JJNY : 6in1 สิ้นสุดคดีพานทองแท้/พท.เหน็บคนยอมตาย/ชื่นชมส.ส.รุ่นใหม่/ข้องใจต่ออายุพ.ร.ก./หนี้ครัวเรือนพุ่ง/คนจนแตะ10%

'อัยการ' ชี้ขาดไม่อุทธรณ์ สิ้นสุดคดี 'พานทองแท้'
https://voicetv.co.th/read/HDY0KSKpx
 

 
ปิดคดีทุจริตเงินปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยของ 'โอ๊ค-พานทองแท้' ลูกชายอดีตนายกฯ หลังอัยการสูงสุดไม่ยื่นอุทธรณ์
 
จากกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้มีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 6 ในคดีหมายเลขดำที่ อท.245/2561 หมายเลขเเดงที่ อท.225/2562 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่น ฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คดีร่วมกันกันฟอกเงินทุจริตเงินปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด จำนวน 10 ล้านบาท ในความความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91
 
โดยศาลพิจารณาให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 25 มิ.ย.นี้ เพื่อให้อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้องหรือไม่ ล่าสุดมีรายงานว่า อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งชี้ขาด ไม่ยื่นอุทธรณ์คดี ดังนั้นถือว่าคดีดังกล่าวสิ้นสุดลง โดยคำสั่งชี้ขาดดังกล่าวลงนามโดยรองอัยการสูงสุดคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติราชการเเทนอัยการสูงสุด
 
สำหรับคดีนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2562 ซึ่งต่อมาทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ทำความเห็นส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีศาลสูง ว่าเห็นควรไม่อุทธรณ์คดีต่อ ซึ่งอัยการสำนักงานคดีศาลสูงเห็นด้วย ตามกฎหมายจึงต้องส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
 
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองเรื่อง เพื่อเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ความเห็นของพนักงานอัยการ และคำพิพากษาของศาล ทั้งที่พิพากษายกฟ้อง และที่ทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษา ประกอบกับความเห็นของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษาแล้ว เห็นว่ายังมีประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ควรต้องนำสู่การพิจารณาของศาลสูงเพื่อวินิจฉัย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีความเห็นควรให้นำคดีขึ้นสู่ศาลสูงโดยส่งให้อัยการสูงสุดชี้ขาด เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา 
 

 
พท.เหน็บรัฐ คนยอมเลือกตาย หวังให้พ้นความเดือดร้อน
https://www.dailynews.co.th/politics/776996
 
“เพื่อไทย”เหน็บรัฐบาล คนเลือกความตายเพื่อให้พ้นเดือดร้อนเพราะหาที่พึ่งพา
 
 เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน3ฉบับ วงเงิน1.9 ล้านล้านบาทเป็นวันที่ 2 โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในการประชุม โดย น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รัฐบาลปล่อยให้มีการเยียวยาที่ผิดพลาดจนมีคนไปฆ่าตัวตายที่หน้ากระทรวงการคลัง ความผิดพลาดที่ชี้ชัดที่สุดคือ การลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกัน แต่กลับกลายเป็นเราจะเละไปด้วยกัน เพราะระบบล่มตั้งเเต่ชั่วโมงเเรกที่เปิดให้ลงทะเบียน
 
ขณะนี้หลายมิติมีปัญหา ประชาชนเเทบไม่มีเงินในมือ หนี้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงในรอบ 5 ปี การลงทุนชะงัก หลายบริษัททยอยปิดตัว ต่างชาติไม่มั่นใจย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การว่างงานสูงขึ้น 7-10 ล้านคน การส่งออกก็หัวทิ่ม แต่วันนี้รัฐบาลมาออก พ.ร.ก.กู้เงินครั้งใหญ่ที่สุด แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรในเมื่อไม่เห็นประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงิน อยากให้นายกฯ หันมาดูตัวเลขการฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจ หากปล่อยให้ดำเนินนโยบายเเย่แบบนี้ต่อไป
 
คาดว่าในอนาคตจะมีคนที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจมากกว่าการตายจากโรคโควิด-19 ซึ่งการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ความล้มเหลวของรัฐบาลอย่างรุนเเรง คนจึงตัดสินใจเลือกความตายเพื่อให้พ้นความเดือดร้อนเพราะหาที่พึ่งพาไม่ได้.
 

 
นักวิชาการโคราชชื่นชม ส.ส.รุ่นใหม่อภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้าน มีสาระ ห่วงใช้เงิน 4 แสนล. มีช่องโหว่เพียบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2206126
 
นักวิชาการโคราชชื่นชม ส.ส.รุ่นใหม่อภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้าน มีสาระ ห่วงใช้เงิน 4 แสนล้านมีช่องโหว่เพียบ หึ่งทุจริต
 
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ อดีตเลขาธิการหอการค้าภาคอีสาน ในฐานะนักวิชาการอิสระ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญ ที่รัฐสภาเกียกกาย เพื่อพิจารณาการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท ว่า
 
สำหรับ พ.ร.ก.กู้เงินนี้ ถือว่าเป็นเงินกู้ก้อนใหญ่ที่จะกลายเป็นหนี้สาธารณะของประชาชนในประเทศ ซึ่งขณะนี้หนี้สาธารณะก็ใกล้ถึงเพดานอันตรายแล้ว ดังนั้นถ้าเรากู้เงินมามาก ก็จะมีปัญหาเหมือนยุควิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ขณะที่บรรยากาศการอภิปรายครั้งนี้ ตนเห็นว่า ส.ส.ส่วนใหญ่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยมีการเตรียมการณ์นำเสนอข้อมูลที่ดีมาก มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงเป็น ส.ส.แบบเก่า อภิปรายแบบลำตัด พูดไปเรื่อยจนหมดเวลา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภายุคใหม่ ที่ ส.ส.ยุคใหม่จะต้องมีความรู้มาก รู้จริง รู้เรื่องเศรษฐกิจ รู้เรื่องสังคม และรู้เรื่องกฎหมาย ให้สมกับเป็นผู้แทนของราษฎร
 
สำหรับความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกู้ ซึ่งจะนำไปใช้ 3 แผนงานหลัก ได้แก่ 
 
1. โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท ส่วนนี้ตนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย เพราะต้องการช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหยุดโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
 
2. โครงการเพื่อช่วยเหลือเยียวยา ชดเชยให้ประชาชนเกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโรคโควิด-19 วงเงิน 555,000 ล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้ไม่มีใครพูดถึงเลย ส.ส.ก็ไม่มีใครเปิดอภิปราย เพราะส่วนใหญ่เห็นชอบด้วยที่เงินจะไปถึงมือประชาชนโดยตรง ไม่มีการรั่วไหลระหว่างทางแน่นอน แม้ประชาชนจะผิดพลาดบ้าง แต่ก็เป็นเงินเล็กน้อย สมมติว่ามีความผิดพลาดในประชาชนคนใดคนหนึ่ง ก็แค่ 15,000 บาทเท่านั้น 
 
แต่เงินก้อนที่มีการเปิดอภิปรายมากที่สุดก็คือเงินก้อนที่ 
 
3. โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ใช้จ่ายผ่านคนกลางเหมือนในอดีต ซึ่งหลายคนกลัวว่าอาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้นได้ เพราะยังไม่ทันไรก็มีข่าวลือแล้ว
 
ซึ่งประเด็นเงิน 400,000 ล้านบาทนี้ ตนก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเขาระบุว่าจะเอาไปใช้ 4 อย่าง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเอาไปทำอย่างไร คือ 
 
1.จะเอาไปยกระดับการทำมาหากินของประชาชน แต่ไม่รู้ว่าจะยกระดับอย่างไร 
 
2.จะสร้างอาชีพให้กับประชาชน เรื่องนี้ตนเห็นด้วย เพราะทุกวันนี้คนตกงานมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เมื่อเจอวิกฤตเช่นนี้ ไม่มีนักท่องเที่ยวแล้วจะทำอย่างไร 
 
3.จะนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เงินหมุนเวียน ซึ่งตนเห็นด้วย เพราะคนจนเมื่อได้เงินแล้วเขาจะไม่เก็บไว้แน่ จะต้องนำมาใช้จ่ายซื้อของกินของใช้ ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ 
 
แต่อย่างที่ 4.คือการนำไปใช้ในงานโครงสร้างพื้นฐาน เช่นงานก่อสร้างถนนหนทางแบบเดิม โดยระบุว่าเพื่อไปฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะจะมีช่องทางการรั่วไหลของเงินอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเอง ก็อภิปรายในเรื่องนี้เหมือนกัน เนื่องจากงบ 400,000 ล้านบาทนี้มีวิธีการไม่เหมือนงบปกติ 
 
เพราะใครอยากได้ให้เสนอเรื่องมาที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่สภาพัฒน์ฯ มีคนจำกัด ดังนั้นผู้ที่จะผ่านย่อมจะมีแต่เจ้าเก่าที่เป็นมืออาชีพเท่านั้น ส่วนประชาชนธรรมดาที่จะขอ จะทำเป็นอย่างไร และใช้เวลาเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้นที่จะเสนอ หลังจากนั้นสภาพัฒน์ฯ ก็จะอนุมัติเงินให้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ตนเองก็รู้สึกเป็นห่วงประชาชนทั่วไป จึงเสนอขอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมา โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยในพื้นที่, ผู้พิพากษาสมทบ และนักบัญชีที่เป็นสมาคมอยู่ตามจังหวัดต่างๆ มาเป็นคณะกรรมการร่วม เพื่อพิจารณางบประมาณที่ประชาชนทำเรื่องขอ ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ เพราะถ้ามีการตั้งราคาสูงเกินจริง รัฐบาลจะเป็นผู้เสียหาย ซึ่งเงินจำนวนนี้เราต้องใช้หนี้ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
 
ที่สำคัญตนอยากจะตั้งคำถามว่า เงินที่กู้มานี้ รัฐบาลจะใช้ไปได้อีกกี่วัน กี่เดือน เพราะเรายังไม่รู้ว่าโรคโควิด-19 มันจะอยู่อีกนานแค่ไหน เราจะต้องมี พ.ร.ก.เงินกู้อีกรอบหรือไม่ เรื่องนี้ตนยังไม่ได้ยินรัฐบาลพูดถึงเลย ดังนั้นตนคิดว่าการกู้เงินครั้งนี้เป็นภาระหนักมากของคนไทย เพราะเราจะต้องแบกรับภาระหนี้ร่วมกันไปอีกหลายปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่