ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ที่ฤาษีเกศ สัมผัสวิถีโยคี ในเมือง Slow Life กับหลักสูตรครูโยคะที่อินเดีย ตอน 3 : โยคะยามเช้าริมน้ำคงคา

"นมัสเต..จากฤาษีเกศ"
ผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์สำหรับการมาใช้ชีวิตอยู่อินเดีย ในเมือง Slow Life ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องแข่งขัน มีเวลาอิงแอบแนบชิดธรรมชาติตลอดทั้งวัน ในบ้านหลังใหญ่ที่มีผืนดินเป็นพื้นบ้าน มีท้องฟ้าเป็นหลังคา และมีภูเขาเป็นผนัง เมืองแห่งสายลม แสงแดด และดวงดาว ตื่นมาทุกเช้าก็เจอสายหมอกมายิ้มหยอกทักทาย อากาศที่แสนสดชื่น ตอนกลางคืนนอนหลับสบาย ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศเลยล่ะ ช่างมีความเป็น Green Living เสียจริงๆ

กระทู้นี้เป็นกระทู้ต่อเนื่องจาก
"ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ที่ฤาษีเกศ เรียนรู้วิถีโยคี ในเมือง Slow Life กับหลักสูตรครูโยคะที่อินเดีย"
https://pantip.com/topic/39950391

"ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ที่ฤาษีเกศ สัมผัสวิถีโยคี ในเมือง Slow Life กับหลักสูตรครูโยคะที่อินเดีย ตอน 2 : Silence Day & คงคาอารตี"
https://pantip.com/topic/39966375
   
ตารางเรียนสัปดาห์ที่ 2 ในภาคเช้า (05:00 - 12:30) เหมือนกับสัปดาห์แรก เริ่มด้วย Morning Tea และสวดมนต์เช้า ตามด้วยปราณยมะ ซึ่งในสัปดาห์นี้พวกเราได้เรียนรู้เทคนิคการหายใจในรูปแบบที่ต่างออกไปจากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นวิชาที่มีประโยชน์มากๆ ถ้าเราหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ ออกซิเจนก็จะเข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงเวลาของวิชาสมาธิ สัปดาห์นี้เราได้เรียนรู้ "โยคะนิทรา" และ "Nada Anusandhana" ถัดมาก็เป็นการฝึกโยคะอาสนะ ซึ่งในสัปดาห์นี้ยังคงเน้น "Classic Hatha Yoga" และ "Hatha Vinyasa Yoga" เหมือนเดิม  เพิ่มเติม "Yin Yoga" มาด้วย 1 class หลังจากนั้นก็ทานข้าวเช้า 08:30 - 09:00 พักผ่อน 1 ชั่วโมง ก่อนเข้าสู่บทเรียนในช่วงสาย ด้วยวิชาปรัชญาโยคะ ที่เจาะลึกขึ้นเรื่อยๆ ยากขึ้นเรื่อยๆ และปวดหัวขึ้นเรื่อยๆ และวิชา Anatomy ที่ยังคงเป็นวิชาโปรดไม่เปลี่ยนแปลง ได้รู้จักร่างกายของตัวเองมากขึ้น กูรูท่านนี้อธิบายเก่ง เข้าใจง่าย นั่งฟังเพลิน ไม่เบื่อ

ในภาคบ่ายวิชาที่หายไปคือ Teaching Methodology โดยมี Yoga Alingment กับ Mantra Chanting (การฝึกท่องบทสวดเป็นทำนอง) เข้ามาแทน และปิดท้ายวันด้วยการฝึกโยคะอาสนะ เช่นเคยเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว

เริ่มต้นสัปดาห์ที่สอง ด้วยกิจกรรมเดินป่าปีนเขาในเช้าตรู่วันจันทร์ พวกเราออกจากอาศรมตี 5 กว่าๆ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และนั่งสมาธิที่ถ้ำบนเขา

พร้อมลุย!!

บางช่วงทางเดินแคบ ต้องต่อแถวเดินกันทีละคน

ทุกคนตื่นเต้น กับการที่จะได้ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนเขา และฝึกสมาธิในถ้ำ

ระหว่างทางกลางป่า พบซากปรักหักพัง น่าจะเป็นเทวสถานอะไรสักอย่าง

แท่นหินบูชาใกล้ๆ เทวสถาน

กายพร้อม..!! ใจพร้อม..!! ชุดพร้อม..!! แต่สภาพอากาศไม่พร้อม..!! ไปได้ยังไม่ถึงไหน ฝนก็เทลงมาเสียก่อน โชคดีที่มีเพิงเล็กๆ ให้ยืนหลบฝน แต่การติดฝนที่กลางป่า มันก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย ดีหน่อยที่มาด้วยกันหลายคน เลยคลายความกังวลไปได้บ้าง

ใต้ร่มคันเดียวกัน..วันฝนพรำ

หลบฝน..และแบ่งปันร่มให้แก่กัน

เพี้ยนรู้สึกเงียบ

เพี้ยนกริบ
เมื่อฝนหยุดตก จะขึ้นเขาต่อเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่ทันแล้ว ต้องรีบกลับลงไปกินข้าว และเรียนช่วงสายต่อ

ชุ่มฉ่ำหลังฝนตก

ไปไม่ถึงจุดหมาย แต่ไม่เป็นไร มาถ่ายรูปร่วมกันดีกว่า ภาพที่ระลึก ที่ครั้งหนึ่ง..เราเคยมาเดินป่าด้วยกัน

ลงจากเขา มากินข้าวเช้าที่อาศรม ในหมวดคาร์โบไฮเดรต นอกจากแป้ง ข้าว ขนมปัง โจ๊กข้าวบาร์เลย์แล้ว ยังมีเมนูเส้นด้วยนะ เช้านี้เป็นหมี่ผัดสไตล์อินเดีย ก็พอกินได้ เมนูที่ขาดไม่ได้ ต้องมีทุกวัน คือชานมมาซาล่า ที่รินแล้วรินอีก วันละหลายๆ แก้ว ถูกใจเป็นที่สุด
เพี้ยนชอบ

หลังกินข้าวก็เข้าสู่บทเรียนตามโปรแกรมเดิม ตั้งแต่เขียนกระทู้มา ยังไม่ได้โชว์ภาพห้องเรียนเลย ที่นี่จะนั่งเรียนที่พื้น มีโต๊ะให้วางเขียน มีเบาะ และหมอนข้างให้รองนั่ง จะนั่งเรียน นอนเรียน เอกเขนกเอนกายยังไงก็ได้
 
พูดถึงวิชาเรียนที่เพิ่มมาในสัปดาห์นี้ เราชอบวิชา Alignment ที่สุด อาสนะต่างๆ ที่ก่อนมาทำไม่ได้ หรือทำได้แต่ไม่ค่อยคล่อง ท่านกูรูประจำวิชานี้สอนเทคนิคต่างๆ จนเข้าใจ ในที่สุดก็ทำได้ บางอาสนะที่ทำไม่ถูก กูรูก็ปรับแก้ให้ จนในที่สุดก็ทำได้อย่างถูกต้อง กูรูสอนดี และใจดี ในการเรียน เราต้องจับคู่กัน เพื่อช่วยปรับท่าซึ่งกันและกัน เรามักนั่งเรียนติดกับซิลเวียร์สาวน้อยชาวฝรั่งเศส จึงได้จับคู่กับนางเสมอ ในที่สุดก็กลายเป็นสนิทกัน ชวนกันไปนู่นมานี่ตลอด

สัปดาห์นี้เราออกไปคาเฟ่บ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่เป็นช่วง Free Time ร่างกายต้องการความหวาน และเริ่มกลืนอาหารมังสวิรัสไม่เข้า มื้ออื่นไม่เท่าไหร่ มื้อกลางวันนี่กินยากจริงๆ เพราะเป็นข้าวสวยที่หุงด้วยข้าวบาสมาติ กับสลัดจืดๆ แกงถั่ว และผัดผัก เราไม่ค่อยชอบแกงถั่ว ถึงแม้พ่อครัวจะตุ๋นจนถั่วนิ่ม แต่มันก็ฝืดคออยู่ดี ส่วนสลัดก็ไม่ได้เหมือนกับบ้านเรา เป็นผักเนื้อแข็ง เช่น แตงกวา แครอท บีทรูท ฯลฯ เอามาหั่นบางๆ ปรุงรสอ่อนๆ ด้วยเกลือ พริกไทย และมะนาว ไม่ได้มีน้ำสลัดราดแบบบ้านเรา อาหารที่นี่จะไม่เน้นรสจัด โดยเฉพาะรสหวานนี่แทบไม่มีเลย สิ่งที่กินได้ที่เยอะที่สุดในมื้อกลางวันคือผัดผัก เมนูนี้พ่อครัวจะหั่นผักเป็นชิ้นเล็กๆ และผัดจนนิ่ม ใส่เครื่องเทศ เช่น ขมิ้นลงไป อร่อยดี มีทั้งผัดดอกกะหล่ำ ผัดบวบ ผัดแตงกวา ฯลฯ ในวันที่กินไม่ลง ก็ได้ผัดผักนี่แหละ ที่ช่วยให้อิ่มท้อง ส่วนข้าวกับแกงนี่ตักน้อยมามาก

แรกๆ จะไปคาเฟ่ใกล้ๆ ที่ไปครั้งแรกกับโจแอนนาในวัน Silence Day หลังๆ เริ่มรู้ว่าคาเฟ่ที่ใกล้ที่สุด และนั่งสบายที่สุดอยู่ใกล้กว่านั้น ตรงข้ามอาศรมนี่เอง แค่เดินข้ามตรอกแคบๆ หน้าอาศรมไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว จากระเบียงหลังห้องก็มองเห็น ที่นี่อาหารใช้ได้ มีเพลงให้ฟังสบายๆ บางทีก็เพลงฝรั่ง บางครั้งก็ดนตรีอินเดีย

บรรยากาศด้านในของร้านดูเรียบง่าย คนไม่เยอะ บางทีก็แทบไม่มีเลย มีแต่กลุ่มของพวกเรา เลยนั่งกันสบายๆ แบบชิลล์ๆ เราชอบมานั่งปั่นรายงานและอ่านหนังสือเพราะเงียบดี ถ้าอยู่ห้อง อ่านหนังสือบนเตียง ประเดี๋ยวเดียวก็จะง่วงและนอนหลับง่าย เมื่อก่อนขึ้นไปอ่านบนห้องเรียนชั้นดาดฟ้า เงียบ สงบดี มีสมาธิมากๆ แต่ไม่มีขนมให้กินชิลล์ๆ แบบนี้ ที่นี่แหละเหมาะที่สุด หลังๆ เลยมาเกือบทุกวันจนเป็นร้านประจำไปแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่ที่มาด้วยกันก็จะมีซิลเวียร์ และดันลิน

เมนูส่วนใหญ่ที่สั่ง ก็เป็นพวกชาอินเดีย ชาอายุรเวชต่างๆ สลับกันไป ของว่างก็จะเป็นแพนเค้กสไตล์อินเดีย ที่ไม่เหมือนแพนเค้กที่คุณจินตนาการแน่นอน เปลี่ยนทอปปิ้งไปเรื่อยๆ จนกินครบเกือบทุกหน้า

แบบใส่ผลไม้ก็มี ชอบที่สุดก็แพนเค้กแอปเปิลน้ำผึ้งชินนามอน ในจานนี้เป็นเมนูพิเศษ ที่เราคิดขึ้นมาเอง ไม่มีในเมนู คืออยากกินแพนเค้กใส่ผลไม้เปรี้ยวๆ หวานๆ และทุกรายการที่อยู่ในเมนูก็สั่งมากินจนครบหมดแล้ว วันนี้เลยสั่ง แพนเค้กท้อปปิ้งสับปะรด อร่อยไปอีกแบบ ไม่เลี่ยน

อีกเมนูเครื่องดื่มที่สั่งบ่อยคือ "ลาซซี่" อันนี้ของโปรดเลย โปรดมาก่อนที่จะมาอินเดียแล้ว ลาซซี่....คือเครื่องดื่มโยเกิร์ตปั่นกับผลไม้สด ที่เคยกินก่อนมาอินเดีย จะใช้ซอสผลไม้ราดลงในโยเกิร์ต ใส่น้ำแข็งเย็นๆ ดื่มชื่นใจโดยไม่ต้องปั่น แต่ปั่นแบบที่นี่ก็อร่อยไปอีกแบบ ถือเป็นขนมหวานหลังอาหารมื้อเที่ยงสำหรับเราเลย เพราะที่อาศรมไม่มีขนมใดๆ นอกจากอาหารเพื่อสุขภาพ "น้ำผึ้ง" คือสิ่งเดียวที่เรารู้สึกว่าใกล้เคียงกับของหวานที่สุดแล้ว

ถึงออกมาคาเฟ่ ก็หนีไม่พ้นอาหารมังสวิรัสอยู่ดี เพราะที่นี่ เมืองนี้ ไม่มีเนื้อสัตว์ เป็นมังสวิรัสทั้งเมือง แต่อย่างน้อยก็ได้กินอะไรแปลกๆ ไปจากอาศรมบ้าง เช่นพวกขนม และอาหารหวานเย็น ซึ่งที่อาศรมจะไม่มีเมนูพวกนี้ เพราะเน้น Yogic Diet อาหารรสจืด ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็ม เน้นทานของร้อนๆ อุ่นๆ มากกว่าอาหารเย็นๆ

เช้าวันเสาร์เวียนมาอีกครั้ง เราตื่นมาด้วยความเบิกบาน เรียนอีกวันเดียวก็จะถึงวันหยุดอีกแล้ว
 เพี้ยนลาเวนเดอร์

เช้านี้มีคณะละครลิงมาแสดงให้ดูถึงหน้าอาศรม เจ้าลิงน้อยกระโดดโลดเต้นกันอย่างสนุกสนาน พวกเรายืนดูกันเพลินเลย คำพูดของโยคี "ที่นี่อินเดีย" ลอยมาแว่วๆ

เช้านี้มีนมมะพร้าว อร่อยมากๆ อาหารเช้าเรายังกินได้ปกติ เพราะมีเมนูที่หลากหลาย ทั้งขนมปังปิ้ง น้ำผึ้ง เนยถั่ว นูเทลล่า ช็อคโกแลต โยเกิร์ต นมมะพร้าว ซูยี ชานมมาซาล่า บลาๆๆๆ เรียกว่า enjoy กว่ามื้ออื่นๆ
 
วันไหนมีซูยี (Suji) ก็ตักหลายหนหน่อย เพราะเป็นเมนูที่คุ้นเคยตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย ต่างกันแค่ที่นี่ไม่หวานมากเหมือนที่ไทย

มื้อเย็นวันนี้มีปาปัด (Papad) แต่นัดกับซิลเวียร์ว่าจะไปกินอาหารอิตาเลียนที่คาเฟ่ประจำตรงข้ามอาศรม นางเริ่มเบื่ออาหารอินเดีย โหยหาอาหารฝรั่งตามแบบฉบับบ้านนาง ใจจริงเราอยากกินอาหารที่อาศรมมากกว่า เพราะประหยัด และอยากชิมปาปัดด้วยว่ารสชาติเป็นอย่างไร หน้าตาดูน่ารับประทานดี เลยแวะหยิบติดมือมาชิ้นนึง เดินไปกินไป เอ๊ยยย..อร่อย!! รสชาติดี!! คล้ายๆ ข้าวเกรียบ รสเค็มๆ มันๆ อยากเปลี่ยนใจไม่กลับไปกินที่อาศรมเลย สงสารพ่อครัวด้วย เวลาอาหารเหลือ แต่ถูกซิลเวียร์คะยั้นคะยอ อ่ะ..ไปก็ไป

ถือว่าเป็นการทานข้าวเย็นนอกอาศรมครั้งแรก เราสั่ง Spaghetti Arrabiata เพราะอยากกินอะไรเผ็ดๆ แม้ไม่เผ็ดอย่างไทยๆ แต่ก็คล้ายๆ แค่ได้กินเกล็ดพริกแห้งทอดที่ผสมอยู่ในเมนูนี้ก็ฟินแล้ว ถือว่าเป็นความเผ็ดที่ใกล้เคียงกับความเผ็ดแบบไทยๆ "คำแรก" ในรอบ 2 สัปดาห์ น้ำตาจะไหล...........เผ็ด!!
เพี้ยนกินมาม่า

พรุ่งนี้เป็นวันหยุด เราจะพาไปเที่ยว เดี๋ยวมาเขียนต่อ
ขอพักตาจากคอมฯ แป๊บ แล้วเจอกัน
นมัสเต..!!
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่