เรื่องเล่าของแม่ ปฐมบท

ข้อตกลงเบื้องต้น

เรื่องราวที่เรียบเรียงนี้มาจากคำบอกเล่าส่วนหนึ่ง
จากลูกหลานของครอบครัวหนึ่งให้ช่วยเขียนไว้
ความถูกผิดเป็นของเจ้าของกระทู้แต่ผู้เดียว
เพราะจดจำมานานหลายปีแล้ว
อาจจะมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลัง
ถ้าลูกหลานของครอบครัวนี้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ส่วนข้อความอาจจะขยายความ เยื่นเย้อ เวิ่นเว้อไปบ้าง
กลับไปกลับมา ก็ให้ถือว่ากำลังดูหนังฝรั่ง หรือ Series เกาหลี
ที่มีฉากย้อนอดีต หรือเป็นความผิดพลาดของผู้เขียนสูงวัยก็แล้วกัน

อนึ่ง ประเพณีวัฒนธรรมคนจีนหลากหลายมาก
ยิ่งคนละภาษาพูด คนละตำบล คนละหมู่บ้าน
มาพิจารณาวินิจฉัยเรื่องประเพณีคงทะเลาะกันป่นปี้
เพราะทำตามตามกันมาไม่มีมาตรฐานแต่อย่างใด
เผลอเผลอใช้ความเก๋าความแก่ในการสรุปฟันธง
เป็นเหตุให้งานไหว้เจ้า งานพิธีกรรม งานศพคนจีน
มีข้อกังขาและมีปัญหาวุ่นวายมาก
จนที่เบตง ตัดปัญหาด้วยการแยกสมาคม/ฌาปนกิจสถาน
เป็นของภาษาใคร ภาษามัน ไม่ต้องมายุ่งกันให้เรื่องมาก




แม่ตายแล้ว  แม่ตายตอนอายุ ๑๐๑ ปี
แม่เกิดที่เมืองจีนที่ซัวเถา เมื่อราว ๑๐๐ ปีก่อน
แม่เป็นลูกสาวคนเดียวในตอนนั้น
แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่แม่ยังเป็นเด็ก ๆ อยู่มาก
แม่ของท่านมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงมาก
แต่ชาวบ้านในยุคนั้น  ห้ามคนไข้กินน้ำหรือกินข้าว
เพราะเชื่อกันว่า  การถ่ายจนหมดไส้หมดพุงจะทำให้หายได้
ผลของการขาดน้ำอย่างรุนแรง ทำให้แม่ท่านตายในวันนั้น

การรักษาแบบความเชื่อหรือหมอโบราณ
ทำให้คนไข้ตายไปหลายคนแล้ว
แบบยาผีบอก ยาบำรุงสุขภาพ อาหารเสริม
ที่กินแล้วมีอาการข้างเคียง Side effect
คนขายยามักจะบอกไว้เป็นการล่วงหน้าว่า
ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องไปหาหมอ
เพราะยากำลังกระทุ้งโรคเก่าออกมา

หรือ คนไข้หลังผ่าตัด หรือหลังคลอดลูก
ให้กินแต่น้ำหรือข้าวต้ม  อ้างว่าอย่างอื่นแสลง
ทำเอาร่างกายต้องนำโปรตีนจากเนื้อเยื่อมาใช้แทน
ไม่นานก็ผอมแห้งแรงน้อยอ่อนระโหยโรยรา
แบบนักโทษยิวในค่ายนาซีเยอรมัน
ถ้ามีโปรตีนบ้าง ไม่ใช่จากเนื้อสัตว์
ก็จากพวกถั่วเหลือง ธัญพืช ก็ยังดีบ้าง

แม่ตอนนั้นยังเด็กมาก  และพ่อของแม่ต้องไปทำนา
ทำให้ต้องฝากแม่ไปอยู่กับป้า(พี่สาวคนโตของแม่)
ทางป้าเลยรับเลี้ยงแม่เป็นลูกสาวอีกคนหนึ่ง
สามีของป้า แซ่โง๊ว
แม่จึงใช้แซ่โง๊ว  มาตลอดชีวิตจนกระทั่งตาย
แม้ว่าพ่อของแม่จะ แซ่อึ้ง
คนจีนส่วนหนึ่งจึงมีนิยามกันว่า
จิตวิญญาณเป็นของคนแซ่อึ้ง
แต่ร่างกายและเลือดเนื้อเป็นของคนแซ่โง๊ว
ส่วนหลังนี้สำคัญต่อการเติบโตเป็นผู้เป็นคน

แม่จีงเติบโตขึ้นที่บ้านของป้าพี่สาวของแม่
พร้อมกับน้องผู้หญิงอีกสามคน
ตอนเด็ก ๆ แม่ต้องไปทำนา หุงข้าว เลี้ยงน้อง
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชาวนาในยุคนั้น
ในสมัยนั้น ยามว่างก็มักจะเป็นเรื่องงานฝีมือ
งานเย็บถักปักร้อย สานรองเท้า ไว้ใช้งานกับขายบ้าง
แม่มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปักดอกไม้ประดับที่รองเท้า
และการสานรองเท้าฟางที่แน่นและสวยงาม
กลายเป็นของที่หลายคนชื่นชอบ
มักจะขอไปใช้หรือถูกลักขโมยไปหลายต่อหลายครั้ง
ป้า(ซึ่งตอนนี้เป็นแม่ของแม่) เล่าให้แม่ฟังว่า
แม่ของเธองานฝีมือเรื่องนี้จัดว่าเก่งมาก

ในตอนหลัง แม่อายุ 90 กว่าแล้ว
ยังนั่งนั่งนอนนอน พอนั่งรถเข็นไปมาได้
ก่อนที่แม่ยังไม่นอนติดเตียงช่วงหนึ่งปีก่อนตาย
ก็ยังถักเสื้อนิตติ้งแจกลูกหลานคนละตัวสองตัว
โดยใช้ความจำจากมือในการสร้าง Pattern ขึ้นมา
และทะเลาะแบบงอนกับพี้เลี้ยงคนดูแลแม่บ่อยมาก
เพราะพอเบื่อ ๆ แม่ก็รื้อทิ้ง ถักใหม่อีกครั้ง
ทำเอาพี่เลี้ยงต้องคอยเตือนคอยให้หยุดถักนิตติ้งเวลานอนด้วย

ซึ่งในเรื่องนี้มีการถ่ายทอดทางยีนให้กับชั้นลูกกับหลาน
หลานสาวของแม่คนหนึ่งตอนเรียนชั้นประถม
ได้ถักที่ใส่กระดาษทิชชู่ด้วยลูกปัดพลาสติค
ได้รับรางวัลในชั้นเรียนของโรงเรียน
และแกถักมอบให้แม่(อาม่า) 1 ชิ้น
แม่เลยตบรางวัลให้จำนวนหนึ่ง
และบอกให้ถักเพิ่มอีกหลายชิ้น
พร้อมกับบังคับขายให้กับลูก ๆ ทุกคน
โดยบอกว่าฝึมือดี เหมือนงานฝีมือของแม่ตอนเด็ก ๆ

เรื่องยีนถ่ายทอดนี้มีส่วนจริงส่วนหนึ่ง
มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนบอกว่า
พวกสายสกุล งอนรถ (เชื้อสายรัชกาลที่ 2)
สายสกุลนี้เก่งนะ  เรื่องร่ายรำและขับร้อง
ต่อให้ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย
แต่พอฝึกสอนสักพักก็เก่งกว่าพวกรุ่นเดียวกัน
ที่ร่ายรำและขับร้องมานานกว่า
เรื่องนี้เคยมีคนสอบถามลูกหลานสายสกุลงอนรถ
ที่สนิทกับ มรว.คึกฤทธิ์  ปราโมช
ก็ยอมรับว่า เป็นจริงตามที่มรว.คึกฤทธิ์ กล่าวไว้




แม่เล่าว่า ตอนเช้าวันหนึ่ง
มีคนยกโลงศพออกจากเหล่าเต๊ง(ชั้นลอย) ด้านในสุด
โดยโกยฟางที่ปกคลุมไว้ออกหมดก็จะเห็นโลงศพ
ซึ่งที่เหล่าเต๊งแห่งนี้ เป็นสถานที่เล่นซ่อนหา 
เป็นสถานที่เล่นระหว่างพี่น้องของแม่ในยามว่างกัน
เป็นที่นำฟางมาถักร้องเท้า โยนฟางใส่กัน  ทำเป็นหัวเชื้อเพลิง

เหล่าเต๊ง อีกนัยหนึ่งคือ คำหยอกล้อว่า  ตาชั้นเดียว
มีไว้ล้อเลียนลูกหลานคนจีนที่ตาชั้นเดียวว่า
เด็กอะไรไม่มีเหล่าเต๊ง ทำให้พอหนุ่ม ๆสาว ๆ แล้ว
ต้องไปกรีดชั้นเปลือกผิวหนังตาให้เป็นสองชั้น

แม่ยอมรับว่า  กลัวมากเมื่อเห็นเรื่องนี้
ตอนที่มีคนลำเลียงโลงศพย่าลงมาจากเหล่าเต๊ง
และได้รับคำบอกเล่าจากญาติพี่น้องว่า
ในโลงศพเป็นย่าของท่านเก็บไว้นานถึง ๑๕ ปีแล้ว
แต่นำไปฝังไม่ได้ เพราะมีครอบครัวหนึ่งที่เป็นพี่น้องกันไม่ยอม

เพราะหมอผีฮวงจุ๊ยบอกว่าฝังศพไว้ที่เดียวกับตาไม่ได้
จะทำให้เซี่ย(ชน)กับครอบครัวนี้ให้มีปัญหาโชคร้าย
เรื่องเลยต้องเก็บไว้ที่เหล่าเต๊งนานถึง ๑๕ ปี
และวันที่นำศพย่าออกไปฝังวันนั้น
ครอบครัวนี้ไม่อยู่ ต่างพากันเดินทางไปต่างอำเภอ
เลยถือโอกาสนำศพย่าไปฝังเลย
คนที่คอยคัดด้านหรือท้วงติงก็ไม่อยู่ในพิธีแล้ว
ไว้กลับมาค่อยว่ากันใหม่ ว่าจะเอาอย่างไรกัน
ถ้าจะต่อเติมตกแต่งฮวงจุ๊ยหรือไปหาที่ฝังศพใหม่
เพื่อให้ถูกต้องตามหมอผีฮวงจุ๊ยทำนายไว้
ก็ให้ไปจ่ายเงินเองก็แล้วกัน
ทางพ่อแม่ของแม่บอกว่า จบกัน จบกัน แค่นี้พอแล้ว




ฮวงจุ๊ยคนจีนมักจะขุดเผื่อไว้สองหลุม
ตอนยืนหันหน้าเข้าที่ป้ายสุสานคนตาย
ป้ายจะบอกชื่อแซ่ วันชาตะ มตะ บ้านเกิดเมืองนอน
หลุมข้างขวามือจะเป็นของสามี
หลุมข้างซ้ายมือจะเป็นของภริยา

แต่ถ้าสามีมีภริยาสองคน
จะฝังศพสามีไว้ตรงกลาง
และขุดเผื่อไว้อีกสองหลุม
โดยอาจมีดินทรายกลบทิ้งไว้ก่อน
แต่ยุคใหม่ก่ออิฐถือปูนแล้ว
จะใช้แผ่นพื่นสำเร็จรูปปิดไว้ด้านบน
เวลาจะฝังศพ จะได้ไม่เสียเวลาขุด

ในกรณีที่ยังไม่มีการฝังศพภริยาอีกคนหรือสองคน
โดยจะเว้นที่ให้ภริยาหลวงฝังศพทางข้างซ้ายมือ
คนจีนบางกลุ่มถือว่า ซ้ายมือสำคัญกว่าขวามือ
ส่วนภริยาคนที่สอง จะฝังทางขวามือของสามี
บางครอบครัว  ภริยาบางคนไม่ยอมร่วมหัวจมท้ายกับฮวงจุ๊ยสามี
มักจะสั่งว่าให้ลูกหลานเอาไปฝังที่ต่างหากก็มี 
หรือฌาปนกิจไปเลย  แบบไม่อยากนับญาติด้วย

เคยเจอหลุมศพหนึ่งที่สุสานบ้านพรุ
เป็นของเพื่อนพ่อเอง 
มีการเขียนชื่อภริยาไว้ถึง 3 คน
สังเกตที่ชื่อ คนที่ตายแล้วจะลงสีเขียวที่ชื่อ
แบบไร้ชีวิตชีวา หรือศพขึ้นอืดเขียวอื๋อแล้ว
ส่วนคนที่ยังไม่ตายจะลงสีแดงที่ชื่อไว้
แบบยังมีชีวิตชีวาเลือดเนื้อยังไหลเวียน
ถ้าคนรวยหน่อยก็จะลงรักปิดทองชื่อคนตาย

แต่ไม่ทราบว่าหลุมศพของเพื่อนพ่อ
จะมีการฝังศพภริยาไว้รวมสามคนหรือไม่
เพราะติดต่อสอบถามทายาทแกไม่ได้เลย
เดาเอาว่าภริยาหลวงน่าจะตายและฝังที่เมืองจีน
ส่วนภริยาอีกสองคนน่าจะแต่งงานที่เมืองไทย
 

คนจีนในอดีตมักจะมีภริยาหลวงที่เมืองจีน
แล้วมาแต่งงานอยู่กินกับภริยาใหม่ที่เมืองไทย
ซึ่งทวดของครอบครัวนี้ก็มีภริยาคนไทย
ตัวดำปิ๊ดป่ที่แม่จำได้และเล่าให้ฟัง
ไว้จะเขียนต่อไปในเรื่องครอบครัวของพ่อ




เรื่องเซี่ย/ชง ทำเอาพี่น้องหลายครอบครัวทะเลาะกัน
แบบผีไม่เผา  เงาไม่เหยียบกันเลย
เพราะความเชื่อหมอผีฮวงจุ๊ยมากจนเกินเลย
ถึงกับมีการทุบสร้าง ทุบใหม่ ทุบเติม ฮวงจุ๊ย
ทุบกันไปทุบกันมาหลายต่อหลายครั้ง
จนหมดเงินหมดทองไปหลายบ้าน
เพราะเหลี่ยมมุมหลุมฝังศพที่สร้างไว้
ตามตำราหมอผีจะบอกว่าจะ เซี่ยครอบครัวไหน
ครอบครัวที่ไม่ถูกเซี่ยจะเจริญกว่า ร่ำรวยกว่า

พี่น้องครอบครัวไหนเชื่อก็ไปแก้ฮวงจุ๊ย
พอแก้เสร็จหมอผีอีกคนก็จะบอกว่า
ทำแบบนี้จะเซี่ย/ชงพี่น้องครอบครัวไหนอีก
ก็ต้องไปทุบไปแก้หน้าฮวงจุ๊ยอีกรอบ
ทำไปทำมาวนไปวนมากว่าจะจบ
หรือจนกว่าจะหายบ้า หายงมงาย
เพราะหมดเงินหมดทองไปมากแล้ว
เผลอ ๆ หมอผีฮวงจุ๊ยทำงานกันเป็นทีมแบบเทร็คทีม
มีทีมเปิดเกมส์  ทีมตบท้าย ทีมเปิดเกมส์ใหม่
ในการทำมาหากินในเรื่องฮวงจุ๊ย
และมีทีมงานรับเหมาก่อสร้างในฮวงจุ๊ย

ค่ารับเหมาก่อสร้างในป่าช้า
ค่าสร้างฮวงจุ๊ยก็ราคาแพงกว่าข้างนอก
พี่ชายเจอหัวหน้าคนงานเก่าของพ่อ
ตอนที่ไปฝังศพพ่อที่สุสานบ้านพรุ
แกจำพ่อและพี่ชายได้ดีเลย
แกยอมรับเองว่า  ที่นี้ราคาดีกว่าทำงานกับเถ้าแก่มาก
หินขัดในยุคนั้นที่ฮวงจุ๊ยคิดกัน ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ บาทต่อตารางเมตร
โดยอ้างความยากง่ายและความลำบากในการทำ

แต่ในเมืองคิดกันแค่ ๒๕๐ ถึง ๓๐๐ บาทต่อตารางเมตร
งานที่ฮวงจุ๊ยเสร็จเร็ว รับเงินเร็ว ไม่มีการปล่อยเครดิต
และราคารับเหมาก่อสร้าง/ตกแต่งฮวงจุ๊ย
ห้ามต่อราคาด้วย  มักจะอ้างว่าเป็นเคล็ด  คนเขาถือ
อาจจะทำให้คนต่อราคา ครอบครัวคนที่ต่อราคาอายุสั้น

เหมือนกับการซื้อดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ/ทำบุญ
หรือการหาหมอรักษาไข้หรือซื้อยาจากร้านยาในอดีต
ห้ามต่อราคา ถือว่าเป็นเคล็ด จะรักษาไม่หายถ้าต่อราคา
แบบยาดีกินแล้วหาย  ยาไม่ดีกินแล้วตาย



เรื่องฮวงจุ๊ยของพ่อก็มีหมอผีฮวงจุ๊ยมาหาที่บ้าน
โดยการนำพาของเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง
มาถึงหมอผีฮวงจุ๊ยก็บอกเลยว่า
เหลี่ยมมุมของฮวงจุ๊ยที่สร้างตรงนี้
จะเซี่ย(ชน)กับพี่ชายคนหนึ่ง
ให้ไปทำการปรับแก้ไขแล้วจะดีกับทุกคน

แม่เลยบอกเรื่องนี้กับพี่น้องทุกคนในบ้านทราบ
แม่บอกเองว่า  แม่ไม่เชื่อ
เพราะแม่เห็นตัวอย่างมาเยอะแล้ว
ตัวอย่างจากหลายบ้านทั้งที่บ้านทุ่งหาดใหญ่/บ้านเกิดที่เมืองจีน
เรื่องราวแบบนี้  ถ้าเชื่อมากก็เป็นปัญหารกอก
(ไม่สบายอกสบายใจ ขัดข้องหมองใจ)

ทำลงไปก็เงินทั้งนั้น  ไม่มีใครทำให้ฟรีหรอก
เบื้องต้นก็ต้องจ่าย  ค่าแต๊ะเอีย(เงินรางวัล) ค่าดูให้กับหมอผีฮวงจุ๊ย
รองลงมาก็ค่าแต๊ะเอียคนพาหมอผีฮวงจุ๊ยมา
แล้วก็ค่าแรงงานช่างรับเหมาก่อสร้างที่แก้ไขฮวงจุ๊ย
เผลอ ๆ มีการแก้ไขหลายต่อหลายครั้ง
เงินจมไปเปล่า ๆ  สู้เอาเงินที่จะแก้ไขฮวงจุ๊ย
เก็บเงินไว้ซื้อสวนยางพาราหรือมอบให้ลูกหลานยังจะดีกว่า

สุดท้าย เรื่องนี้จึงจบไป  แบบไม่มีใครไปยุ่งกับฮวงจุ๊ยพ่ออีก
แม้ว่าหมอผีฮวงจุ๊ยกับเพื่อนพี่ชายก็มักจะเทียวไล้เทียวขื่อ
(แวะเวียนมาหาหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้แก้ไขฮวงจุ๊ย)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่