
นี่คือกระทู้แรก จากแรงเชียร์ของน้องที่ทำงาน เห็นเราชอบเล่าเรื่องเรียนโยคะที่อินเดีย เลยแนะให้เขียนลง Pantip เผื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ
การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางตามความฝัน จากที่ได้ดูรายการทีวีช่องหนึ่งซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวการฝึกโยคะของคนอินเดีย พวกเขาออกมาเล่นโยคะกันในยามเช้า ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ริมแม่น้ำ ราวกับเป็นกิจวัตรประจำวัน จึงเกิดแรงบันดาลใจ
“อยากสัมผัสโยคะให้ถึงแก่น..ต้องไปดินแดนต้นกำเนิด”
ตอนนั้นรู้จักโยคะมา 12 ปี แบบเรียนๆ หยุดๆ เราทำงานฟรีแลนซ์ เลยวางแผนจะงดรับงานสักระยะ แล้วไปเรียนโยคะที่อินเดีย แต่มันไม่ง่าย ต้องใช้ทั้งเงินและเวลา จึงบันทึกลงสมุด 100 ความฝัน แล้วพยายามสร้างโอกาสนั้นให้เป็นจริง
ผ่านไปปีกว่า ฝึกโยคะมาเรื่อยๆ จนวันนึงรู้สึกอยากเป็นครูโยคะ ความคิดที่จะไปอินเดียจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“อินเดียแสนกว้างใหญ่..แล้วจะไปส่วนไหนของอินเดีย”
ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าต้องไปเรียนที่ไหน พอค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เมืองที่สอนโยคะดีดก็ขึ้นมามากมาย แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือ
“Rishikesh” เพราะมีสมญานามว่า
“เมืองหลวงโยคะโลก”
“Rishikesh” ออกเสียงว่า
“ริชิเคส” ชื่อภาษาไทย
“ฤาษีเกศ” ตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย รัฐอุตรขัณฑ์ ตอนเหนือของอินเดีย มีแม่น้ำคงคาสีเขียวมรกตไหลผ่าน เพราะเป็นต้นสาย ยกเว้นฤดูฝน (มิ.ย.–ส.ค.) น้ำจะสีโคลน เพื่อได้เห็นคงคามรกต
เราจะไม่ไปหน้าฝนเด็ดขาด!
ค้นหาโรงเรียน รายชื่ออาศรมปรากฎขึ้นมามากมาย ค่อยๆ อ่านรายละเอียด ดู VDO แนะนำ ทำตารางเทียบราคา หลักสูตร ครู อาหาร บริการรับส่งสนามบิน จนได้อาศรมที่เหมาะกับเรา
งานที่ทำอยู่ตอนนั้นจะหมดสัญญา 2 ส.ค. ตั้งใจว่าหลังหมดสัญญา จะรอจนฝนหมดแล้วค่อยไป แต่บริษัทขอต่อสัญญาอีก 1 ปี ทีนี้ถ้าต่อสัญญาแล้วขอลาไปอินเดียช่วงหน้าหนาว 1 เดือน คงไม่ได้แน่ เลยขอไปอินเดียก่อน แล้วค่อยกลับมาเริ่มสัญญาใหม่ สรุปเลยต้องไปฤดูฝน
แม้ว่าความฝันที่จะได้เห็นคงคามรกตจะมลายหายไป
ข้อดี ค่าเรียนถูกลง 200$ เพราะเป็น Low Season
มีเวลาเตรียมตัว 1 เดือนก่อนเดินทาง
วีซ่า
น้องที่แนะให้เขียนกระทู้ เคยไปอินเดียและชอบมากๆ เป็นผู้ support ข้อมูล
“ยื่นขอวีซ่าที่สถานทูตอินเดีย อาคาร PS Tower ชั้น 10 สุขุมวิท 21 ถ่ายรูปที่ร้านถ่ายเอกสารชั้น 1 จะได้รูปตามระเบียบวีซ่าเป๊ะ!ถ้าเห็นพระสงฆ์เยอะๆ แสดงว่ามาถูกที่” จริงด้วย มีพระสงฆ์ไปขอวีซ่าเยอะ ทุกอย่างตรงตามคำบอก น้องแนะนำให้ขอ 5 ปี คุ้มกว่า (1 ปี 3,xxx, 5 ปี 5,xxx) แต่เราขอ 1 ปี เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างอินเดียน่ากลัวมาก ไม่เคยคิดอยากไปมาก่อน มีแต่น้องคนนี้แหละ เชียร์เหลือเกิน บอกไปแล้วจะติดใจ
หลังยื่นเอกสารจะมี SMS แจ้งทุกระยะ ตั้งแต่รับเรื่อง ผลพิจารณา จนวีซ่าเสร็จ (3 วันทำการ)
ตั๋วเครื่องบิน
สนามบินใกล้สุด: สนามบินเดห์ราดุน (DEH) Dehradun Airport ไม่ใช่สนามบินนานาชาติ บินตรงจากไทยไม่ได้ ต้องต่อเครื่องที่เดลี สนามบินอินทิราคานธี (DEL) Indhirakhandhi International Airport ตามชื่ออดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย เทียบราคา เวลา ไปไฟล์ทไหน ต่อไฟล์ทไหน ไม่รอนาน และไม่เสี่ยงตกเครื่อง
ขาไป: สุวรรณภูมิ ⇒ อินทิราคานธี (TG) 5,xxx ฿ ⇒ เดห์ราดุน (Indigo) 2,xxx ฿ (
จองใกล้เดินทาง)
ขากลับ: เดห์ราดุน ⇒ อินทิราคานธี (Indigo) 8xx ฿ (
จองพร้อมขาไป) ⇒ สุวรรณภูมิ (TG) 5,xxx ฿
แลกเงิน
ก่อนเดินทาง 1 วัน ครอบครัวพาไปเลี้ยงส่งที่อนันตรา มีร้านแลกเงินในพลาซ่าโรงแรมพอดี ที่นั่นไม่มีรูปี แลกดอลลาร์ไปก่อน แล้วไปแลกต่อที่อินเดีย พกไปไม่เยอะ เพราะจ่ายค่าเรียน ค่าอาหาร ค่าที่พักไปแล้ว ติดไว้ซื้อของฝากและเผื่อเที่ยววันหยุด
จัดกระเป๋า
ทางอาศรมสร้าง WhatsApp กลุ่ม แจ้งข้อมูลต่างๆ ผ่านช่องทางนี้ เลยรู้ว่ามีอะไรให้ และต้องเตรียมอะไรไป
สิ่งที่นำไป
- ชุดลำลอง 4
- ชุดขาวสำหรับพิธีเปิด 1
- ชุดฝึกโยคะ 6 (กฎการแต่งกาย: ชุดหลวมๆ กางเกงขายาว ห้ามเสื้อแขนกุด ชุดรัดรูป)
- ชุดนอน 3
- ผ้าขนหนูผืนใหญ่ 1, ผืนเล็ก 1
- ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร, วิตามิน, เกลือแร่, พฤกษเคมี, น้ำมันปลา
- คอนแทคเลนส์, น้ำยาล้างเลนส์
- ผ้าอนามัย
- ยาแก้ปวดลดไข้, แก้ท้องเสีย, แก้แพ้
- รองเท้าแตะ, รองเท้าผ้าใบ
- ผลไม้อบแห้ง สำหรับฝากเพื่อน & ครู
ใส่กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ คุมน้ำหนักไม่เกิน 15 KG (การบินไทยให้ขาไป 20, ขากลับ 30, เครื่อง domestic อินเดียให้ 15)
- เป้เล็ก 1 ใบ ใส่ของจำเป็นระหว่างเดินทาง
สิ่งที่ลืม
- กล้องคู่ใจ
สิ่งที่ไม่ได้นำไป
- adapter หัวเสียบชาร์จมือถือ (คิดว่า i-Phone เสียบที่อินเดียได้)
Let's go!
คืนก่อนเดินทาง จู่ๆ ขี้ก็ขึ้นสมอง กลัวไปคนเดียวนานๆ จะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้จ่ายค่าเรียนไปทั้งหมด คงเทค่าเครื่องแล้ว จริงๆ อาศรมให้มัดจำแค่ 100$ เราจ่ายเต็มเอง เพราะเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ กลัวทำหายกลางทาง
ตั้งสติ นึกถึงความฝัน กลับมาจะได้เป็นครูโยคะสมใจ
ลุย!!

เช้าวันที่ 4 ส.ค. ออกจากบ้าน 5:00 แม่และสามีมาส่ง ถึงสนามบิน 5:20 เครื่องออก 7:30

ชอบนั่งการบินไทย นั่งสบาย มีเพลงให้ฟังมีหนังให้ดู

บริการเครื่องดื่ม softdrinks & alcohol ตลอดเส้นทาง มีน้ำหอมจรุงใจบริการในห้องน้ำ

สั่งอาหารฮาลาลไว้ล่วงหน้า เยอะมาก กินไม่หมด

ห่อขนมปังกับครัวซองต์ใส่กระดาษไว้กินกลางทาง กลัวหาซื้ออะไรไม่ได้

ล้อแตะผืนดินอินตะระเดีย 9:50 เวลาท้องถิ่น (ช้ากว่าไทย 1.5 ช.ม.) บิน 4 ช.ม.

ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง ไม่นานก็ก้าวสู่อินเดียอย่างสมบูรณ์ ออกมาเจอร้านแลกเงิน รีบแปลงดอลลาร์เป็นรูปี หาทางไปต่อเครื่อง ก่อนมาถามคนอินเดียที่บริษัท เขาบอก ต่อเครื่อง terminal เดียวกับที่ลง พอไปจริง OMG!! terminal ที่ลงคือ T3 ต่อเครื่อง T2 ต้องนั่ง shuttle bus 30 นาที มีเวลาชั่วโมงกว่า ก่อน check in ปิด
ที่จุดรอรถ สามีภรรยาคู่หนึ่งที่รออยู่ก่อน แนะให้ไปแลกตั๋วตรงจุดออกตั๋ว shuttle bus (แสดงตั๋วเครื่องบินจะได้ตั๋ว shuttle bus ฟรี) ยืนคุยกับสามีภรรยาคู่นี้จนรถมา มีคนขึ้นจากจุดอื่นมาก่อนแล้ว เรานั่งคู่ชายอินเดียวัยกลางคน คนนี้ก็ชวนคุยอีก สรุปเอาเอง คนอินเดียคุยเก่ง อัธยาศัยดี เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
30 นาที ถึง T2 ขณะยกกระเป๋าก้าวลงจากรถ หนุ่มอินเดียนายหนึ่งมาช่วยยกกระเป๋า ถามว่าไปสายการบินไหน พอตอบ นางก็เดินนำลิ่วๆ พร้อมกระเป๋า เดินตามงงๆ ในดงแขก ไม่ตามได้ไง ก็กระเป๋าไปนู่นแล้ว นางพาขึ้นลิฟท์ เดินนำจนถึงหน้าทางเข้าอาคาร นางขอค่าบริการ เราถามเท่าไหร่ นางบอกแล้วแต่จะให้ ยื่นไป 150 รูปี นางขอมากกว่านี้ เราบอกมีแค่นี้ (แค่นี้จริงๆ นอกนั้นแบงค์ใหญ่) นางรับไป
และนี่..คือการใช้เงินรูปีครั้งแรกของเรา
2 รูปี = 1 บาท คิดเป็นเงินไทยง่ายๆ หาร 2
จนท.ตรวจพาสปอร์ต & ตั๋วก่อนเข้าอาคาร check in เสร็จ รอหน้า gate สนามบินสะอาด ไม่น่ากลัวอย่างที่มโน

เครื่อง delay 1 ช.ม. ถือว่าน้อยกว่าที่ฟังมา
เดิมเที่ยวบินนี้มีน.ร.อาศรมเดียวกัน 4 คน แต่ 1 คน เครื่อง delay จากประเทศต้นทาง มาขึ้นไม่ทัน จะนั่ง Taxi ไปแทน (240 KG) อีกคนมีปัญหาวีซ่า ต้องกลับประเทศแล้วมาใหม่ เหลือ 2 คน อีกคนคือใคร กวาดสายตาหา เห็นสาวฝรั่งผมแดงแต่งตัวชิลล์ แบก backpack คิดว่าน่าจะใช่ แต่ไม่ได้ทัก มัวเขมือบขนมปังที่ห่อมา หิวโซนิดๆ กว่าจะปุเรงๆ มาถึง เพิ่งมีเวลากินตอนรอเครื่องนี่แหละ
เครื่องบินดูดีกว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้าง (ฟังมาเยอะจนหลอน)

จองที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อดื่มด่ำวิว ท้องฟ้าเหนืออุตรขัณฑ์สวยงามจับใจ มองลงไปเห็นภูเขาเขียวๆ สลับก้อนเมฆหนา ๆ สอดส่ายสายตาหาว่ามีใครกำลังเต้นข้ามภูเขาอยู่หรือไม่
50 นาที เครื่องค่อยๆ ลดระดับความสูงลงจนล้อแตะพื้นเวลา 14:20
รถของอาศรมมารอรับ เพื่อนร่วมชั้นอีกคนคือสาวผมแดงคนนั้น นามว่าเรตานา มาจากสโลวีเนีย

รถพาพวกเราออกจากสนามบิน ผ่านเมืองเล็กๆ สู่ป่าและขึ้นเขา ระหว่างทางเห็นป้ายระวังสัตว์เป็นรูปช้าง ไปเรื่อยๆ รูปช้างกลายเป็นเสือ แอบหลอนนิดๆ

เริ่มลงเขา เห็นเมือง ดีใจ..ใกล้ถึงแล้ว
เปล่า! เพิ่งครึ่งทาง ยังต้องข้ามเขาอีกหลายลูก
ที่นี่คือ
Ganga Nakar

คนที่นี่ขับรถเร็วมาก (แม้บนเขา) บีบแตรตลอดทาง เวลาสวนกันตรงทางโค้งแคบๆ ก็เบรกจนตัวโก่ง ลุ้นตลอดทาง

1 ช.ม. ก็เข้าสู่เขตฤาษีเกศ เริ่มเห็นคนเดินตามถนนเป็นกลุ่ม

ถึงแล้ว

คนขับพาเดินเข้าตรอกแคบๆ

มีม้าและวัวเป็นเพื่อนสัญจรร่วมทาง
3 นาทีก็ถึงอาศรม อาคารสีขาว 4 ชั้น ด้านหน้ามีสวนหย่อม เหมือนใน VDO เป๊ะ ตอนนั้น 15:45 เดินทางจากไทย 12 ช.ม.
พ่อบ้านยกน้ำมาเสริฟ ระหว่างรอลงทะเบียนเหลือบเห็นชายผมยาวหยักศก มีสง่า
โยคีใน VDO แนะนำอาศรม! เหตุผลที่เลือกที่นี่ ใน VDO ใบหน้าน.ร.ขณะทำกิจกรรมดูมีความสุข โยคีดูสุขุม เมตตา ได้เจอตัวจริง ตื่นเต้น
ลงทะเบียนเสร็จ จนท.หนุ่มน้อยชาวอินเดียช่วยยกกระเป๋าขึ้นห้องพัก

เราอยู่ share room ชั้น 2 พัก 2 คน roommate ยังไม่มา เลยได้เลือกเตียงก่อน เลือกริมหน้าต่างติดระเบียงมองลงไปเห็นสวนหย่อมและตรอกที่เดินมา เก็บสัมภาระ โทรหาสามี พอจะชาร์จแบต หัวเสียบ i-Phone เสียบไม่ได้ ลงไปขอความช่วยเหลือที่ชั้นล่าง หนุ่มน้อยอินเดียให้ยืมของตนมา และสัญญาว่ารุ่งขึ้นจะพาไปซื้อ
รวมตัว 18:30 โยคีกล่าวต้อนรับ
"นี่คือบ้านของทุกคน" คิดในใจ มาอยู่ต่างที่กับคนต่างถิ่น จะคิดแบบนี้ได้จริงเหรอ คงแค่คำพูดสวยๆ
โยคีแจกถาดคนละชุด ถาด 1 ถ้วย 2 แก้ว 1 ช้อน 1 ส้อม 1 ให้เก็บไว้ที่ห้อง เวลากินค่อยนำลงมา
กินเอง ล้างเอง ตามวิถีโยคี

ได้เวลามื้อค่ำ พ่อครัวยกหม้ออาหารกลิ่นหอมฉุยมาวาง ตักกันเอง แล้วทานรวมกันที่โต๊ะญี่ปุ่น
อาหารมังสวิรัส Yogic Diet มื้อแรก จาปาตี บริยานี่ ซุปใสรสคล้ายแกงจืด แกงพริกหวานใส่อะไรสักอย่างก้อนสีเหลี่ยมขาวๆ เคี้ยวมัน อร่อยมาก

ตอนแรกคิดว่าเต้าหู้ รุ่งขึ้นถามหนุ่มน้อยชาวอินเดียตอนไปซื้อหัวเสียบจึงรู้ว่าคือชีส
2 ทุ่มกว่า roommate มาถึง นางคือคนที่ตกเครื่องและนั่ง taxi มา สาวจีนร่างเล็ก อายุน้อยกว่าเรารอบกว่า นามว่าดันลิน
ที่นี่ปิดไฟ 21:00 (เวลาไทย 22:30) สามีนอน 22:00 ไม่มีคนคุยด้วย เดินทางเพลียด้วย เลยรีบนอน
พรุ่งนี้จะเข้าสู่โลกของโยคี เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามใน
ความคิดเห็นที่ 14
ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ที่ฤาษีเกศ เรียนรู้วิถีโยคี ในเมือง Slow Life กับหลักสูตรครูโยคะที่อินเดีย
การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางตามความฝัน จากที่ได้ดูรายการทีวีช่องหนึ่งซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวการฝึกโยคะของคนอินเดีย พวกเขาออกมาเล่นโยคะกันในยามเช้า ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ริมแม่น้ำ ราวกับเป็นกิจวัตรประจำวัน จึงเกิดแรงบันดาลใจ “อยากสัมผัสโยคะให้ถึงแก่น..ต้องไปดินแดนต้นกำเนิด”
ตอนนั้นรู้จักโยคะมา 12 ปี แบบเรียนๆ หยุดๆ เราทำงานฟรีแลนซ์ เลยวางแผนจะงดรับงานสักระยะ แล้วไปเรียนโยคะที่อินเดีย แต่มันไม่ง่าย ต้องใช้ทั้งเงินและเวลา จึงบันทึกลงสมุด 100 ความฝัน แล้วพยายามสร้างโอกาสนั้นให้เป็นจริง
ผ่านไปปีกว่า ฝึกโยคะมาเรื่อยๆ จนวันนึงรู้สึกอยากเป็นครูโยคะ ความคิดที่จะไปอินเดียจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“อินเดียแสนกว้างใหญ่..แล้วจะไปส่วนไหนของอินเดีย”
ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าต้องไปเรียนที่ไหน พอค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เมืองที่สอนโยคะดีดก็ขึ้นมามากมาย แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือ “Rishikesh” เพราะมีสมญานามว่า “เมืองหลวงโยคะโลก”
“Rishikesh” ออกเสียงว่า “ริชิเคส” ชื่อภาษาไทย “ฤาษีเกศ” ตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย รัฐอุตรขัณฑ์ ตอนเหนือของอินเดีย มีแม่น้ำคงคาสีเขียวมรกตไหลผ่าน เพราะเป็นต้นสาย ยกเว้นฤดูฝน (มิ.ย.–ส.ค.) น้ำจะสีโคลน เพื่อได้เห็นคงคามรกต เราจะไม่ไปหน้าฝนเด็ดขาด!
ค้นหาโรงเรียน รายชื่ออาศรมปรากฎขึ้นมามากมาย ค่อยๆ อ่านรายละเอียด ดู VDO แนะนำ ทำตารางเทียบราคา หลักสูตร ครู อาหาร บริการรับส่งสนามบิน จนได้อาศรมที่เหมาะกับเรา
งานที่ทำอยู่ตอนนั้นจะหมดสัญญา 2 ส.ค. ตั้งใจว่าหลังหมดสัญญา จะรอจนฝนหมดแล้วค่อยไป แต่บริษัทขอต่อสัญญาอีก 1 ปี ทีนี้ถ้าต่อสัญญาแล้วขอลาไปอินเดียช่วงหน้าหนาว 1 เดือน คงไม่ได้แน่ เลยขอไปอินเดียก่อน แล้วค่อยกลับมาเริ่มสัญญาใหม่ สรุปเลยต้องไปฤดูฝน
แม้ว่าความฝันที่จะได้เห็นคงคามรกตจะมลายหายไป
ข้อดี ค่าเรียนถูกลง 200$ เพราะเป็น Low Season
มีเวลาเตรียมตัว 1 เดือนก่อนเดินทาง
วีซ่า
น้องที่แนะให้เขียนกระทู้ เคยไปอินเดียและชอบมากๆ เป็นผู้ support ข้อมูล
“ยื่นขอวีซ่าที่สถานทูตอินเดีย อาคาร PS Tower ชั้น 10 สุขุมวิท 21 ถ่ายรูปที่ร้านถ่ายเอกสารชั้น 1 จะได้รูปตามระเบียบวีซ่าเป๊ะ!ถ้าเห็นพระสงฆ์เยอะๆ แสดงว่ามาถูกที่” จริงด้วย มีพระสงฆ์ไปขอวีซ่าเยอะ ทุกอย่างตรงตามคำบอก น้องแนะนำให้ขอ 5 ปี คุ้มกว่า (1 ปี 3,xxx, 5 ปี 5,xxx) แต่เราขอ 1 ปี เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างอินเดียน่ากลัวมาก ไม่เคยคิดอยากไปมาก่อน มีแต่น้องคนนี้แหละ เชียร์เหลือเกิน บอกไปแล้วจะติดใจ
หลังยื่นเอกสารจะมี SMS แจ้งทุกระยะ ตั้งแต่รับเรื่อง ผลพิจารณา จนวีซ่าเสร็จ (3 วันทำการ)
ตั๋วเครื่องบิน
สนามบินใกล้สุด: สนามบินเดห์ราดุน (DEH) Dehradun Airport ไม่ใช่สนามบินนานาชาติ บินตรงจากไทยไม่ได้ ต้องต่อเครื่องที่เดลี สนามบินอินทิราคานธี (DEL) Indhirakhandhi International Airport ตามชื่ออดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย เทียบราคา เวลา ไปไฟล์ทไหน ต่อไฟล์ทไหน ไม่รอนาน และไม่เสี่ยงตกเครื่อง
ขาไป: สุวรรณภูมิ ⇒ อินทิราคานธี (TG) 5,xxx ฿ ⇒ เดห์ราดุน (Indigo) 2,xxx ฿ (จองใกล้เดินทาง)
ขากลับ: เดห์ราดุน ⇒ อินทิราคานธี (Indigo) 8xx ฿ (จองพร้อมขาไป) ⇒ สุวรรณภูมิ (TG) 5,xxx ฿
แลกเงิน
ก่อนเดินทาง 1 วัน ครอบครัวพาไปเลี้ยงส่งที่อนันตรา มีร้านแลกเงินในพลาซ่าโรงแรมพอดี ที่นั่นไม่มีรูปี แลกดอลลาร์ไปก่อน แล้วไปแลกต่อที่อินเดีย พกไปไม่เยอะ เพราะจ่ายค่าเรียน ค่าอาหาร ค่าที่พักไปแล้ว ติดไว้ซื้อของฝากและเผื่อเที่ยววันหยุด
จัดกระเป๋า
ทางอาศรมสร้าง WhatsApp กลุ่ม แจ้งข้อมูลต่างๆ ผ่านช่องทางนี้ เลยรู้ว่ามีอะไรให้ และต้องเตรียมอะไรไป
สิ่งที่นำไป
- ชุดลำลอง 4
- ชุดขาวสำหรับพิธีเปิด 1
- ชุดฝึกโยคะ 6 (กฎการแต่งกาย: ชุดหลวมๆ กางเกงขายาว ห้ามเสื้อแขนกุด ชุดรัดรูป)
- ชุดนอน 3
- ผ้าขนหนูผืนใหญ่ 1, ผืนเล็ก 1
- ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร, วิตามิน, เกลือแร่, พฤกษเคมี, น้ำมันปลา
- คอนแทคเลนส์, น้ำยาล้างเลนส์
- ผ้าอนามัย
- ยาแก้ปวดลดไข้, แก้ท้องเสีย, แก้แพ้
- รองเท้าแตะ, รองเท้าผ้าใบ
- ผลไม้อบแห้ง สำหรับฝากเพื่อน & ครู
ใส่กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ คุมน้ำหนักไม่เกิน 15 KG (การบินไทยให้ขาไป 20, ขากลับ 30, เครื่อง domestic อินเดียให้ 15)
- เป้เล็ก 1 ใบ ใส่ของจำเป็นระหว่างเดินทาง
สิ่งที่ลืม
- กล้องคู่ใจ
สิ่งที่ไม่ได้นำไป
- adapter หัวเสียบชาร์จมือถือ (คิดว่า i-Phone เสียบที่อินเดียได้)
Let's go!
คืนก่อนเดินทาง จู่ๆ ขี้ก็ขึ้นสมอง กลัวไปคนเดียวนานๆ จะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้จ่ายค่าเรียนไปทั้งหมด คงเทค่าเครื่องแล้ว จริงๆ อาศรมให้มัดจำแค่ 100$ เราจ่ายเต็มเอง เพราะเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ กลัวทำหายกลางทาง
ตั้งสติ นึกถึงความฝัน กลับมาจะได้เป็นครูโยคะสมใจ ลุย!!
เช้าวันที่ 4 ส.ค. ออกจากบ้าน 5:00 แม่และสามีมาส่ง ถึงสนามบิน 5:20 เครื่องออก 7:30
ชอบนั่งการบินไทย นั่งสบาย มีเพลงให้ฟังมีหนังให้ดู
บริการเครื่องดื่ม softdrinks & alcohol ตลอดเส้นทาง มีน้ำหอมจรุงใจบริการในห้องน้ำ
สั่งอาหารฮาลาลไว้ล่วงหน้า เยอะมาก กินไม่หมด
ห่อขนมปังกับครัวซองต์ใส่กระดาษไว้กินกลางทาง กลัวหาซื้ออะไรไม่ได้
ล้อแตะผืนดินอินตะระเดีย 9:50 เวลาท้องถิ่น (ช้ากว่าไทย 1.5 ช.ม.) บิน 4 ช.ม.
ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง ไม่นานก็ก้าวสู่อินเดียอย่างสมบูรณ์ ออกมาเจอร้านแลกเงิน รีบแปลงดอลลาร์เป็นรูปี หาทางไปต่อเครื่อง ก่อนมาถามคนอินเดียที่บริษัท เขาบอก ต่อเครื่อง terminal เดียวกับที่ลง พอไปจริง OMG!! terminal ที่ลงคือ T3 ต่อเครื่อง T2 ต้องนั่ง shuttle bus 30 นาที มีเวลาชั่วโมงกว่า ก่อน check in ปิด
ที่จุดรอรถ สามีภรรยาคู่หนึ่งที่รออยู่ก่อน แนะให้ไปแลกตั๋วตรงจุดออกตั๋ว shuttle bus (แสดงตั๋วเครื่องบินจะได้ตั๋ว shuttle bus ฟรี) ยืนคุยกับสามีภรรยาคู่นี้จนรถมา มีคนขึ้นจากจุดอื่นมาก่อนแล้ว เรานั่งคู่ชายอินเดียวัยกลางคน คนนี้ก็ชวนคุยอีก สรุปเอาเอง คนอินเดียคุยเก่ง อัธยาศัยดี เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
30 นาที ถึง T2 ขณะยกกระเป๋าก้าวลงจากรถ หนุ่มอินเดียนายหนึ่งมาช่วยยกกระเป๋า ถามว่าไปสายการบินไหน พอตอบ นางก็เดินนำลิ่วๆ พร้อมกระเป๋า เดินตามงงๆ ในดงแขก ไม่ตามได้ไง ก็กระเป๋าไปนู่นแล้ว นางพาขึ้นลิฟท์ เดินนำจนถึงหน้าทางเข้าอาคาร นางขอค่าบริการ เราถามเท่าไหร่ นางบอกแล้วแต่จะให้ ยื่นไป 150 รูปี นางขอมากกว่านี้ เราบอกมีแค่นี้ (แค่นี้จริงๆ นอกนั้นแบงค์ใหญ่) นางรับไป และนี่..คือการใช้เงินรูปีครั้งแรกของเรา
2 รูปี = 1 บาท คิดเป็นเงินไทยง่ายๆ หาร 2
จนท.ตรวจพาสปอร์ต & ตั๋วก่อนเข้าอาคาร check in เสร็จ รอหน้า gate สนามบินสะอาด ไม่น่ากลัวอย่างที่มโน
เครื่อง delay 1 ช.ม. ถือว่าน้อยกว่าที่ฟังมา
เดิมเที่ยวบินนี้มีน.ร.อาศรมเดียวกัน 4 คน แต่ 1 คน เครื่อง delay จากประเทศต้นทาง มาขึ้นไม่ทัน จะนั่ง Taxi ไปแทน (240 KG) อีกคนมีปัญหาวีซ่า ต้องกลับประเทศแล้วมาใหม่ เหลือ 2 คน อีกคนคือใคร กวาดสายตาหา เห็นสาวฝรั่งผมแดงแต่งตัวชิลล์ แบก backpack คิดว่าน่าจะใช่ แต่ไม่ได้ทัก มัวเขมือบขนมปังที่ห่อมา หิวโซนิดๆ กว่าจะปุเรงๆ มาถึง เพิ่งมีเวลากินตอนรอเครื่องนี่แหละ
เครื่องบินดูดีกว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้าง (ฟังมาเยอะจนหลอน)
จองที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อดื่มด่ำวิว ท้องฟ้าเหนืออุตรขัณฑ์สวยงามจับใจ มองลงไปเห็นภูเขาเขียวๆ สลับก้อนเมฆหนา ๆ สอดส่ายสายตาหาว่ามีใครกำลังเต้นข้ามภูเขาอยู่หรือไม่
50 นาที เครื่องค่อยๆ ลดระดับความสูงลงจนล้อแตะพื้นเวลา 14:20
รถของอาศรมมารอรับ เพื่อนร่วมชั้นอีกคนคือสาวผมแดงคนนั้น นามว่าเรตานา มาจากสโลวีเนีย
รถพาพวกเราออกจากสนามบิน ผ่านเมืองเล็กๆ สู่ป่าและขึ้นเขา ระหว่างทางเห็นป้ายระวังสัตว์เป็นรูปช้าง ไปเรื่อยๆ รูปช้างกลายเป็นเสือ แอบหลอนนิดๆ
เริ่มลงเขา เห็นเมือง ดีใจ..ใกล้ถึงแล้ว
เปล่า! เพิ่งครึ่งทาง ยังต้องข้ามเขาอีกหลายลูก
ที่นี่คือ Ganga Nakar
คนที่นี่ขับรถเร็วมาก (แม้บนเขา) บีบแตรตลอดทาง เวลาสวนกันตรงทางโค้งแคบๆ ก็เบรกจนตัวโก่ง ลุ้นตลอดทาง
1 ช.ม. ก็เข้าสู่เขตฤาษีเกศ เริ่มเห็นคนเดินตามถนนเป็นกลุ่ม
ถึงแล้ว
คนขับพาเดินเข้าตรอกแคบๆ
มีม้าและวัวเป็นเพื่อนสัญจรร่วมทาง
3 นาทีก็ถึงอาศรม อาคารสีขาว 4 ชั้น ด้านหน้ามีสวนหย่อม เหมือนใน VDO เป๊ะ ตอนนั้น 15:45 เดินทางจากไทย 12 ช.ม.
พ่อบ้านยกน้ำมาเสริฟ ระหว่างรอลงทะเบียนเหลือบเห็นชายผมยาวหยักศก มีสง่า โยคีใน VDO แนะนำอาศรม! เหตุผลที่เลือกที่นี่ ใน VDO ใบหน้าน.ร.ขณะทำกิจกรรมดูมีความสุข โยคีดูสุขุม เมตตา ได้เจอตัวจริง ตื่นเต้น
ลงทะเบียนเสร็จ จนท.หนุ่มน้อยชาวอินเดียช่วยยกกระเป๋าขึ้นห้องพัก
เราอยู่ share room ชั้น 2 พัก 2 คน roommate ยังไม่มา เลยได้เลือกเตียงก่อน เลือกริมหน้าต่างติดระเบียงมองลงไปเห็นสวนหย่อมและตรอกที่เดินมา เก็บสัมภาระ โทรหาสามี พอจะชาร์จแบต หัวเสียบ i-Phone เสียบไม่ได้ ลงไปขอความช่วยเหลือที่ชั้นล่าง หนุ่มน้อยอินเดียให้ยืมของตนมา และสัญญาว่ารุ่งขึ้นจะพาไปซื้อ
รวมตัว 18:30 โยคีกล่าวต้อนรับ "นี่คือบ้านของทุกคน" คิดในใจ มาอยู่ต่างที่กับคนต่างถิ่น จะคิดแบบนี้ได้จริงเหรอ คงแค่คำพูดสวยๆ
โยคีแจกถาดคนละชุด ถาด 1 ถ้วย 2 แก้ว 1 ช้อน 1 ส้อม 1 ให้เก็บไว้ที่ห้อง เวลากินค่อยนำลงมา กินเอง ล้างเอง ตามวิถีโยคี
ได้เวลามื้อค่ำ พ่อครัวยกหม้ออาหารกลิ่นหอมฉุยมาวาง ตักกันเอง แล้วทานรวมกันที่โต๊ะญี่ปุ่น
อาหารมังสวิรัส Yogic Diet มื้อแรก จาปาตี บริยานี่ ซุปใสรสคล้ายแกงจืด แกงพริกหวานใส่อะไรสักอย่างก้อนสีเหลี่ยมขาวๆ เคี้ยวมัน อร่อยมาก
ตอนแรกคิดว่าเต้าหู้ รุ่งขึ้นถามหนุ่มน้อยชาวอินเดียตอนไปซื้อหัวเสียบจึงรู้ว่าคือชีส
2 ทุ่มกว่า roommate มาถึง นางคือคนที่ตกเครื่องและนั่ง taxi มา สาวจีนร่างเล็ก อายุน้อยกว่าเรารอบกว่า นามว่าดันลิน
ที่นี่ปิดไฟ 21:00 (เวลาไทย 22:30) สามีนอน 22:00 ไม่มีคนคุยด้วย เดินทางเพลียด้วย เลยรีบนอน
พรุ่งนี้จะเข้าสู่โลกของโยคี เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามในความคิดเห็นที่ 14