Fréchon นั้นเติบโตขึ้นมาในเเถบ Normandy ชีวิตการทำงานในห้องครัวเริ่มต้นขึ้นตั้งเเต่เขาอายุเพียง 13 ปี หลังจากลองผิดลองถูกกับห้องอาหารเเรกในชื่อของตัวเองอย่าง La Verrière d'Éric Frechon ก่อนที่จะปิดร้านเพื่อย้ายมาร่วมงานกับ Le Bristol Paris ในปี 1999 เเละเริ่มต้นสร้างประวัติศาสตร์ของการเป็นหนึ่งในห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินในกรุงปารีส เริ่มจากการคว้าดาวมิชลินดวงเเรกทันทีในปีนั้น ⭐️ ตามด้วยดวงที่สองในปี 2001 ⭐️⭐️ หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Bresse Farm Hen poached with wine, crayfish, sweet offal and black truffles. ห้องอาหาร Épicure จึงได้รับการยกระดับให้เป็นห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินในปี 2009 ⭐️⭐️⭐️ นอกจากนี้ Éric Fréchon ยังได้รับรางวัลเกียรติยศส่วนตัวอื่นๆทั้ง Meilleur Ouvrier de France และ Chevalier of the Legion of Honour อีกด้วย
🎗 ลูกค้าสามารถเลือกทาน "OUR SEASONAL MENU" เป็นเซ็ตเมนูมื้อกลางวันจำนวน 5 คอร์สในราคา € 185 / คน หรือ "SIGNATURE MENU" เทสติ้งเมนูที่รวบรวม Signature Dish ของทางร้านเข้าไว้ด้วยกันเเละจัดเสิร์ฟมาในจำนวน 8 คอร์ส อย่างไรก็ตามด้วยราคาที่สูงถึง € 380 / คน ทำให้เราไม่ค่อยเเนะนำสักเท่าไหร่ สุดท้ายคือเมนู À LA CARTE ที่เราได้ทานในวันนี้ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกทานเมนูที่อยากชิมได้ตามใจชอบ เริ่มต้นมื้ออาหารด้วย Canapé ทั้งหมด 3 อย่าง มีขนมปังก้อนโตที่ว่ากันว่าเคยจัดส่งมาให้กับสำนักพระราชวังในกรุงเทพฯ ต่อด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างไข่หอยเม่นเสิร์ฟมาสองชิ้นเเละสามารถเเบ่งกันทางได้ ส่วนเมนูเมนคอร์สเราเลือกเมนู Signature ประจำร้านคือหอยเชลล์ Sea scallops และปลา Whiting ปิดท้ายด้วยขนมหวานที่ทำเป็นรูปไข่และรังนก
🎗 อาหารทุกจานแม้จะมีเทคนิคการปรุงที่ซับซ้อนตามมาตรฐานของห้องอาหารฝรั่งเศสชั้นสูง แต่หากบอกเราว่านี่คือหนึ่งในห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินในประเทศฝรั่งเศสอาจทำให้เราต้องฉุกคิดและประหลาดใจอยู่เหมือนกัน คงเพราะรสชาติที่ยังคงความคลาสสิคแบบฝรั่งเศสดั้งเดิมประกอบกับราคาต่อจานที่ค่อนข้างสูงอาจทำให้ Épicure อาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆที่เราขอเเนะนำให้เพื่อนๆที่แสวงหาร้านอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดในกรุงปารีส
📃 À La Carte
CANAPÉS
PURPLE SEA URCHIN
simmered whlist their shells with tongues, scrambled egg mousseline, « mouillette » with seaweed butter. (84 €)
SEA SCALLOPS
steamed with seaweed and salicornia, cockles and razor shells, shellfish sauce (78 €)
LINE-CAUGHT WHITING FISH FROM SAINT-GILLES-CROIX-DE-VIE
in a crust of bread with almonds,
« New-Zealand » spinach and olive oil flavored with curry and péquillos pepper. (75 €)
PRE-DESSERT
ORIENTAL FLAVOURS
candied grapefruit and rose petals, pistachio praline, almond milk foam, honey “kadaif”. (35 €)
MIGNADISES
🏵 Score:
รสชาติ : 17.5/20
ราคา : 🌟🌟🌟
ความคุ้มค่า : 🌟🌟
เทคนิค : 🌟🌟🌟🌟🌟
บรรยากาศ : 🌟🌟🌟🌟🌟
บริการ : 🌟🌟🌟🌟🌟
ความประทับใจโดยรวม : 17/20
✌️ ร้านอาหารฝรั่งเศสในโรงเเรมหรู รสชาติดี ราคาค่อนข้างสูง
📍 Visit: February 2020
🏠 Location: Hotel Le Bristol Paris, 112 Rue du Faubourg Saint-Honoré, 75008 Paris, France
🚗 Parking: Valet Parking ฟรีที่โรงแรม
🕢 Opening Time: 7.30-10.30, 12.00-14.00, 19.30-21.30
💰 Price: 200-380 €/p
🧥 Dress Code : ผู้ชาย *จำเป็น* ต้องใส่เเจ็คเก็ตสูท
📞 Tel: (+33) 153 434340
🖥 Website:
https://www.oetkercollection.com/hotels/le-bristol-paris/restaurants-bar/restaurants/epicure/

HOMEMADE COUNTRY BREAD
สำหรับขนมปังทางร้านนำเสิร์ฟมาทั้งก้อนในถาดขนาดใหญ่ เป็นขนมปังกับเนย salted butter ที่ทำสดใหม่ทุกวัน ว่ากันว่าขนมปังที่นี่ดีงามถึงขนาดเคยทำส่งมาถึงในวังบ้านเราเลยด้วยซ้ำ เเต่ใครทานหมดนี่คงไม่ต้องทานอาหารกันเเล้วล่ะ (16/20)

CANAPÉS
มื้ออาหารเริ่มด้วยคานาเป้สามอย่างเสิร์ฟมาพร้อมกัน
เริ่มจากฝั่งซ้ายคือ Parsnip purée with pistachio and coffee เป็นพูเรเนื้อละเอียดทำจากพาร์สนิปตัดเนื้อสัมผัสด้วยถั่วพิสตาชิโอ เเทรกด้วยรสเเละกลิ่นของกาแฟ (18/20)
Foie gras tart with port jelly ฟัวกราส์ทาร์ตด้านนอกเป็นแป้งกรอบ ตรงกลางคือตับห่านที่ รส่วนผสมของสไปซ์หรือเครื่องเทศรสเผ็ดหน่อย มีกลิ่นหอม ตัดด้วยรสหวานด้านบนคือเจลลี่ทำจากพอร์ตไวน์ (18/20)
Puffed rice with gambas เป็นกุ้งเเดงที่นำไป sauteed มีรสหวาน เนื้อเด้ง ทานกับข้าวพองกรอบ นอกจากนี้ยังมีมีมะเขือเทศช่วยดึงรสหวานของกุ้งให้เด่นชัดมากขึ้น มีมะกอก cottage cheese และโชริโซ่ (17/20)

CANAPÉS
ถัดมาคือผักโขมเสิร์ฟให้ทานคู่กับ Nutmeg หรือจันทน์เทศ ด้านบนเป็นไข่ ตัดเบาๆให้ไข่เเดงไหลออกมาเป็นลาวา มีโฟมและแผ่นกรอบด้านข้างทำจาก Parmesan cheese ช่วยเพิ่มรสเค็มและเนื้อสัมผัสที่ดี (17/20)

BRIOCHE
จากนั้นพนักงานจะนำเสิร์ฟขนมปังบริยอชใส่มาในถ้วยเซรามิค ภายในมีองค์ประกอบของมะกอก มะเขือเทศ Cottage cheese แฮมนำเข้าจากเมือง Colonata ประเทศอิตาลี และ Spicy sausage หรือโชริโซ่ (17/20)

PURPLE SEA URCHIN
simmered whlist their shells with tongues, scrambled egg mousseline, « mouillette » with seaweed butter. (84 €)
เริ่มต้นอาหารจานแรกที่เราสั่งด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยเป็นหอยเม่นสีม่วงที่ทำออกมาคล้ายซูเฟล ชั้นล่างมีสีเหลืองอ่อนๆเป็นไข่คนหรือ Scrambled egg ชั้นกลางคือไข่หอยเม่นสด มีสีส้มเข้ม นอกจากนี้ยังมีส่วนลิ้นของหอยผสมไปด้วยมีกลิ่นค่อนข้าง Fishy ชั้นบนสุดคือมูสทำจากหอยเม่นตัดด้วยรสเปรี้ยวของมะนาว เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับ Toasted bread และ Seaweed butter ใส่มาในพลาสติคใสดูคล้ายทอฟฟี่ ไข่หอยเม่นสดมาก ไม่มีกลิ่นคาว เนื้อสัมผัสนุ่ม ละเอียด ไข่คนด้านล่างมีกลิ่นหอม มูสด้านบนเบา บาง แซมด้วยรสเปรี้ยวเบาๆของมะนาว อย่างไรก็ตามด้วยรสชาติที่ออกไปในทางครีมมี่อย่างเดียวอาจทำให้เลี่ยนได้บ้างเหมือนกัน (17/20)

SEA SCALLOPS
steamed with seaweed and salicornia, cockles and razor shells, shellfish sauce (78 €)
อีกจานคือเมนู Signature ของทางร้านอย่างหอยเชลล์ชิ้นโตที่เชฟนำไปนึ่งกับสาหร่ายทะเลและซาลิคอเนียร์ซึ่งเป็นพืชทะเลหน้าตาคล้ายกระบองเพชรพบได้ตามชายฝั่งในประเทศแถบยุโรป ตอนทานมีเนื้อสัมผัสนุ่มเด้งคล้ายลูกชิ้นปลาบ้านเรา เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับหอยทะเลนานาชนิด ทั้ง clams และ cockles จัดวางมาอย่างสวยงาม เนื้อสัมผัสของหอยนุ่ม เคี้ยวกรึบ ไม่มีกลิ่นคาว ปิดท้ายด้วยการที่พนักงานเสิร์ฟราดน้ำซอสสีเหลืองนวลที่ทำมาจากหอยเเละเนย มีกลิ่นหอม ครีมมี่ รสชาติโดยรวมของจานนี้ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว (18/20)

SEA SCALLOPS
steamed with seaweed and salicornia, cockles and razor shells, shellfish sauce (78 €)
ตัดออกมาจะพบกับเนื้อหอยเชลล์ชิ้นโตทานเเล้วเด้งนุ่มคล้ายลูกชิ้น (18/20)

LINE-CAUGHT WHITING FISH FROM SAINT-GILLES-CROIX-DE-VIE
in a crust of bread with almonds,
« New-Zealand » spinach and olive oil flavored with curry and péquillos pepper. (75 €)
อีกหนึ่งเมนคอร์สที่เป็นเมนู Signature ประจำร้านคือฟิเลท์ของปลา Whiting ปลาเนื้อขาวตัวเเบนที่ทางร้านได้มาจาก Saint-Gilles-Croix-de-Vie เมืองชายทะเลทางตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส เนื้อปลาทำออกมาได้นุ่มเพอร์เฟค เนื้อสัมผัสคล้ายปลาค็อด ทานกับแผ่นขนมปังกรอบและถั่วอัลมอนต์ ความกรอบของแผ่นขนมปังช่วยทำให้เกิดมิติทางเนื้อสัมผัสกับความนุ่มของเนื้อปลา ด้านล่างคือใบอ่อนของผักโขมนำเข้าจากประเทศนิวซีแลนด์ ขนาบข้างด้วยหยดน้ำมันมะกอกที่มีส่วนผสมของพริกปิฆีโย่ แกง และ chive (17/20)

LINE-CAUGHT WHITING FISH FROM SAINT-GILLES-CROIX-DE-VIE
in a crust of bread with almonds,
« New-Zealand » spinach and olive oil flavored with curry and péquillos pepper. (75 €)
บอกตรงๆว่าหลังจากได้ทานอาหารจานนี้เราแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เเน่นอนว่าเนื้อปลาทำออกมาได้ดีไร้ที่ติ ดีพอที่จะเป็นเมนูเเนะนำในห้องอาหารฝรั่งเศสชั้นสูงระดับ 1-2 ดาวมิชลิน เเต่รสชาติอื่นๆนอกจากเนื้อปลาที่ดีเเละความซับซ้อนในจานไม่ได้โดดเด่นมากนัก หากจะให้เราเเนะนำเพื่อนๆว่านี่คือสุดยอด “เมนูซิกเนเจอร์” ของห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินใจกลางกรุงปารีสก็อาจพูดได้ไม่เต็มปากสักเท่าไหร่ (17/20)

PRE-DESSERT
ก่อนเข้าเมนูอาหารหวาน พนักงานจะนำเสิร์ฟโยเกิร์ตซอเบท์ ทานคู่กับเบล็คเคอเเรนท์ เจลลี่ทำจากแบล็คเคอเเรนท์ มีรสหวานเปรี้ยว ช่วยดับคาวล้างปากได้เป็นอย่างดี (18/20)
ปล.ฝากติดตามเพจ FB: ตามล่า Fine Dining
รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ
[CR] 🇫🇷 Epicure - เอปิเคียว ห้องอาหารฝรั่งเศสพื้นบ้านระดับ 3 ดาวมิชลิน By ตามล่า Fine Dining
👉🏻ก่อนเข้ารีวิวเราขอแนะนำแฟนเพจ FB ของเราสักนิด เราเปิดขึ้นมาเพื่อรวบรวมร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศมากมาย มาแบ่งปันกัน ฝากกดไลค์ กดแชร เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะค้าาา
📍 FB: ตามล่า Fine Dining
📌 IG: Fine Dining lover
และช่องทางใหม่ทาง Youtube : ตามล่า Fine Dining
🇫🇷 Épicure - เอปิเคียว
⭐️⭐️⭐️ 3 Michelin Stars - 3 ดาวมิชลิน
👨🏻🍳👨🏻🍳👨🏻🍳👨🏻🍳 18/20 Gault & Millau (4 Toques) - 18/20 คะเเนน โกทเอทมิโย (หมวก 4 ใบ)
🍴 Modern Cuisine - อาหารยุคใหม่
🎗 ในปี 2019 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ห้องอาหาร Épicure เฉลิมฉลองการเปิดร้านมาจนครบ 20 ปี รวมไปถึงการรักษารางวัล 3 ดาวมิชลินได้ต่อเนื่องถึง 10 ปีของหัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารอย่าง Éric Fréchon
🎗 ตัวร้านตั้งอยู่ในโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวอย่าง Hotel Le Bristol Paris บนถนน Rue du Faubourg Saint-Honoré ในเขต 8 บริหารงานโดยกลุ่มนายทุน Oetker Family ชาวเยอรมัน เมื่อไปถึงพนักงานต้อนรับของโรงแรมจะกล่าวทักทายเราพร้อมบริการ Valet parking จากนั้นจึงเดินนำลูกค้าเข้าสู่ห้องอาหาร ภายในโรงแรมตกแต่งอย่างหรูหราราวกับพระราชวัง หน้าร้านมีพรมแขวนผนังผืนใหญ่แบบฝรั่งเศสวาดเป็นรูปนกยูงริมธารน้ำ ส่วนของห้องอาหารถูกออกแบบและปรับปรุงใหม่โดยสถาปนิกชื่อดัง Pierre-Yves Rochon ภายในโดดเด่นด้วยกระจกใสบานใหญ่ที่เปิดกว้างสู่บริเวณเทอเรส โต๊ะทุกตัวปูด้วยผ้าลินินสีขาวตัดเย็บโดย Garnier Thiebault แก้วน้ำทุกใบเป่าและหลอมโดยบริษัทเครื่องแก้วชื่อดัง Baccarat Crystal ซึ่งออกแบบแก้วขึ้นมาใหม่ให้กับห้องอาหาร Epicure โดยเฉพาะ ยังมีจาน, ถ้วยเเละเครื่องลิโมจพอร์ซเลนออกแบบโดย Raynaud Porcelain ในเมือง Limoges ส่วนมีด ช้อน ส้อม และเครื่องเงินต่างๆทางร้านเลือกใช้เเบรนด์สุดหรูอย่าง Christofle ที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความละเอียดเเละพิถีพิถันของร้านในการคัดสรรองค์ประกอบที่ดีที่สุดมาจัดวางบนโต๊ะอาหาร
🎗 แม้ว่าบ้านเกิดจะอยู่ที่เมือง Corbie ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศสเเต่วัยเด็กของ Éric Fréchon นั้นเติบโตขึ้นมาในเเถบ Normandy ชีวิตการทำงานในห้องครัวเริ่มต้นขึ้นตั้งเเต่เขาอายุเพียง 13 ปี หลังจากลองผิดลองถูกกับห้องอาหารเเรกในชื่อของตัวเองอย่าง La Verrière d'Éric Frechon ก่อนที่จะปิดร้านเพื่อย้ายมาร่วมงานกับ Le Bristol Paris ในปี 1999 เเละเริ่มต้นสร้างประวัติศาสตร์ของการเป็นหนึ่งในห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินในกรุงปารีส เริ่มจากการคว้าดาวมิชลินดวงเเรกทันทีในปีนั้น ⭐️ ตามด้วยดวงที่สองในปี 2001 ⭐️⭐️ หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Bresse Farm Hen poached with wine, crayfish, sweet offal and black truffles. ห้องอาหาร Épicure จึงได้รับการยกระดับให้เป็นห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินในปี 2009 ⭐️⭐️⭐️ นอกจากนี้ Éric Fréchon ยังได้รับรางวัลเกียรติยศส่วนตัวอื่นๆทั้ง Meilleur Ouvrier de France และ Chevalier of the Legion of Honour อีกด้วย
🎗 ลูกค้าสามารถเลือกทาน "OUR SEASONAL MENU" เป็นเซ็ตเมนูมื้อกลางวันจำนวน 5 คอร์สในราคา € 185 / คน หรือ "SIGNATURE MENU" เทสติ้งเมนูที่รวบรวม Signature Dish ของทางร้านเข้าไว้ด้วยกันเเละจัดเสิร์ฟมาในจำนวน 8 คอร์ส อย่างไรก็ตามด้วยราคาที่สูงถึง € 380 / คน ทำให้เราไม่ค่อยเเนะนำสักเท่าไหร่ สุดท้ายคือเมนู À LA CARTE ที่เราได้ทานในวันนี้ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกทานเมนูที่อยากชิมได้ตามใจชอบ เริ่มต้นมื้ออาหารด้วย Canapé ทั้งหมด 3 อย่าง มีขนมปังก้อนโตที่ว่ากันว่าเคยจัดส่งมาให้กับสำนักพระราชวังในกรุงเทพฯ ต่อด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างไข่หอยเม่นเสิร์ฟมาสองชิ้นเเละสามารถเเบ่งกันทางได้ ส่วนเมนูเมนคอร์สเราเลือกเมนู Signature ประจำร้านคือหอยเชลล์ Sea scallops และปลา Whiting ปิดท้ายด้วยขนมหวานที่ทำเป็นรูปไข่และรังนก
🎗 อาหารทุกจานแม้จะมีเทคนิคการปรุงที่ซับซ้อนตามมาตรฐานของห้องอาหารฝรั่งเศสชั้นสูง แต่หากบอกเราว่านี่คือหนึ่งในห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินในประเทศฝรั่งเศสอาจทำให้เราต้องฉุกคิดและประหลาดใจอยู่เหมือนกัน คงเพราะรสชาติที่ยังคงความคลาสสิคแบบฝรั่งเศสดั้งเดิมประกอบกับราคาต่อจานที่ค่อนข้างสูงอาจทำให้ Épicure อาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆที่เราขอเเนะนำให้เพื่อนๆที่แสวงหาร้านอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดในกรุงปารีส
📃 À La Carte
CANAPÉS
PURPLE SEA URCHIN
simmered whlist their shells with tongues, scrambled egg mousseline, « mouillette » with seaweed butter. (84 €)
SEA SCALLOPS
steamed with seaweed and salicornia, cockles and razor shells, shellfish sauce (78 €)
LINE-CAUGHT WHITING FISH FROM SAINT-GILLES-CROIX-DE-VIE
in a crust of bread with almonds,
« New-Zealand » spinach and olive oil flavored with curry and péquillos pepper. (75 €)
PRE-DESSERT
ORIENTAL FLAVOURS
candied grapefruit and rose petals, pistachio praline, almond milk foam, honey “kadaif”. (35 €)
MIGNADISES
🏵 Score:
รสชาติ : 17.5/20
ราคา : 🌟🌟🌟
ความคุ้มค่า : 🌟🌟
เทคนิค : 🌟🌟🌟🌟🌟
บรรยากาศ : 🌟🌟🌟🌟🌟
บริการ : 🌟🌟🌟🌟🌟
ความประทับใจโดยรวม : 17/20
✌️ ร้านอาหารฝรั่งเศสในโรงเเรมหรู รสชาติดี ราคาค่อนข้างสูง
📍 Visit: February 2020
🏠 Location: Hotel Le Bristol Paris, 112 Rue du Faubourg Saint-Honoré, 75008 Paris, France
🚗 Parking: Valet Parking ฟรีที่โรงแรม
🕢 Opening Time: 7.30-10.30, 12.00-14.00, 19.30-21.30
💰 Price: 200-380 €/p
🧥 Dress Code : ผู้ชาย *จำเป็น* ต้องใส่เเจ็คเก็ตสูท
📞 Tel: (+33) 153 434340
🖥 Website: https://www.oetkercollection.com/hotels/le-bristol-paris/restaurants-bar/restaurants/epicure/
HOMEMADE COUNTRY BREAD
สำหรับขนมปังทางร้านนำเสิร์ฟมาทั้งก้อนในถาดขนาดใหญ่ เป็นขนมปังกับเนย salted butter ที่ทำสดใหม่ทุกวัน ว่ากันว่าขนมปังที่นี่ดีงามถึงขนาดเคยทำส่งมาถึงในวังบ้านเราเลยด้วยซ้ำ เเต่ใครทานหมดนี่คงไม่ต้องทานอาหารกันเเล้วล่ะ (16/20)
CANAPÉS
มื้ออาหารเริ่มด้วยคานาเป้สามอย่างเสิร์ฟมาพร้อมกัน
เริ่มจากฝั่งซ้ายคือ Parsnip purée with pistachio and coffee เป็นพูเรเนื้อละเอียดทำจากพาร์สนิปตัดเนื้อสัมผัสด้วยถั่วพิสตาชิโอ เเทรกด้วยรสเเละกลิ่นของกาแฟ (18/20)
Foie gras tart with port jelly ฟัวกราส์ทาร์ตด้านนอกเป็นแป้งกรอบ ตรงกลางคือตับห่านที่ รส่วนผสมของสไปซ์หรือเครื่องเทศรสเผ็ดหน่อย มีกลิ่นหอม ตัดด้วยรสหวานด้านบนคือเจลลี่ทำจากพอร์ตไวน์ (18/20)
Puffed rice with gambas เป็นกุ้งเเดงที่นำไป sauteed มีรสหวาน เนื้อเด้ง ทานกับข้าวพองกรอบ นอกจากนี้ยังมีมีมะเขือเทศช่วยดึงรสหวานของกุ้งให้เด่นชัดมากขึ้น มีมะกอก cottage cheese และโชริโซ่ (17/20)
CANAPÉS
ถัดมาคือผักโขมเสิร์ฟให้ทานคู่กับ Nutmeg หรือจันทน์เทศ ด้านบนเป็นไข่ ตัดเบาๆให้ไข่เเดงไหลออกมาเป็นลาวา มีโฟมและแผ่นกรอบด้านข้างทำจาก Parmesan cheese ช่วยเพิ่มรสเค็มและเนื้อสัมผัสที่ดี (17/20)
BRIOCHE
จากนั้นพนักงานจะนำเสิร์ฟขนมปังบริยอชใส่มาในถ้วยเซรามิค ภายในมีองค์ประกอบของมะกอก มะเขือเทศ Cottage cheese แฮมนำเข้าจากเมือง Colonata ประเทศอิตาลี และ Spicy sausage หรือโชริโซ่ (17/20)
PURPLE SEA URCHIN
simmered whlist their shells with tongues, scrambled egg mousseline, « mouillette » with seaweed butter. (84 €)
เริ่มต้นอาหารจานแรกที่เราสั่งด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยเป็นหอยเม่นสีม่วงที่ทำออกมาคล้ายซูเฟล ชั้นล่างมีสีเหลืองอ่อนๆเป็นไข่คนหรือ Scrambled egg ชั้นกลางคือไข่หอยเม่นสด มีสีส้มเข้ม นอกจากนี้ยังมีส่วนลิ้นของหอยผสมไปด้วยมีกลิ่นค่อนข้าง Fishy ชั้นบนสุดคือมูสทำจากหอยเม่นตัดด้วยรสเปรี้ยวของมะนาว เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับ Toasted bread และ Seaweed butter ใส่มาในพลาสติคใสดูคล้ายทอฟฟี่ ไข่หอยเม่นสดมาก ไม่มีกลิ่นคาว เนื้อสัมผัสนุ่ม ละเอียด ไข่คนด้านล่างมีกลิ่นหอม มูสด้านบนเบา บาง แซมด้วยรสเปรี้ยวเบาๆของมะนาว อย่างไรก็ตามด้วยรสชาติที่ออกไปในทางครีมมี่อย่างเดียวอาจทำให้เลี่ยนได้บ้างเหมือนกัน (17/20)
SEA SCALLOPS
steamed with seaweed and salicornia, cockles and razor shells, shellfish sauce (78 €)
อีกจานคือเมนู Signature ของทางร้านอย่างหอยเชลล์ชิ้นโตที่เชฟนำไปนึ่งกับสาหร่ายทะเลและซาลิคอเนียร์ซึ่งเป็นพืชทะเลหน้าตาคล้ายกระบองเพชรพบได้ตามชายฝั่งในประเทศแถบยุโรป ตอนทานมีเนื้อสัมผัสนุ่มเด้งคล้ายลูกชิ้นปลาบ้านเรา เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับหอยทะเลนานาชนิด ทั้ง clams และ cockles จัดวางมาอย่างสวยงาม เนื้อสัมผัสของหอยนุ่ม เคี้ยวกรึบ ไม่มีกลิ่นคาว ปิดท้ายด้วยการที่พนักงานเสิร์ฟราดน้ำซอสสีเหลืองนวลที่ทำมาจากหอยเเละเนย มีกลิ่นหอม ครีมมี่ รสชาติโดยรวมของจานนี้ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว (18/20)
SEA SCALLOPS
steamed with seaweed and salicornia, cockles and razor shells, shellfish sauce (78 €)
ตัดออกมาจะพบกับเนื้อหอยเชลล์ชิ้นโตทานเเล้วเด้งนุ่มคล้ายลูกชิ้น (18/20)
LINE-CAUGHT WHITING FISH FROM SAINT-GILLES-CROIX-DE-VIE
in a crust of bread with almonds,
« New-Zealand » spinach and olive oil flavored with curry and péquillos pepper. (75 €)
อีกหนึ่งเมนคอร์สที่เป็นเมนู Signature ประจำร้านคือฟิเลท์ของปลา Whiting ปลาเนื้อขาวตัวเเบนที่ทางร้านได้มาจาก Saint-Gilles-Croix-de-Vie เมืองชายทะเลทางตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส เนื้อปลาทำออกมาได้นุ่มเพอร์เฟค เนื้อสัมผัสคล้ายปลาค็อด ทานกับแผ่นขนมปังกรอบและถั่วอัลมอนต์ ความกรอบของแผ่นขนมปังช่วยทำให้เกิดมิติทางเนื้อสัมผัสกับความนุ่มของเนื้อปลา ด้านล่างคือใบอ่อนของผักโขมนำเข้าจากประเทศนิวซีแลนด์ ขนาบข้างด้วยหยดน้ำมันมะกอกที่มีส่วนผสมของพริกปิฆีโย่ แกง และ chive (17/20)
LINE-CAUGHT WHITING FISH FROM SAINT-GILLES-CROIX-DE-VIE
in a crust of bread with almonds,
« New-Zealand » spinach and olive oil flavored with curry and péquillos pepper. (75 €)
บอกตรงๆว่าหลังจากได้ทานอาหารจานนี้เราแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เเน่นอนว่าเนื้อปลาทำออกมาได้ดีไร้ที่ติ ดีพอที่จะเป็นเมนูเเนะนำในห้องอาหารฝรั่งเศสชั้นสูงระดับ 1-2 ดาวมิชลิน เเต่รสชาติอื่นๆนอกจากเนื้อปลาที่ดีเเละความซับซ้อนในจานไม่ได้โดดเด่นมากนัก หากจะให้เราเเนะนำเพื่อนๆว่านี่คือสุดยอด “เมนูซิกเนเจอร์” ของห้องอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินใจกลางกรุงปารีสก็อาจพูดได้ไม่เต็มปากสักเท่าไหร่ (17/20)
PRE-DESSERT
ก่อนเข้าเมนูอาหารหวาน พนักงานจะนำเสิร์ฟโยเกิร์ตซอเบท์ ทานคู่กับเบล็คเคอเเรนท์ เจลลี่ทำจากแบล็คเคอเเรนท์ มีรสหวานเปรี้ยว ช่วยดับคาวล้างปากได้เป็นอย่างดี (18/20)
ปล.ฝากติดตามเพจ FB: ตามล่า Fine Dining
รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหาร “ทุกร้าน” ในมิชลินไกด์ฉบับกรุงเทพฯ ไปล่าของกินด้วยกันค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้