สวัสดีครับทุกเพื่อนๆชาวพันทิพทุกท่านครับ วันนี้จะมาพูดถึงบริษัทที่ทุกคนตั้งตารอกันหน่อยครับ จากข่าวล่าสุดในช่วงต้นเดือนเมษายน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้น IPO ต่อตลาดหลักทรัพย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรามาเตรียมตัวทำความรู้จักกับ โออาร์ อย่างใกล้ชิดก่อนดีกว่าครับ ทั้งภาพรวมธุรกิจต่างๆ ว่ามีธุรกิจอะไรในมือบ้าง อนาคตหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์โออาร์จะสร้างการเติบโตได้จากธุรกิจอะไรครับ
ภาพรวมธุรกิจ
ธุรกิจของโออาร์ตอนนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มน้ำมัน (Oil), กลุ่มค้าปลีก (Non-Oil) และ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ
1. กลุ่มธุรกิจน้ำมัน (Oil) ได้แก่
- สถานีบริการน้ำมัน PTT Station มีจำนวนทั่วประเทศกว่า 1,911 สาขา
- ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นภายใต้แบรนด์ PTT Lubricants
- ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่ลูกค้ากลุ่มอากาศยาน เรือขนส่ง และอุตสาหกรรม
- ธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ให้กับลูกค้าภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และภาคครัวเรือน ภายใต้แบรนด์ ก๊าซหุงต้ม ปตท.
2. กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil) ได้แก่
- Cafe Amazon จำนวนสาขาในประเทศกว่า 2,912 สาขา
- ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy จำนวน 150 สาขา
- ชานมไข่มุก Pearly Tea กว่า 190 สาขา
- Texas Chicken กว่า 40 สาขา
- ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto อีก 40 กว่าสาขา
- ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ 78 สาขา
- และลูกค้าบัตร PTT Blue Card กว่า 4.8 ล้านราย
3. กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ได้แก่
- PTT Station ในกัมพูชา, ลาว, เมียนมา, และ ฟิลิปปินส์ กว่า 302 แห่ง
- ร้าน Cafe Amazon ใน 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, สิงคโปร์ , มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ รวมนอกอาเซียนอย่าง จีน, ญี่ปุ่น, โอมาน และ จีน รวมกว่า 200 สาขา และมีแผนเปิดสาขาแรกใน เวียดนาม โดยการร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลเมื่อปลายปีที่แล้ว
- ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy 70 สาขา
- และยังมีศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ในต่างประเทศอีกด้วย
ปัจจุบัน
โออาร์ครองส่วนแบ่งตลาดธุรกิจน้ำมันเป็นอันดับ 1 ในประเทศมานานกว่า 26 ปี ปีล่าสุด 2562 ครองส่วนแบ่งการตลาด 36%
คาเฟ่ อเมซอนปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาด 40% ของตลาดร้านกาแฟประเทศไทย และมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 40% หรือ 4,000 สาขาทั้งในและต่างประเทศภายในปี 2565 จากการบริโภคกาแฟของคนไทยที่สูงขึ้นและการตอบรับของตลาดต่างประเทศที่ดี ปัจจุบันอเมซอนมีสาขาในต่างประเทศ 10 ประเทศ มีสาขาเยอะที่สุดในกัมพูชา 150 สาขา และลาว 51 สาขา และเพิ่งเปิดตัวสาขาแรกที่จีนไปเมื่อปลายปีที่แล้ว
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แวะไปที่ร้านคาเฟ่อเมซอน สาขาคาวาอุชิ จังหวัดฟุกุชิม่า ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 1 กรกฎาคม 2560
ภาพรวมรายได้
ปัจจุบันธุรกิจทั้งหมดของโออาร์สร้างรายได้รวมกว่า 5 แสนล้านบาท (หากเข้าตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่ม Commerce ก็จะมีรายได้เป็นอันดับ 1 หรือ 2 ของกลุ่มเลยทีเดียว) ส่วนกำไรอยู่ที่ 7,900 ล้านบาท ซึ่งเปอร์เซ็นต์กำไรไม่ได้สูงมากเนื่องจากรายได้ทั้งหมดมาจากธุรกิจค้าปลีก และส่วนใหญ่มาจากกลุ่มน้ำมันอยู่ ซึ่งธุรกิจกลุ่มน้ำมันมีอัตรากำไรที่ต่ำเพียงแค่ 4% ขณะที่กลุ่มค้าปลีกมีอัตรากำไรกว่า 30%
สัดส่วนกำไรของกลุ่มน้ำมันต่อกลุ่มค้าปลีก คือ 80 ต่อ 20
ซึ่งในอนาคตผู้บริหารได้บอกว่าจะพยายามลดสัดส่วนของธุรกิจน้ำมันตรงนี้ลง และดันกำไรกลุ่มค้าปลีกให้เติบโตขึ้นจนมีสัดส่วน 50%
การเติบโตหลังการระดมทุน IPO
จากการตั้งเป้าให้กำไรกลุ่มค้าปลีกเติบโตไปถึง 50% ทำให้การระดมทุน IPO ครั้งนี้โออาร์ต้องการเน้นเงินลงทุนไปในการขยายกลุ่มค้าปลีก Non-Oil มากขึ้น เพื่อการเพิ่มสัดส่วนกำไรที่มากขึ้น จากปัจจุบันที่เน้นกลุ่มน้ำมัน การเติบโตของโออาร์ก็จะขึ้นอยู่กับการเติบโตของแบรนด์ Cafe Amazon, Jiffy, Pearly Tea หรือ Texas เป็นหลัก และการเติบโตของตลาดในต่างประเทศเพิ่มก็จะเป็นส่วนสำคัญด้วย จากการแถลงของผู้บริหารที่จะสร้างแบรนด์โออาร์ให้เป็น “แบรนด์ระดับโลก” เพิ่มจำนวนกลุ่มลูกค้าจาก 70 ล้านคนไปสู่อาเซียน 600 ล้านคนและขยายไปยังระดับเอเชียต่อไป
บทสรุป
การเติบโตของมูลค่าและรายได้ของโออาร์ จะขึ้นอยู่กับการทำกำไรจากธุรกิจค้าปลีก หรือ Non-Oil เป็นหลัก เนื่องจากสัดส่วนกำไรที่จะเพิ่มขึ้นของโออาร์ยังต้องพึ่งพาธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน ส่วนธุรกิจน้ำมันถึงแม้การบริโภคยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุก ๆ ปี แต่มีสัดส่วนกำไรที่น้อยกว่าค้าปลีกมาก และการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเติบโตระยะยาวของโออาร์ ทำให้สามารถสร้างรายได้พร้อมขยายการลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากในประเทศเพียงทางเดียว ตามเป้าหมายของโออาร์ที่ต้องการจะเป็นอีกหนึ่ง Global Brand ของคนไทยในอนาคต
**** ขอขอบคุณภาพ และ ข้อมูล จากหลายๆแหล่งด้วยครับ
เตรียมความพร้อมกับทิศทางของ โออาร์ หลังเข้ายื่นไฟลิ่ง เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
ภาพรวมธุรกิจ
ธุรกิจของโออาร์ตอนนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มน้ำมัน (Oil), กลุ่มค้าปลีก (Non-Oil) และ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ
1. กลุ่มธุรกิจน้ำมัน (Oil) ได้แก่
- สถานีบริการน้ำมัน PTT Station มีจำนวนทั่วประเทศกว่า 1,911 สาขา
- ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นภายใต้แบรนด์ PTT Lubricants
- ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่ลูกค้ากลุ่มอากาศยาน เรือขนส่ง และอุตสาหกรรม
- ธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ให้กับลูกค้าภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และภาคครัวเรือน ภายใต้แบรนด์ ก๊าซหุงต้ม ปตท.
2. กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil) ได้แก่
- Cafe Amazon จำนวนสาขาในประเทศกว่า 2,912 สาขา
- ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy จำนวน 150 สาขา
- ชานมไข่มุก Pearly Tea กว่า 190 สาขา
- Texas Chicken กว่า 40 สาขา
- ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto อีก 40 กว่าสาขา
- ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ 78 สาขา
- และลูกค้าบัตร PTT Blue Card กว่า 4.8 ล้านราย
3. กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ได้แก่
- PTT Station ในกัมพูชา, ลาว, เมียนมา, และ ฟิลิปปินส์ กว่า 302 แห่ง
- ร้าน Cafe Amazon ใน 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, สิงคโปร์ , มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ รวมนอกอาเซียนอย่าง จีน, ญี่ปุ่น, โอมาน และ จีน รวมกว่า 200 สาขา และมีแผนเปิดสาขาแรกใน เวียดนาม โดยการร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลเมื่อปลายปีที่แล้ว
- ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy 70 สาขา
- และยังมีศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ในต่างประเทศอีกด้วย
ปัจจุบัน โออาร์ครองส่วนแบ่งตลาดธุรกิจน้ำมันเป็นอันดับ 1 ในประเทศมานานกว่า 26 ปี ปีล่าสุด 2562 ครองส่วนแบ่งการตลาด 36%
คาเฟ่ อเมซอนปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาด 40% ของตลาดร้านกาแฟประเทศไทย และมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 40% หรือ 4,000 สาขาทั้งในและต่างประเทศภายในปี 2565 จากการบริโภคกาแฟของคนไทยที่สูงขึ้นและการตอบรับของตลาดต่างประเทศที่ดี ปัจจุบันอเมซอนมีสาขาในต่างประเทศ 10 ประเทศ มีสาขาเยอะที่สุดในกัมพูชา 150 สาขา และลาว 51 สาขา และเพิ่งเปิดตัวสาขาแรกที่จีนไปเมื่อปลายปีที่แล้ว
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แวะไปที่ร้านคาเฟ่อเมซอน สาขาคาวาอุชิ จังหวัดฟุกุชิม่า ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 1 กรกฎาคม 2560
ภาพรวมรายได้
ปัจจุบันธุรกิจทั้งหมดของโออาร์สร้างรายได้รวมกว่า 5 แสนล้านบาท (หากเข้าตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่ม Commerce ก็จะมีรายได้เป็นอันดับ 1 หรือ 2 ของกลุ่มเลยทีเดียว) ส่วนกำไรอยู่ที่ 7,900 ล้านบาท ซึ่งเปอร์เซ็นต์กำไรไม่ได้สูงมากเนื่องจากรายได้ทั้งหมดมาจากธุรกิจค้าปลีก และส่วนใหญ่มาจากกลุ่มน้ำมันอยู่ ซึ่งธุรกิจกลุ่มน้ำมันมีอัตรากำไรที่ต่ำเพียงแค่ 4% ขณะที่กลุ่มค้าปลีกมีอัตรากำไรกว่า 30%
สัดส่วนกำไรของกลุ่มน้ำมันต่อกลุ่มค้าปลีก คือ 80 ต่อ 20
ซึ่งในอนาคตผู้บริหารได้บอกว่าจะพยายามลดสัดส่วนของธุรกิจน้ำมันตรงนี้ลง และดันกำไรกลุ่มค้าปลีกให้เติบโตขึ้นจนมีสัดส่วน 50%
การเติบโตหลังการระดมทุน IPO
จากการตั้งเป้าให้กำไรกลุ่มค้าปลีกเติบโตไปถึง 50% ทำให้การระดมทุน IPO ครั้งนี้โออาร์ต้องการเน้นเงินลงทุนไปในการขยายกลุ่มค้าปลีก Non-Oil มากขึ้น เพื่อการเพิ่มสัดส่วนกำไรที่มากขึ้น จากปัจจุบันที่เน้นกลุ่มน้ำมัน การเติบโตของโออาร์ก็จะขึ้นอยู่กับการเติบโตของแบรนด์ Cafe Amazon, Jiffy, Pearly Tea หรือ Texas เป็นหลัก และการเติบโตของตลาดในต่างประเทศเพิ่มก็จะเป็นส่วนสำคัญด้วย จากการแถลงของผู้บริหารที่จะสร้างแบรนด์โออาร์ให้เป็น “แบรนด์ระดับโลก” เพิ่มจำนวนกลุ่มลูกค้าจาก 70 ล้านคนไปสู่อาเซียน 600 ล้านคนและขยายไปยังระดับเอเชียต่อไป
บทสรุป
การเติบโตของมูลค่าและรายได้ของโออาร์ จะขึ้นอยู่กับการทำกำไรจากธุรกิจค้าปลีก หรือ Non-Oil เป็นหลัก เนื่องจากสัดส่วนกำไรที่จะเพิ่มขึ้นของโออาร์ยังต้องพึ่งพาธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน ส่วนธุรกิจน้ำมันถึงแม้การบริโภคยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุก ๆ ปี แต่มีสัดส่วนกำไรที่น้อยกว่าค้าปลีกมาก และการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเติบโตระยะยาวของโออาร์ ทำให้สามารถสร้างรายได้พร้อมขยายการลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากในประเทศเพียงทางเดียว ตามเป้าหมายของโออาร์ที่ต้องการจะเป็นอีกหนึ่ง Global Brand ของคนไทยในอนาคต
**** ขอขอบคุณภาพ และ ข้อมูล จากหลายๆแหล่งด้วยครับ