
อรุณสวัสดิ์....จากฤาษีเกศ

กระทู้นี้เป็นกระทู้ต่อจาก “
ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ที่ฤาษีเกศ เรียนรู้วิถีโยคี ในเมือง Slow Life กับหลักสูตรครูโยคะที่อินเดีย”
ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้นะคะ
https://pantip.com/topic/39950391
เนื่องจากเป็นการเขียนกระทู้สดๆ จึงขอแบ่งลงทีละตอน สำหรับตอนที่กำลังนำเสนออยู่นี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ
Silence Day และพิธีคงคาอารตี
ทุกวันพฤหัสฯ ที่นี่กำหนดให้เป็น
Silence Day วันงดพูด!! บรรยากาศในอาศรมจึงเงียบกว่าปกติ เราคุยกันด้วยภาษามือ ฝึกโยคะแบบเงียบๆ โยคีปรบมือ และเคาะพื้นให้สัญญาณแทนการพูด
มีเรื่องขำขันนิดหน่อย เราถามหนุ่มน้อยชาวอินเดียเจ้าหน้าที่อาศรม (ซึ่งปกติจะทักทายพูดคุยกันทุกวัน) ว่า
"กินข้าวหรือยัง" เราทำท่ามือถือช้อนกับส้อมและตักอาหารใส่ปาก แต่หนุ่มน้อยไม่เข้าใจ ว่าเราต้องการสื่ออะไร เราเลยเขียนเป็นภาษาอังกฤษลงสมุดให้ดู นางถึงเข้าใจ พร้อมทำท่าใช้มือหยิบอะไรใส่ปาก ประมาณว่า "
หมายถึงกินข้าวใช่มั้ย"
ลืมไป!! คนอินเดียกินข้าวด้วยมือ พอทำท่าใช้ช้อน เลยไม่เข้าใจ

หลังมื้อเที่ยง โจแอนนา เพื่อนสาวชาวโปรตุเกสชวนไปเดินเล่นข้างนอก เป็นการออกไปเที่ยวกับนางครั้งแรก ที่นี่อิสระดี อยากไปเที่ยวกับใคร ยังไงก็ได้ ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด
ถ้าไม่นับวันแรกที่หนุ่มน้อยชาวอินเดียพาไปซื้อหัวเสียบที่ชาร์ตโทรศัพท์ ส่วนใหญ่เราจะออกไปกับดันลิน (สาวชาวจีนรูมเมทของเรา) และเพื่อนที่พักอยู่ห้องใกล้ๆ อีก 2 คน คือโซไรด้าสาวโคลัมเบีย และปีเตอร์หนุ่มผู้มาจากสาธารณะรัฐเชค ทุกคนอายุน้อยกว่าเราหมด

ทุกครั้งเราจะไปทางด้านซ้ายของอาศรม เลี้ยวขวา..เลี้ยวซ้าย..เลี้ยวขวา..ตรงไป ห่างจากอาศรมประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะพบตลาดรามจุฬา ตลาดที่เราไปช้อปปิ้งอยู่เป็นประจำ แต่วันนี้โจแอนนาชวนไปทางขวา

จากอาศรมไปทางขวา..เลี้ยวซ้าย..ลงเนิน..เดินตรงไป ผ่านทางเดินสุดแสนคลาสสิค

ห่างจากอาศรมไปราวๆ 650 เมตร ก็พบแม่น้ำคงคา
ดีใจมาก!! ได้เห็นแม่น้ำคงคาชัดๆ สักที ตั้งแต่มายังไม่ได้เห็นกันชัดๆ เลย เคยเห็นตอนกลางคืนหนนึงแถวรามจุฬา วันนี้ได้เห็นใกล้ๆ
ตื่นเต้นมาก!! แม้จะไม่ใช่คงคามรกตอย่างที่ฝันไว้ แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ และธรรมชาติที่โอบล้อม บวกกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก สัมผัสได้ถึงพลัง!!
จากสามแยกของถนนที่เดินมาบรรจบแม่น้ำคงคา พวกเราเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนเลียบแม่น้ำ ระหว่างทางเห็นฤาษี โยคี พระฮินดู นั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำ เมืองนี้เป็นเมืองแห่งนักบวช ไม่ว่าไปทางไหน ก็จะเจอแต่นักบวช

และแน่นอน ไม่ว่าที่ไหน เราก็จะเจอวัวด้วยเช่นกัน
เดินมาเรื่อยๆ ก็มาบรรจบกับรามจุฬา วันก่อนให้ดูวิวยามค่ำ วันนี้ขอเสนอวิวตอนกลางวันบ้าง
สะพานรามจุฬา (Ram Jhula) สะพานแขวนข้ามแม่น้ำคงคาที่เชื่อมระหว่างชุมชน Sivananda Nagar กับชุมชน Swargashram สร้างขึ้นในปี 2529 ถือเป็น Landmark แห่งหนึ่งของฤาษีเกศ "จุฬา" เป็นภาษาฮินดี แปลว่า "สะพาน" "ราม" ก็คือ "รามา" หมายถึง "พระราม" รวมความก็คือ "สะพานพระราม"

ใกล้ๆ รามจุฬา มีร้านขายกระทงดอกไม้

น้ำไม่ใส แต่ไหลเย็น และไม่เห็นตัวปลา ถ้ามาช่วงที่ไม่ใช่หน้าฝน คงได้เห็นน้ำใสไหลเย็นเป็นสีเขียวมรกตแน่ๆ
ต้องมาใหม่ให้ได้!

ได้สัมผัสน้ำในแม่น้ำคงคาเป็นครั้งแรก ลองเอามือจุ่มไป โอ้ว..เย็นมาก!

เมืองแห่งนักบวช
ใกล้เวลาเรียนช่วงบ่าย จึงชวนกันกลับ
เป็นการเดินเที่ยวที่ไม่มีเสียงพูดกันสักคำ!!

ระหว่างเดินกลับ แวะคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ อาศรม เมืองนี้เป็นเมืองมังสวิรัส ปราศจากเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ทั้งเมือง คาเฟ่ส่วนใหญ่เป็นคาเฟ่อายุรเวท นับเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองนี้ อย่าว่าแต่เนื้อสัตว์ แม้แต่ไข่ยังหากินยาก นม และชีสยังพอมีให้กินอยู่

เราสั่งชามาซาล่านมมะพร้าว หอม อร่อยมาก

บราวนี่ร่วมสาบาน

กลับถึงอาศรม เรียนภาคบ่ายต่อ หลังเลิกเรียนยืนมองทัศนียภาพโดยรอบจากดาดฟ้าหน้าห้องเรียน 18:30 ยังมีหมอกอยู่เลย สดชื่นมาก ยืนนิ่งๆ ตักตวงความสุขที่อยู่ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด รู้สึกเวลาที่นี่หมุนไปอย่างช้าๆ ใน 1 วัน ทำอะไรได้มากมาย อยู่อินเดียมา 5 วัน ไม่คิดเลยว่าความรู้สึกก่อนมา และหลังมา จะแตกต่างกันขนาดนี้ ก่อนมากลัวต่างๆ นาๆ "
การตัดสินสรรพสิ่งบนโลกใบนี้..ด้วยการฟังผู้อื่นเพียงอย่างเดียว อาจไม่ดีนัก ตราบใดที่..ยังไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง"

ชักหลงรักอินเดียขึ้นมาเสียแล้ว

Silence Day จบลงด้วยข้อคิดมากมาย คนเรายิ่งพูดน้อย..ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น บางทีเราก็พูดเยอะจนแทบไม่ได้ฟังสิ่งใด ยิ่งพูดเยอะ..ปัญหาก็เยอะ พูดน้อย..ความขัดแย้งก็น้อยลง ลองเงียบ และฟังสิ่งที่อยู่รอบตัว เราจะได้ยินอะไรมากขึ้น..
แม้แต่เสียงหัวใจของเราเอง

ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง เรียนอีกวันเดียว ก็ถึงวันหยุดแล้ว (วันอาทิตย์ไม่มีคลาสเรียน)
เป็น 1 สัปดาห์เต็มๆ ที่เรียนกันอย่างเข้มข้น เย็นวันเสาร์ไม่มีคลาสเรียนในอาศรม แต่จะไปทัศนศึกษาข้างนอก โดยการเดินไป ที่นี่เวลาไปไหนก็มักจะเดิน แล้วก็เดิน บอกแล้วว่าเรามา Slow Life ตามชื่อกระทู้ "
ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ในเมือง Slow Life" ใช้ชีวิตชิลล์ๆ แบบไม่เร่งรีบ

สถานที่แห่งแรก ที่กูรูพาพวกเรามา คือวัดฮินดูบนเขาใกล้ๆ อาศรม ภาพนี้ถ่ายจากห้องเรียน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาถึง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคืออะไร เห็นว่าสวยดี เลยถ่ายเก็บไว้

ในที่สุดก็มาถึง ใช้เวลาเดินบนทางราบบวกเดินขึ้นเขาประมาณ 30 นาที ยอดแหลมๆ ที่มองเห็นจากอาศรม เมื่อมาดูใกล้ๆ ก็จะเป็นแบบนี้

กูรูพาเข้าไปภายในวัด ใครไคร่ผูกด้ายแดงที่ข้อมือ ก็เรียงแถวไปทีละคน คนละ 20 รูปี มีใบเสร็จให้ด้วยนะ

หลังจากเสร็จพิธีผูกด้าย ก็มาเดินชมบรรยากาศรอบๆ วัด

วิวจากชั้นบน มองลงไปเห็นเมืองและแม่น้ำคงคา

จากตรงนี้มองเห็นสะพานใหม่ล่าสุดแห่งเมืองฤาษีเกศ ซึ่งกำลังสร้างอยู่ในขณะนั้น (ได้ข่าวว่าตอนนี้สร้างใกล้เสร็จแล้ว) เป็นสะพานแขวนเดินเท้าข้ามแม่น้ำคงคาสะพานหลักแห่งที่ 3 ของเมืองฤาษีเกศ มีชื่อว่า "Janaki Setu" โดยคำว่า "Setu" เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า "สะพาน" ส่วน "Janaki" หมายถึง "นางสีดา" พระชายาพระราม ดังนั้นสะพานนี้ เปรียบเสมือนภรรยาของสะพานรามจุฬา
แอบสงสัย ทำไมสะพานนี้จึงใช้คำว่า "Setu" ตรงคำว่าสะพาน ทำไมไม่ตั้งชื่อว่า Janaki Jhula ให้เหมือนกับอีกสองสะพานเดินเท้าหลัก (Ram Jhula และ Laxman Jhula) เคยถามโยคีท่านหนึ่งที่เมืองไทย หลังกลับจากฤาษีเกศเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านตอบว่า
"เดี๋ยวจะถามรัฐบาลอินเดียให้นะ..ว่าทำไมถึงไม่ตั้งชื่อว่า Janaki Jhula" ฮ่าๆๆ ท่านช่างมีอารมณ์ขัน

โยคีและโยคินี 19 ชีวิต ที่เรียนในคลาสเดียวกัน
เมื่อทัศนศึกษาที่วัดฮินดูจบ สถานที่ถัดไปคือ "
ปรมัตนิเกตัน" อาศรมชื่อดัง สถานที่ในฝันที่อยากไปมากๆๆ
ตื่นเต้น!! ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ไปเยือน เราจะไปชม "
พิธีคงคาอารตี" กัน

ระหว่างทางเดินไปปรมัตนิเกตัน

ถึงแล้ว..!! อาศรมปรมัตนิเกตัน ซุ้มประตูที่อยู่ระหว่างทางเดิน มีฉากหลังเป็นภูเขาและหมอกจางๆ
ว้าววว!! สวยจัง!!
Parmarth Niketan Ashram อาศรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งเมืองฤาษีเกศ ก่อตั้งในปี 2485 ตั้งอยู่บนหน้าตักเขาหิมาลัยอันเขียวชะอุ่ม ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและดูศักดิ์สิทธิ รายล้อมไปด้วยสวนอันสวยงาม ที่อาศรมแห่งนี้มีทั้งการสอนโยคะ ศาสตร์แห่งอายุรเวท สวดมนต์ยามเช้า และพิธีคงคาอารตียามเย็น จึงดึงดูดนักแสวงบุญจากทั่วสารทิศให้มาเยือนเป็นจำนวนมาก

เหล่าเฌรน้อยกำลังเดินไปริมน้ำคงคา เพื่อเตรียมประกอบพิธีคงคาอารตี

บรรยากาศภายใน

ทางลงไปริมแม่น้ำคงคาเพื่อร่วมงาน

รูปปั้นพระศิวะกลางแม่น้ำคงคา หน้าอาศรมปรมัตนิเกตัน

เราจะเดินไปดูรูปปั้นพระศิวะใกล้ๆ ด้วยสะพานนี้ หันหลังกลับไป ก็จะเห็นวิวแม่น้ำคงคา ที่มีสะพานรามจุฬาพาดผ่าน โดยมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นฉากหลัง

ใกล้เข้าไป..ใกล้เข้าไป

ในที่สุดก็มาถึงเทวรูป

จากสะพานที่เชื่อมสู่เทวรูป หันหน้าเข้าฝั่งก็จะเจอปรัมพิธี
พิธีคงคาอารตี (
GANGA AARTI) คือพิธีเวียนประทีปเพื่อบูชาแม่น้ำคงคา โดยใช้ตะเกียงที่มีด้ามจับ ใส่สำลีชุบน้ำมันเนยเพื่อจุดไฟ ผู้บูชาจะวนตะเกียงตามเข็มนาฬิกา มีการประโคมเครื่องดนตรี กระดิ่ง ระฆัง กังสดาล และกลอง เป็นต้น พร้อมขับกล่อมบทสรรเสริญพระเจ้าด้วยท่วงทำนองอันไพเราะ ผู้ร่วมงานก็จะเวียนไฟที่จุดในกระทงดอกไม้ และปล่อยลงแม่น้ำคงคา นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์ ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมการทำพิธีซึ่งจัดในทุกเย็น

กระทงดอกไม้ พร้อมไม้ขีดไฟ และสำลีชุบน้ำมันเนย หาซื้อได้ภายในงาน ราคา 10-20 รูปี

ส่งท้ายสัปดาห์แรกด้วยภาพโยคินีทั้ง 5 พรุ่งนี้เป็นวันหยุด เราจะไปสำรวจเมืองกัน เมืองฤาษีเกศจะเป็นอย่างไร ;วันหยุดเราไปเที่ยวไหน ติดตามได้ใน
ความคิดเห็นที่ 6
ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ที่ฤาษีเกศ สัมผัสวิถีโยคี ในเมือง Slow Life กับหลักสูตรครูโยคะที่อินเดีย ตอน 2 : Silence Day & คงคาอารตี
กระทู้นี้เป็นกระทู้ต่อจาก “ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ที่ฤาษีเกศ เรียนรู้วิถีโยคี ในเมือง Slow Life กับหลักสูตรครูโยคะที่อินเดีย”
ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้นะคะ https://pantip.com/topic/39950391
เนื่องจากเป็นการเขียนกระทู้สดๆ จึงขอแบ่งลงทีละตอน สำหรับตอนที่กำลังนำเสนออยู่นี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Silence Day และพิธีคงคาอารตี
ทุกวันพฤหัสฯ ที่นี่กำหนดให้เป็น Silence Day วันงดพูด!! บรรยากาศในอาศรมจึงเงียบกว่าปกติ เราคุยกันด้วยภาษามือ ฝึกโยคะแบบเงียบๆ โยคีปรบมือ และเคาะพื้นให้สัญญาณแทนการพูด
มีเรื่องขำขันนิดหน่อย เราถามหนุ่มน้อยชาวอินเดียเจ้าหน้าที่อาศรม (ซึ่งปกติจะทักทายพูดคุยกันทุกวัน) ว่า "กินข้าวหรือยัง" เราทำท่ามือถือช้อนกับส้อมและตักอาหารใส่ปาก แต่หนุ่มน้อยไม่เข้าใจ ว่าเราต้องการสื่ออะไร เราเลยเขียนเป็นภาษาอังกฤษลงสมุดให้ดู นางถึงเข้าใจ พร้อมทำท่าใช้มือหยิบอะไรใส่ปาก ประมาณว่า "หมายถึงกินข้าวใช่มั้ย" ลืมไป!! คนอินเดียกินข้าวด้วยมือ พอทำท่าใช้ช้อน เลยไม่เข้าใจ
หลังมื้อเที่ยง โจแอนนา เพื่อนสาวชาวโปรตุเกสชวนไปเดินเล่นข้างนอก เป็นการออกไปเที่ยวกับนางครั้งแรก ที่นี่อิสระดี อยากไปเที่ยวกับใคร ยังไงก็ได้ ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด
ถ้าไม่นับวันแรกที่หนุ่มน้อยชาวอินเดียพาไปซื้อหัวเสียบที่ชาร์ตโทรศัพท์ ส่วนใหญ่เราจะออกไปกับดันลิน (สาวชาวจีนรูมเมทของเรา) และเพื่อนที่พักอยู่ห้องใกล้ๆ อีก 2 คน คือโซไรด้าสาวโคลัมเบีย และปีเตอร์หนุ่มผู้มาจากสาธารณะรัฐเชค ทุกคนอายุน้อยกว่าเราหมด
ทุกครั้งเราจะไปทางด้านซ้ายของอาศรม เลี้ยวขวา..เลี้ยวซ้าย..เลี้ยวขวา..ตรงไป ห่างจากอาศรมประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะพบตลาดรามจุฬา ตลาดที่เราไปช้อปปิ้งอยู่เป็นประจำ แต่วันนี้โจแอนนาชวนไปทางขวา
จากอาศรมไปทางขวา..เลี้ยวซ้าย..ลงเนิน..เดินตรงไป ผ่านทางเดินสุดแสนคลาสสิค
ห่างจากอาศรมไปราวๆ 650 เมตร ก็พบแม่น้ำคงคา ดีใจมาก!! ได้เห็นแม่น้ำคงคาชัดๆ สักที ตั้งแต่มายังไม่ได้เห็นกันชัดๆ เลย เคยเห็นตอนกลางคืนหนนึงแถวรามจุฬา วันนี้ได้เห็นใกล้ๆ ตื่นเต้นมาก!! แม้จะไม่ใช่คงคามรกตอย่างที่ฝันไว้ แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ และธรรมชาติที่โอบล้อม บวกกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก สัมผัสได้ถึงพลัง!!
จากสามแยกของถนนที่เดินมาบรรจบแม่น้ำคงคา พวกเราเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนเลียบแม่น้ำ ระหว่างทางเห็นฤาษี โยคี พระฮินดู นั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำ เมืองนี้เป็นเมืองแห่งนักบวช ไม่ว่าไปทางไหน ก็จะเจอแต่นักบวช
และแน่นอน ไม่ว่าที่ไหน เราก็จะเจอวัวด้วยเช่นกัน
เดินมาเรื่อยๆ ก็มาบรรจบกับรามจุฬา วันก่อนให้ดูวิวยามค่ำ วันนี้ขอเสนอวิวตอนกลางวันบ้าง
สะพานรามจุฬา (Ram Jhula) สะพานแขวนข้ามแม่น้ำคงคาที่เชื่อมระหว่างชุมชน Sivananda Nagar กับชุมชน Swargashram สร้างขึ้นในปี 2529 ถือเป็น Landmark แห่งหนึ่งของฤาษีเกศ "จุฬา" เป็นภาษาฮินดี แปลว่า "สะพาน" "ราม" ก็คือ "รามา" หมายถึง "พระราม" รวมความก็คือ "สะพานพระราม"
ใกล้ๆ รามจุฬา มีร้านขายกระทงดอกไม้
น้ำไม่ใส แต่ไหลเย็น และไม่เห็นตัวปลา ถ้ามาช่วงที่ไม่ใช่หน้าฝน คงได้เห็นน้ำใสไหลเย็นเป็นสีเขียวมรกตแน่ๆ
ต้องมาใหม่ให้ได้!
ได้สัมผัสน้ำในแม่น้ำคงคาเป็นครั้งแรก ลองเอามือจุ่มไป โอ้ว..เย็นมาก!
เมืองแห่งนักบวช
ใกล้เวลาเรียนช่วงบ่าย จึงชวนกันกลับ เป็นการเดินเที่ยวที่ไม่มีเสียงพูดกันสักคำ!!
ระหว่างเดินกลับ แวะคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ อาศรม เมืองนี้เป็นเมืองมังสวิรัส ปราศจากเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ทั้งเมือง คาเฟ่ส่วนใหญ่เป็นคาเฟ่อายุรเวท นับเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองนี้ อย่าว่าแต่เนื้อสัตว์ แม้แต่ไข่ยังหากินยาก นม และชีสยังพอมีให้กินอยู่
เราสั่งชามาซาล่านมมะพร้าว หอม อร่อยมาก
บราวนี่ร่วมสาบาน
กลับถึงอาศรม เรียนภาคบ่ายต่อ หลังเลิกเรียนยืนมองทัศนียภาพโดยรอบจากดาดฟ้าหน้าห้องเรียน 18:30 ยังมีหมอกอยู่เลย สดชื่นมาก ยืนนิ่งๆ ตักตวงความสุขที่อยู่ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด รู้สึกเวลาที่นี่หมุนไปอย่างช้าๆ ใน 1 วัน ทำอะไรได้มากมาย อยู่อินเดียมา 5 วัน ไม่คิดเลยว่าความรู้สึกก่อนมา และหลังมา จะแตกต่างกันขนาดนี้ ก่อนมากลัวต่างๆ นาๆ "การตัดสินสรรพสิ่งบนโลกใบนี้..ด้วยการฟังผู้อื่นเพียงอย่างเดียว อาจไม่ดีนัก ตราบใดที่..ยังไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง"
ชักหลงรักอินเดียขึ้นมาเสียแล้ว
Silence Day จบลงด้วยข้อคิดมากมาย คนเรายิ่งพูดน้อย..ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น บางทีเราก็พูดเยอะจนแทบไม่ได้ฟังสิ่งใด ยิ่งพูดเยอะ..ปัญหาก็เยอะ พูดน้อย..ความขัดแย้งก็น้อยลง ลองเงียบ และฟังสิ่งที่อยู่รอบตัว เราจะได้ยินอะไรมากขึ้น..แม้แต่เสียงหัวใจของเราเอง
ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง เรียนอีกวันเดียว ก็ถึงวันหยุดแล้ว (วันอาทิตย์ไม่มีคลาสเรียน)
เป็น 1 สัปดาห์เต็มๆ ที่เรียนกันอย่างเข้มข้น เย็นวันเสาร์ไม่มีคลาสเรียนในอาศรม แต่จะไปทัศนศึกษาข้างนอก โดยการเดินไป ที่นี่เวลาไปไหนก็มักจะเดิน แล้วก็เดิน บอกแล้วว่าเรามา Slow Life ตามชื่อกระทู้ "ไปใช้ชีวิตคลีนๆ ในเมือง Slow Life" ใช้ชีวิตชิลล์ๆ แบบไม่เร่งรีบ
สถานที่แห่งแรก ที่กูรูพาพวกเรามา คือวัดฮินดูบนเขาใกล้ๆ อาศรม ภาพนี้ถ่ายจากห้องเรียน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาถึง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคืออะไร เห็นว่าสวยดี เลยถ่ายเก็บไว้
ในที่สุดก็มาถึง ใช้เวลาเดินบนทางราบบวกเดินขึ้นเขาประมาณ 30 นาที ยอดแหลมๆ ที่มองเห็นจากอาศรม เมื่อมาดูใกล้ๆ ก็จะเป็นแบบนี้
กูรูพาเข้าไปภายในวัด ใครไคร่ผูกด้ายแดงที่ข้อมือ ก็เรียงแถวไปทีละคน คนละ 20 รูปี มีใบเสร็จให้ด้วยนะ
หลังจากเสร็จพิธีผูกด้าย ก็มาเดินชมบรรยากาศรอบๆ วัด
วิวจากชั้นบน มองลงไปเห็นเมืองและแม่น้ำคงคา
จากตรงนี้มองเห็นสะพานใหม่ล่าสุดแห่งเมืองฤาษีเกศ ซึ่งกำลังสร้างอยู่ในขณะนั้น (ได้ข่าวว่าตอนนี้สร้างใกล้เสร็จแล้ว) เป็นสะพานแขวนเดินเท้าข้ามแม่น้ำคงคาสะพานหลักแห่งที่ 3 ของเมืองฤาษีเกศ มีชื่อว่า "Janaki Setu" โดยคำว่า "Setu" เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า "สะพาน" ส่วน "Janaki" หมายถึง "นางสีดา" พระชายาพระราม ดังนั้นสะพานนี้ เปรียบเสมือนภรรยาของสะพานรามจุฬา
แอบสงสัย ทำไมสะพานนี้จึงใช้คำว่า "Setu" ตรงคำว่าสะพาน ทำไมไม่ตั้งชื่อว่า Janaki Jhula ให้เหมือนกับอีกสองสะพานเดินเท้าหลัก (Ram Jhula และ Laxman Jhula) เคยถามโยคีท่านหนึ่งที่เมืองไทย หลังกลับจากฤาษีเกศเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านตอบว่า "เดี๋ยวจะถามรัฐบาลอินเดียให้นะ..ว่าทำไมถึงไม่ตั้งชื่อว่า Janaki Jhula" ฮ่าๆๆ ท่านช่างมีอารมณ์ขัน
โยคีและโยคินี 19 ชีวิต ที่เรียนในคลาสเดียวกัน
เมื่อทัศนศึกษาที่วัดฮินดูจบ สถานที่ถัดไปคือ "ปรมัตนิเกตัน" อาศรมชื่อดัง สถานที่ในฝันที่อยากไปมากๆๆ
ตื่นเต้น!! ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ไปเยือน เราจะไปชม "พิธีคงคาอารตี" กัน
ระหว่างทางเดินไปปรมัตนิเกตัน
ถึงแล้ว..!! อาศรมปรมัตนิเกตัน ซุ้มประตูที่อยู่ระหว่างทางเดิน มีฉากหลังเป็นภูเขาและหมอกจางๆ ว้าววว!! สวยจัง!!
Parmarth Niketan Ashram อาศรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งเมืองฤาษีเกศ ก่อตั้งในปี 2485 ตั้งอยู่บนหน้าตักเขาหิมาลัยอันเขียวชะอุ่ม ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและดูศักดิ์สิทธิ รายล้อมไปด้วยสวนอันสวยงาม ที่อาศรมแห่งนี้มีทั้งการสอนโยคะ ศาสตร์แห่งอายุรเวท สวดมนต์ยามเช้า และพิธีคงคาอารตียามเย็น จึงดึงดูดนักแสวงบุญจากทั่วสารทิศให้มาเยือนเป็นจำนวนมาก
เหล่าเฌรน้อยกำลังเดินไปริมน้ำคงคา เพื่อเตรียมประกอบพิธีคงคาอารตี
บรรยากาศภายใน
ทางลงไปริมแม่น้ำคงคาเพื่อร่วมงาน
รูปปั้นพระศิวะกลางแม่น้ำคงคา หน้าอาศรมปรมัตนิเกตัน
เราจะเดินไปดูรูปปั้นพระศิวะใกล้ๆ ด้วยสะพานนี้ หันหลังกลับไป ก็จะเห็นวิวแม่น้ำคงคา ที่มีสะพานรามจุฬาพาดผ่าน โดยมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นฉากหลัง
ใกล้เข้าไป..ใกล้เข้าไป
ในที่สุดก็มาถึงเทวรูป
จากสะพานที่เชื่อมสู่เทวรูป หันหน้าเข้าฝั่งก็จะเจอปรัมพิธี
พิธีคงคาอารตี (GANGA AARTI) คือพิธีเวียนประทีปเพื่อบูชาแม่น้ำคงคา โดยใช้ตะเกียงที่มีด้ามจับ ใส่สำลีชุบน้ำมันเนยเพื่อจุดไฟ ผู้บูชาจะวนตะเกียงตามเข็มนาฬิกา มีการประโคมเครื่องดนตรี กระดิ่ง ระฆัง กังสดาล และกลอง เป็นต้น พร้อมขับกล่อมบทสรรเสริญพระเจ้าด้วยท่วงทำนองอันไพเราะ ผู้ร่วมงานก็จะเวียนไฟที่จุดในกระทงดอกไม้ และปล่อยลงแม่น้ำคงคา นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์ ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมการทำพิธีซึ่งจัดในทุกเย็น
กระทงดอกไม้ พร้อมไม้ขีดไฟ และสำลีชุบน้ำมันเนย หาซื้อได้ภายในงาน ราคา 10-20 รูปี
ส่งท้ายสัปดาห์แรกด้วยภาพโยคินีทั้ง 5 พรุ่งนี้เป็นวันหยุด เราจะไปสำรวจเมืองกัน เมืองฤาษีเกศจะเป็นอย่างไร ;วันหยุดเราไปเที่ยวไหน ติดตามได้ในความคิดเห็นที่ 6