คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
มีครั้งหนึ่งเป็นวันหยุดยาวแต่ไม่อยากเดินทางไกล เลยคิดหาที่พักสงบเงียบใกล้ๆ จึงขับรถไปแถวอ่างเก็บน้ำบางพระศรีราชาครับ ช่วงกลางวันก็ขับรถเที่ยวรอบอ่างเก็บน้ำมองหาที่พักไปด้วย พอเริ่มเย็นที่พักก็ยังไม่ได้ ถึงตอนนั้นคิดว่าคงจะไม่เลือกแล้วเดี๋ยวไม่มีที่นอน สักพักเจอป้ายเล็กๆติดข้างทางพร้อมเบอร์โทร จึงโทรถามทางเพราะคงอยู่ในซอยลึก แล้วก็ขับรถเข้าซอยตามที่ถามมา ซึ่งข้างทางจะเป็นไร่มัน ไร่อ้อยทั้งหมดครับ พอจวนจะมืดก็ถึงที่พักเป็นรีสอร์ทเล็กๆอยู่ในสวน ดูด้วยสายตาคงไม่ค่อยมีลูกค้าสักเท่าไหร่นัก เพราะค่อนข้างเก่าและโทรมๆ จ่ายค่าที่พักเสร็จก็ขับรถไปจอดหน้าบ้านพักหลังหนึ่ง เพราะคนดูแลบอกว่า เลือกได้เลย วันนี้มีผมเป็นลูกค้าคนเดียว จอดรถเสร็จแบกเป้ลงจากรถเปิดประตูที่พักเข้าไป ก็มีความรู้สึกว่าบ้านหลังนี้ไม่ปกติสักเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นไม่คิดอะไรมาก ขอให้มีที่นอนก็พอ ความคิดตอนแรกจะไปกางเต็นท์นอนริมอ่างเก็บน้ำครับแต่ก็เปลี่ยนใจเพราะดูไม่ค่อยสะดวก หลังจากนั้นก็เก็บของ อาบน้ำ เอาหนังสือออกมาอ่านจนเริ่มง่วง เวลานั่นน่าจะดึกพอควร แต่พอจะนอนกลับนอนไม่หลับสนิท มีอาการหลับๆตื่นๆทั้งคืน จนเช้ามืดจึงเริ่มจะเคลิ้มๆ แล้วสายตาก็เหลือบไปทางปลายเตียง เห็นร่างดำๆเป็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ทางปลายเท้า ลักษณะเป็นผู้หญิงผมยาว ร่างใหญ่ ส่วนหน้าตามองไม่เห็นครับ ระหว่างนั้นรู้สึกว่าร่างกายตัวเองขยับไม่ได้ แล้วเงาที่เห็นก็กระโดดทับลงมาที่ตัวผม มันหนักอึ้ง จนแทบหายใจไม่ออก และเหมือนกำลังถูกขืนใจประมาณนั้นละครับ ทั้งดิ้นรน ทั้งเตะถีบ ทั้งตะโกนด่าทอ แต่ไร้ผล จนเริ่มเหนื่อยหายใจติดขัดขึ้นทุกที พอฉุกใจคิดได้จึงเริ่มสวดมนต์ สักพักก็ออกแรงยันไปที่ร่างนั้นอีกครั้ง คราวได้ผลครับ เงานั้นกระเด็นวูบแล้วหายไป เท่านั้นละครับเร็วกว่าความคิด กระโจนผึงลงจากเตียงทั้งที่เพลียๆ จะนอนต่อก็เกรงมันจะกลับมาอีก เก็บของให้เร็วที่สุด เผ่นพรวดออกจากประตูวิ่งขึ้นรถ สตาร์ทได้เร่งออกมาจากตรงนั้นให้ไกลที่สุด ตอนนั้นฟ้ายังไม่ทันสางเลยครับ เสื้อผ้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำไม่ได้อาบ แม้แต่ล้างหน้าแปรงฟันก็ไม่ได้ทำ ขออย่างเดียวไปให้พ้นๆจากตรงนั้นก่อน
อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณกันนะครับ แชร์สู่กันฟัง
อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณกันนะครับ แชร์สู่กันฟัง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
ผมขอเล่าประสบการณ์ของผมเป็นธรรมทานนะครับ ผมเองเจอผีวิญญาณมาหลายสิบครั้ง ขอแชร์ข้อมูลดังนี้ครับ
- จขกท ครับ พื้นที่ที่คุณไปแรงมาก มีพวกวิญญาณที่ไม่ค่อยดีเยอะ คุณเที่ยวได้ตามปกติ น้ำตกเล่นได้ แต่แม่น้ำไม่ควรครับ เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่วิจารณญาณนะครับ
- การเดินทางในเวลากลางคืน คุณขี่มอเตอร์ไซค์ไปในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ขอบอกว่าประมาทมาก และเสี่ยงในการพาตัวเองไปตาย เสี่ยงภัยอันตรายจากมนุษย์และสิ่งที่มองไม่เห็น
- ควรพกพระและของที่ผ่านการปลุกเสกจริง ควรพกติดตัวเสมอห้อยคอไว้ตลอดเวลา และเวลานอนตามโรงแรมต่างๆให้สวมใส่เวลานอนในพื้นที่ที่แรง ถ้าพื้นที่ที่คุ้นเคย ให้วางไว้ข้างตัวเวลานอนได้ครับ
- ตามโรงแรมที่ไปพักควรเปิดไฟในห้องไว้ 1 ดวงเสมอ เลือกเปิดไฟห้องน้ำแล้วแง้มประตูไว้เพื่อลดความสว่างก็ได้ครับ ก่อนนอนควรสวดคาถาชินบัญชร 1 ครั้ง
- ก่อนออกเดินทางไปในที่ต่างๆที่เราไม่คุ้นเคย ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนควรสวดคาถาชินบัญชร 1 ครั้ง และระหว่างเดินทาง ถ้าพบเจอสิ่งแปลกๆควรหยุดรถในที่ปลอดภัยและตั้งใจสวดคาถาชินบัญชรอีก 1 ครั้ง แล้วค่อยเดินทางต่อ
ผมเองไม่เคยเชื่อเรื่องผี วิญญาณ แต่พอได้พบเจอด้วยตัวเองหลายสิบครั้ง จึงได้เข้าพบพระอาจารย์หลายท่านและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้และวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ขอให้ทุกท่านนำไปปฏิบัติตามความเหมาะสมของตัวท่านเอง เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนนะครับ ที่สำคัญคือ จงมีสติและอย่าประมาทครับ
- จขกท ครับ พื้นที่ที่คุณไปแรงมาก มีพวกวิญญาณที่ไม่ค่อยดีเยอะ คุณเที่ยวได้ตามปกติ น้ำตกเล่นได้ แต่แม่น้ำไม่ควรครับ เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่วิจารณญาณนะครับ
- การเดินทางในเวลากลางคืน คุณขี่มอเตอร์ไซค์ไปในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ขอบอกว่าประมาทมาก และเสี่ยงในการพาตัวเองไปตาย เสี่ยงภัยอันตรายจากมนุษย์และสิ่งที่มองไม่เห็น
- ควรพกพระและของที่ผ่านการปลุกเสกจริง ควรพกติดตัวเสมอห้อยคอไว้ตลอดเวลา และเวลานอนตามโรงแรมต่างๆให้สวมใส่เวลานอนในพื้นที่ที่แรง ถ้าพื้นที่ที่คุ้นเคย ให้วางไว้ข้างตัวเวลานอนได้ครับ
- ตามโรงแรมที่ไปพักควรเปิดไฟในห้องไว้ 1 ดวงเสมอ เลือกเปิดไฟห้องน้ำแล้วแง้มประตูไว้เพื่อลดความสว่างก็ได้ครับ ก่อนนอนควรสวดคาถาชินบัญชร 1 ครั้ง
- ก่อนออกเดินทางไปในที่ต่างๆที่เราไม่คุ้นเคย ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนควรสวดคาถาชินบัญชร 1 ครั้ง และระหว่างเดินทาง ถ้าพบเจอสิ่งแปลกๆควรหยุดรถในที่ปลอดภัยและตั้งใจสวดคาถาชินบัญชรอีก 1 ครั้ง แล้วค่อยเดินทางต่อ
ผมเองไม่เคยเชื่อเรื่องผี วิญญาณ แต่พอได้พบเจอด้วยตัวเองหลายสิบครั้ง จึงได้เข้าพบพระอาจารย์หลายท่านและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้และวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ขอให้ทุกท่านนำไปปฏิบัติตามความเหมาะสมของตัวท่านเอง เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนนะครับ ที่สำคัญคือ จงมีสติและอย่าประมาทครับ
แสดงความคิดเห็น
มาแชร์ประสบการณ์เส้นทาง (หลอน) ที่ไม่ควรเดินทางคนเดียวเมื่อตกกลางดึกหน่อยครับ
เริ่มเรื่องกันเลย..เนื่องจากเมื่อเดือนกรกฏาคม เป็นเดือนสุดท้ายที่ได้พักผ่อนและจะต้องกลับไปทำงานอีกครั้ง จึงได้วางแผนไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีเป็นครั้งแรกและตัดสินใจไปคนเดียว..แผนของผมก็คือ กรุงเทพ-ปีล๊อค-เนินช้างศึก-สะพานมอญ-ห้วยซองกาเลีย-เขื่อนวชิราลงกรณ์-กรุงเทพ โดยใช้เวลา 2วัน1คืน โดยเลือกที่พักอยู่ที่สะพานมอญ..ผมได้เดินทางออกจากกรุงเทพเวลา 21:00 ตั้งใจจะไปให้ถึง..ปั้มน้ำมันสน.ปตท. หจก. สินผาทอง เวลาตี 02:00 เนื่องจากเป็นปั้มสุดท้าย(ติดริมถนน) ก่อนเดินทางขึ้นทั้งสังขละและหมู่บ้านอีต่อง เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อในเวลา 03:00 ขึ้นไปหมู่บ้านอีต่อง จุดหมายนั้นคือ..เนินช้างศึกตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น หลังออกเดินทางจากกรุงเทพเวลา 21.00 ระยะทางจาก กรุงเทพ-ถึงปั้ม 272ก.ม ก็เริ่มเข้าถนนเส้น 323เลี่ยงเมืองบ้านโป่ง หรือ อุทยานแห่งชาติไทรโยคนั้น ช่วงเวลานั้นประมาณ 22:30-00:00 นับรถยนต์และบรรทุกได้รวมไม่ถึง10คัน....ในเส้นทาง323ที่เดินทางนั้นจะเป็นถนนสองเลนสวน หากต้องการแซงจะต้องเบี่ยงออกไปเลนสวนเพื่อเร่งแซง..ในขนาดที่ขับเดินทางยืนพื้นความเร็ว100-110เพราะรู้ตัวเองแล้วว่าจะไปถึงปั้มก่อนเวลาที่ตั้งไว้ 02:00 จึงขับช้าลงโดยให้ถึงไม่ช้ามากและเร็วเกินไป..จู่ๆก็มีรถพบาบาลเปิดไซเร็นแต่ไม่มีเสียงมาแต่ไกลๆข้างหลัง..ด้วยความเร็วน่าจะ120k.m ผมจึงออกซ้ายเพื่อให้รถแซงไป..ขี่ไปได้ราวๆ 20น.ทก็ได้เจอรถพยาบาลคันนั้นจอดรถปิดไฟทั้งคันอยู่ตรงโซนบ้านซ้ายมือ ผมก็ได้ขับต่อไปไม่คิดอะไรมากแต่.. (สิ่งที่ผิดปกติระหว่างเส้นทางนี้ก่อนถึงปั้มน้ำมัน..ผมนั้นบ่นเหงา ว่าเส้นทางนี้มืดดีจริงๆรถก็แทบจะไม่มีเลย...หลังจากที่ผมบ่นในใจได้ไม่นานก็ได้ขับรถไปเรื่อยๆตามเส้นทาง..ก็ได้พบเจอรถบรรทุกหนึ่งคันกำลังเลี้ยวเข้าโค้งพอดี..ก็เลยคิดในใจว่าพอบ่นปุ๊ปก็เจอรถเลย...แต่เมื่อผมไปถึงโค้งนั้นก็พบว่ารถบรรทุกนั้นก็ได้หายไปแล้ว..ระยะที่เห็นคือสามารถมองเห็นอักษรทะเบียนคันนั้นได้..แต่ก็คิดว่าเพราะเราขับช้าหรือเปล่ารถบรรทุกคงเลี้ยวโค้งไปอีก..ก็ขับจนพ้นโค้งอีกก็ไม่เจอด้วยความสงสัยทำให้บิดเร่งความเร็วตามไปดูจนพ้นอีก2โค้ง..ก็ปรากฏว่าไม่พบเจอรถบรรทุกคันนั้นเลย..ทำให้ผมอดสังสัยไม่ได้ว่าหายไปได้อย่างไรทั้งๆไม่มีทางแยกจากเส้นทางหลักและระหว่างเส้นทางที่ขับอยู่ตอนนั้นเป็นเส้นทางเขาจะไม่มีบ้านคนสองข้างทางจะมีแต่ริมเขาหรือเหวและที่กั้นเหล็กทั้งสองฝั่งเท่านั้น หรือ หากจะเลี้ยวจอดเข้าบ้านตามข้างทางที่พอมีให้เห็นนานๆที..มันก็ไม่น่าจะพ้นสายตาเราไปได้เพราะรถคันใหญ่ขนาดนั้น..แม้แต่รถพยาบาลผมยังมองเห็นจำได้เลยทำไมรถบรรทุกคันขนาดนี้จะพลาดสายตาไปได้..สิ่งเดียวที่ผมคิดออกก็คือ..เขาอาจจะทราบว่าในใจของผมนั้นบ่นเหงา ว่าเส้นทางนี้มืดดีจริงๆ รถก็ไม่ค่อยจะมีก็เลยมาขี่เป็นเพื่อนให้หายเหงาชั่วครู่แล้วก็หายไปทิ้งไว้พร้อมกับความมึนงง) แต่ตัวผมก็ไม่คิดอะไรมากเขาคงจอดเข้าริมทางและจังหวะผมขี่เร็วก็เลยมองพลาดไปก็ได้...ก็ขี่ไปเรื่อยๆโดยไม่คิดอะไร..จนผมถึงปั้มก่อนเวลาจากเดิม 02:00 เป็น 00:30 แทน ทำให้นั่งพักเอาแรงเตรียมร่างกายและรถก่อนเดินทางขึ้นบ้านอีต่องต่อในเวลาตี03:00
หลังจาก 03:00 ก็ได้เริ่มเดินทางต่อจากปั้มน้ำมันมุ่งสู่เส้นทาง 3272 ท่ามกลางฝนที่รินตลอดทาง..เมื่อเริ่มเดินทางผ่านหน้าทางเข้า..เขื่อนวชิราลงกรณ์..ก็จะเป็นการเดินทางผ่านเส้นทางป่าเขาอย่างเต็มตัว..ในบรรยากาศในตอนนั้นค่อนข้างดี..ฝนหยุดและรินเป็นช่วง..สองข้างทางในเวลา03:30..นั้นมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟหน้ารถของผมเอง..ในระหว่างเดินทางก็เริ่มรู้สึกแปลกๆเหมือนมีคนคอยจับจ้องตลอดเวลา..แต่ก็เข้าใจว่าคิดไปเอง..เนื่องจากเป็นคนกลัวความมืดเพราะมันจะทำให้ผมจิตนการไปต่อได้หลายอย่าง..แต่ผมเป็นคนไม่กลัวผีและไม่เชื่อทำให้ไม่ได้ไปคิดถึงอะไรพวกนี้มากนัก..ในระหว่างที่ขับๆไปก็จะผ่านจุดหมู่บ้านคนบ้าง..ก็พอได้อุ่นใจ..เนื่องจากมีแสงไฟหน้าบ้านบางดวงเปิดทิ้งไว้..เมื่อเดินทางไกล้ถึงแยกบ้านไร่..ก็ได้พบกับซากสุนัขนอนตายอยู่กลางถนน..สภาพเหมือนถูกสัตว์ป่าทำร้ายเพราะท้องถูกคว้านออกและไส้ไหล..ในหัวก็คิดไปสนุกๆว่าคงไม่มีตัวอพไรมาวิ่งไล่เราหรอกมั้ง...หลังจากเดินทางถึงแยกบ้านไร่ก่อนเลี้ยวซ้ายมุ่งสู่ปิล๊อกก็ได้ตัดสินใจนั่งพักที่กระต๊อบ..เพื่อพักรถและหลบฝนที่ตกแรงขึ้น..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นั่งพักได้อยู่สิบนาทีก็มีเหตุให้ต้องเดินทางต่อเพราะว่าน้องหมาที่อยู่แถวนั้นเห่าไล่ผมทั้งๆที่ก่อนหน้านั่งมาตั้งนานไม่เห่ามันก็น่าแปลกใจ...อย่างกับไม่อยากให้เราอยู่ตรงนี้นานกว่านี้...ในระหว่างเส้นทางก็พบเจอโค้งมากมายและเส้นทางเป็นหลุมบ้างและทางที่ไม่ดี..ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดสนิทอย่างกับหนังสยองขวัญมองเห็นแต่ไฟหน้ารถเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง..เนื่องจากเป็นการเดินทางขึ้นเขาทำให้สัณญาณอินเทอร์เน็ตนั้นไม่มีไม่เชื่อดูภาพข้างล่าง..ทำให้เพลงที่ฟังจากspotifyขาดหายเป็นช่วงๆ..บรรยากาศรอบข้างก็มีเพียงแต่ต้นไม้ที่ล้อมรอบไปทั้ง2ฝั่งโอบเข้าหากัน..เยอะจนไม่สามารถพึ่งแสงของพระจันทร์ได้ เวลาขนาดนั้นคือ 04:30 โดยประมาณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(บรรยากาศสองข้างทาง ณตอนนั้นเป็นต้นไม้โอบล้อมหาตัวผม หมอกลงบางๆในระดับที่ไฟรถสาดเห็นฝนรินเบาๆ ก้อนเมฆบด วทัศน์พระจันทร์สนิท นี้คือบรรยากาศที่ผมอยากให้ทุกท่านได้เห็นภาพ ปล.บรรยากาศดีสุดๆ)
..ในระหว่างที่ได้เดินทางอยู่นั้นก็เกิดเสียงดัง ปั้ง!!! ผมตกใจมากนึกว่าต้นไม้ล้มแต่เปล่า...มันคือเสียงช่วงนึงของเพลงที่เปิดทิ้งไว้ในSpotifyที่ดังขึ้นเสี้ยววิหลังจากที่เงียบหายไปเพราะไม่มีสัณญาณ..คงเป็นเพราะได้รับสัณญาณมาเสี้ยววิทำให้เพลงเล่นต่อแต่..ตอนนั้นมันเป็นจังหวะนรกจริงๆผมตกใจจนสดุง....หลังจากรู้ต้นตอของเสียงผมก็ขี่ต่อไปได้สักระยะประมาณครึ่งทางแล้ว..ตัวของผมเองก็ได้มีอาการเมาโค้ง...ก็ได้แต่ภาวนาจะไปเจอจุดพักรถไวๆ....หลังจากขับไปได้ไม่นานก็ได้ไปพบกับเหมือนศาลาพักรถ..ซึ่งเข้าใจว่าใช่นั้นแหละเพราะแสงไฟรถสาดไปเห็นเหมือนที่นั่ง..ณช่วงเวลานั้นอยู่ในเวลา 04:00กว่าๆ..และมีแสงอยู่นิดหน่อยเข้าใจว่าน่าจะเป็นหลอดไฟเล็กๆ..ก็เลยขับเทียบออกขวาไปจอดพอมองขวาเข้าไปก็พบว่ามันไม่ใช่ที่พักรถ..ผมต้องร้องออกมาในใจว่าจรเข้มันไม่ใช่ที่พักรถแต่เป็นศาลของทางอุทยานซึ่งจะอยู่ขวามือสำหรับขาขึ้น....ทำเอาผมตกใจไปเลยหลายคนที่เคยไปน่าจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง....ทำให้ผมขี่ไปต่ออย่างทันทีโดยที่ไม่หันไปมองว่าข้างหลังเป็นยังไงรู้แต่เพียงว่ากับเวลาแบบนี้สถานที่เวลานี้มันไม่ใช่ที่..ที่เราจะหยุดแน่ๆ..ผมเลยกัดฟันจนถึงจุดชมทิวทัศน์ทางขึ้นเหมืองปิล๊อกหรือจุดชมวิวที่หนึ่ง..ก็เลยขับรถไปจอดฝั่งชมวิวตรงข้ามกับที่พักในตอนนั้นมันมืดไปหมดมองเห็นแต่เพียงช่วงหน้ารถเท่านั้น..ในจุดที่นั่งพักรถที่มีขนาดใหญ่ยังแทบจะมองไม่เห็นประตูเลย..ผมจึงตัดสินใจกลับทิศรถหันหน้ารถสาดไฟไปที่ถนนแทนเพื่อให้แสงไฟสาดให้เห็นกว้างที่สุดและเปิดไฟสูงทำให้จากเดิมที่ผมและรถจะหันหลังให้จุดนั่งพัก..จะกลายเป็นว่าที่จุดนั่งพักจะอยู่ขวามือของรถและขวามือผม..ในขณะที่สาดไฟไปนั้นก็ได้หันไปมองในที่พักขวามือที่มืดมากๆมันมองไม่เห็นอะไรเห็นแต่เพียงของประตูเท่านั้นที่สะท้อนแสงพระจันทร์เล็กน้อยเวลาขนาดนั้น 05:00โดยประมาณ...ก็เหลือบๆเหมือนจะเป็นคนยืนมองมาที่ผม..แต่ผมก็ไม่ได้จะสนใจอะไร...ก็ยืนเล่นโทรศัพท์ต่อไปเพราะเมาโค้งและคิดว่าตาฟาดเพราะจ้องแสงไฟรถนานเกินไป..หลังจากยืนพักได้ประมาณห้านาที ก็ได้เดินทางมุ่งเข้าสู่บ้านอีต่องถึงในเวลา ประมาณ 06:00 โดยไม่พบเจออะไรผิดปกติอีก
(ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ผมมาแชร์ไม่ใช่ว่าเจอผีหรืออะไรแปลกๆนะครับ แต่อยากจะมาแชร์ความรู้สึกอารมณ์บรรยากาศกับมอเตอร์ไซค์หนึ่งคันหนึ่งคน
ที่เดินทางขึ้นปิล๊อกคนเดียว ท่ามกลางบรรยากาศที่เรียกได้ว่ามืดที่สุดในชีวิตตั้งแต่ได้เดินทางมาก็เพียงเท่านั้น) ขอบคุณครับ