พ่อแม่ชอบดูถูกความคิด จะสามารถเอาชนะและทำให้จิตใจเราสูงขึ้น อย่างไรได้บ้างคะ

เป็นลูกคนเดียวค่ะ อายุ 30 ปี จนทะเบียนกับแฟนแล้ว ปัจจุบันอยู่ต่างประเทศ มาเรียนต่อโท(จบแล้ว) 
ตอนนี้กำลังหาเงินเองเพื่อเรียนต่อ ป.เอกค่ะ (เพื่อทำตามฝันพ่อกับแม่) 
เพราะพ่อกับแม่เป็นดรค่ะสอนเกี่ยวทางด้านศึกษาศาสตร์ทั้งคู่
เขาตั้งเป้าให้เราเรียนจนจบปริญญาเอก และกลับไทยมาเป็นอาจารย์มหาลัยเหมือนที่พวกเขาเป็น

โดยพื้นฐานเราชอบค้าขาย อยากลงทุนแต่ไม่มีเงิน
พอไปปรึกษาพ่อกับแม่จะขอลงทุนเปิดร้านน้ำสมัยชานมเข้าสยามแรกๆก็โดนคัดค้าน
พอคุยอะไรไป ก็จะโดนคัดค้านอยู่เรื่อยมา...
“ใครขาย ใครดูแล เรียนก่อนไหม..” สิ่งที่เราฝันสิ่งที่คิดอยากลองทำ
มันถูกพับเก็บตลอดเวลา  เพราะพ่อกับแม่ไม่เคยได้ให้การสนับสนุนแม้แต่อย่างเดียว

เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เรียนมหาลัย ทำงานเสริมเริ่มมีเงินเก็บอยู่บ้าง
ก็เริ่มต้นนำเข้าสินค้ามาขายในไทย จนปัจจุบันยังทำอยู่..
แต่รายได้ไม่เยอะ หลักพันต่อเดือน (เรียกว่าเป็นธุรกิจเสริมมากกว่า)
พอแม่รู้ว่าทำธุรกิจนี้ แม่ชอบคอยพูด-ดันตลอด “ไอที่ลงทุนไป ขายได้ยัง? แล้วที่มีจะดองไว้ทำไม?”  
ได้รับแต่ความ-ดันมาโดยตลอด คอยถามถึงแต่เรื่องกำไร ว่าขายได้กำไรบ้างไหม?
พอเราบอกว่าได้กำไร ต่อชิ้น 10-20 บาท เขาบอกว่าน้อยไป ต้องเอาเยอะกว่านี้... 
แนะนำอย่างนู้นนี้ เขาบอกเขาเรียนมา... เขาเชอบดูพูดดูถูกความคิดเรามากเลยค่ะ 
เราจบตรีธุรกิจ ปโท ก็ธุรกิจ ในความคิดแม่ เขาคิดว่าวันๆเราไม่คิดจะทำอะไร
เพราะอยู่ต่างประเทศ บ้านแฟนค่อนข้างมีเงินและให้เงินเราตลอด 
แต่จริงๆไม่ใช่เลยเราหาของขายลงทุนเล็กน้อยๆ ตลอดเวลา 
แต่แค่ไม่เล่าให้เขาฟัง เพราะมันบั่นทอนจิตใจ

เราไม่เคยเคารพและฟังเขาในเรื่องธุรกิจที่แม่แนะนำเลยค่ะ เพราะเมื่อสองปีที่แล้ว แม่เราดูรายการทำทันที
เขาก็ตัดสินใจทำแบรนด์เครื่องสำอางค์ของตัวเอง โดยจ้างทำกับบริษัท oem ชื่อดังทำ  
ซึ่งในแต่ละล้อตที่บริษัทนี้สั่งทำ สินค้าที่สั่งทำก็เหมือนกันทุกเจ้า ต่างกันที่แบรนด์
เขาฝันต่างๆนาๆ ว่าจะให้เป็นแบรนด์ครอบครัว เขาขาดประสบการณ์การตลาด กู้เงินไปลงทุนโดยไม่ได้ศึกษาตลาดเลย
รวมถึงราคาที่ตั้งราคาเพื่อเอากำไรเกินจริง เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จก็จะทำบ้างแต่สุดท้ายแบรนด์เขาก็ไปไม่รอด
ติดหนี้เป็นแสน เราเองยังไม่เคยพูด-ดัน พูดย้อนและยุ่งเรื่องของเขาแบบที่เขาทำกับเราเลยค่ะ

เมื่อปีที่แล้ว เราตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทธุรกิจนำเข้าส่งออก อย่างจริงจัง
เพราะเริ่มมีช่องทางบ้าน ตอนมาเรียนต่างประเทศ
ตอนแรกเอาชื่อแม่มาเป็นกรรมการร่วมด้วย ยังไม่ได้ทันเริ่มธุรกิจ แต่เขาระแวงภาษีกลัวจะโดนจ่ายเยอะ
เลยต้องมาเสียเงินเพื่อถอนชื่อออกจากกรรมการ สรุปตอนนี้ในชื่อมีกรรมการแค่เรา กับ แฟนเท่านั้นค่ะ

ตอนแรกคิดว่าเขาจะไม่ยุ่ง แต่ก็ยังไม่จบ คอยพูด-ดันตลอดเวลา “ไอที่เปิดบริษัทมา.. ได้ทำอะไรบ้างยัง” 
เราเองไม่ใช่คนอยู่เฉยค่ะ และไม่ใช่ทุกเรื่อง จำเป็นต้องบอกเขา เพราะรู้ว่าที่บ้านไม่เคยเปิดรับเรื่องนี้อยู่แล้ว
คุยกับเขามันไม่ได้ช่วยเปลี่ยนความคิดให้เราทำธุรกิจที่ดีขึ้นได้เลย
สุดท้ายก็ยอมให้เขาคิดแบบนั้นไปค่ะ

ตอนนี้ธุรกิจนี้เพิ่งเริ่ม ทำรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน และพยายามจะทำให้มั่นมั่นคงมากกว่านี้
เพื่อรอจังหวะประจวบเหมาะ ที่ตั้งใจจะบอกพวกเขา เพื่อพิสูจน์ ในเรื่องที่เขาดูถูกเราตลอดมา
แต่ในใจก็กลัวนะคะ บอกไปเดียวจะมาถามกำไร ได้เท่าไหร่อีก 
แต่ในระหว่างที่รอเวลาจะบอกพวกเขา ความ-กันมันเข้ามาตลอดเลยคะ  
เราอยู่ต่างประเทศแต่ทุกวันนี้เขายุ่งเรื่องส่วนตัวเรามากจนมากเกินรับไหว

เปิดซองจดหมายที่ส่งมาที่บ้าน และเจอหนี้บัตรเครดิต ที่เอาไปหมุนเวียนในบริษัทกว่าแสนกว่า
และมาพูดบอกว่าอีกไม่กี่ปีจะเกษียรแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปใช้ ให้ ทักมาถามเราเพื่อให้เราชี้แจงรายการที่ใช้ไปทั้งหมดทั้งๆที่เอกสารที่เราส่งไปที่บ้านมันเป็นจดหมายส่วนตัว เราเพิ่งรับแม่เป็นเพื่อนใน facebook ไม่เกี่เดือนนี่เองคะ
เขาไปนั่งสืบย้อนทุกอย่าง หาว่าเราใช้เงินเกินตัว.. เราคิดว่าแบบนี้มันเกินไปนะคะ 

เคยมีครั้งนึง เขาเคยพูดบอกเราต่อหน้าแฟนว่า
“ คนอย่างเราไม่มี วันประสบความสำเร็จหรอก” ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
เรารู้สึกหน้าชาไปเลยค่ะไม่คิดว่าแม่จะดูถูกเราได้ขนาดนี้

ที่ผ่านมาเราเคยจะพูดเปิดใจ บ่อยครั้ง พูดตรงๆ
เพื่อให้พ่อแม่ยอมรับความคิดเราในทุกเรื่อง
แต่เหมือนชีวิตเราถูกตีกรอบ ให้เดินไปในทิศทางของเขา 
ในความคิดของเขา ที่เขาคิดว่าดีตลอด

ตอนนี้เครียดมากค่ะ ธุรกิจกำลังจะไปได้ดี แต่มาโดนที่บ้านทำแบบนี้
ล่าสุดเค้ามาถามถึงบริษัท เรื่องกำไร ขาดทุน เราเลยบอกแม่ไปว่าแม่ต้องดูตลาดด้วยนะ
หลังจากวันนั้นเขาบอกว่า ต่อจากนี้จะไม่ยุ่งอีกแล้ว
และเขาเก็ไม่คุยกับเราอีกเลยคะ ปกติจะคุยด้วยตลอด

ความคิดเรา รวมถึงธุรกิจตอนนี้ที่กำลังจะไปได้ดี
ควรที่จะมีคนให้กำลังใจ แต่ตอนนี้ใจเรามันแย่ไปหมด
เราไม่สามารถควบคุมความคิดได้เลย 

บางทีอยากจะปิดเครื่องและหายไปเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งอยู่ต่างประเทศในช่วงนี้มันง่ายมากๆ

เราอยากรู้ว่าควรจะจัดการความคิดอย่างไรดีคะ
เพราะสภาพแวดล้อมมันมีส่วนมากๆค่ะ
เพื่อให้สามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นจากคนในครอบครัว
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เจอแบบเดียวกันค่ะ แต่ของเราเป็นคุณพ่อ
ทุกคำที่คุณพ่อพูด เหมือนคุณแม่คุณทุกคำ เราจะปิดปากผู้มีพระคุณที่มีคำพูดทิ่มแทงแต่ประสงค์ดีแบบนี้ได้ เราก็ต้องทำให้ประสบความสำเร็จค่ะ
คำพูดที่เราคิดว่าไม่ดี มีผลต่อจิตใจในทางที่ไม่ดี ก็ฟังๆไปค่ะ แต่ไม่คิดตามและไม่ต้องเก็บมาคิด
เท่าที่อ่านๆ คือ ท่านไม่ได้อยู่ด้วยกับคุณใช่ไหมค่ะ (ถือว่าเป็นเรื่องดี) คือคุณพ่อคุณแม่เรา ท่านเห็นโลกใบเดียวกับเราก็จริง แต่อาจจะต่างมุม หรือเป็นมุมที่แคบกว่า
ควบคุมการกระทำและสิ่งที่ทำอยู่ให้ประสบความสำเร็จให้ได้นะ แล้วคุณก็จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า "พ่อแม่คะ หนูโตแล้วนะ เลิกยุ่งกับหนูสักทีเถอะ" เพราะสิ่งที่พ่อแม่บอกว่าหนูทำไม่ได้ หนูทำได้แล้วนะ  

เป็นกำลังใจให้ค่ะ เพราะผ่านจุดนี้มาแล้ว ร้องไห้มากับคำพูดของผู้มีพระคุณหลายต่อหลายรอบ แต่สิ่งที่ควรทำคือ "เราต้องทำให้ท่านภูมิใจในตัวเรา ในแบบของเรากับสิ่งที่เราสร้างเอง"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่