[ความทรงจำนำเที่ยว][Day3] ปรับชีวิตให้ช้าลง ณ เมืองเลย 4 วัน 4 คืน


ความในใจ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราทุกคนไปไหนมาไหนกันไม่ได้เลย เพราะไวรัสสุดแสบโคขวิด เอ้ย.... โคนัน เอ้ย.... โคล่อน เอ้ย.... โควิด เอ้ย..... ถูกแล้ว บังคับให้เราทุกคนอยู่แต่บ้านด้วยความหวาดผวา  เชื่อว่าทุกคนอยากออกไปเที่ยว อยากออกไปเดินห้าง อยากปีนเขา อยากนู่นอยากนี่ อยากกิจกรรม outdoor มากกว่าที่เคย... เราก็เช่นกัน ให้เราพาไปดีกว่า จะเรียกว่าพาไปก็ไม่เชิง สุดท้ายมันก็เป็นหนึ่งในการเที่ยวแบบมโนหน่อยๆ ฮ่าๆๆๆ แต่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า อยู่บ้านก็ได้เที่ยว เรารู้ว่าทุกคนอึดอัดและเครียดมาก เราเลยอยากจะแชร์สิ่งที่เรียกว่า บันทึกการเดินทางของเรา อยากให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังไปเที่ยวกับภาพที่เราเอามาเล่า กับมุมมองที่คิดว่า ถ้าได้เห็นแล้วคงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังไปเที่ยวเองอยู่ บรรยายเรื่องราวต่างๆโดยพวกเรา 2427logs เพราะเราก็เป็นหนึ่งในคนที่อึดอัดที่จะอยู่บ้านและอยากออกไปเที่ยวมากๆ เราเข้าใจเลยว่า หลายๆแพลนเที่ยวที่ถูกยกเลิกไปเพราะไวรัส มันรู้สึกเศร้าขนาดไหน บางคนแพลนจะเที่ยวมาเป็นปี กลับกลายเป็นไม่ได้ไป ทำงานมาทั้งปีก็อยากออกไปปลดปล่อย ความรู้สึกนี้ เราเข้าใจดี เราเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ เพราะงั้นมา enjoy ไปกับเรื่องราวที่เราเอามาฝากกันเนอะ  

ติดตามเราได้ตามลิงค์ข้างล่างจ้า
https://www.facebook.com/2427logs
https://www.instagram.com/2427logs/

ความเดิมตอนที่แล้ว
ในวันที่ 2 ที่เราเดินทางมาจังหวัดเลย เราเลือกที่จะขึ้นไปภูทอก แทนที่จะตักบาตรข้าวเหนียว เสร็จจากภูทอก เรากลับลงมากินข้าวเช้าที่ที่พักนอนนับดาวริมโขง เมนูข้าวต้มหมู ไข่กระทะ และขนมปังปิ้งราดแยมสตอเบอรี่สูตรเด็ด ออกเดินทางต่อไปที่แก่งคุดคู้  เดินชมวิถีชีวิตชาวประมง ออกเดินทางต่อเพราะยังอิ่มจากอาหารเช้าไปฝากท้องที่อาหารป้าวัลย์ด่านซ้าย จากด่านซ้ายเราไปเติมบุญที่พระธาตุศรีสองรักและวัดเนรมิตรวิปัสสนา อิ่มบุญเสร็จ เวลาเริ่มเย็น เราเช็คอินที่ภูเรือเรือนไม้รีสอร์ทที่มีดีมีนาคาเฟ่สุดดีงาม มีความสะพานไม้ยาวๆ พอตกเย็นเรากินข้าวเย็นฝีมือคุณป้าแสนอร่อย อิ่มเสร็จเรานั่งดูดาวบนท้องฟ้าและกลับไปนอน
ยังไม่อ่าน Day1 และ Day2 จิ้มตามลิงค์ด้านล่างเลยจ้า
[ความทรงจำนำเที่ยว][Day1] ปรับชีวิตให้ช้าลง ณ เมืองเลย 4 วัน 4 คืน
[ความทรงจำนำเที่ยว][Day2] ปรับชีวิตให้ช้าลง ณ เมืองเลย 4 วัน 4 คืน

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
ไม่ต่างจากวันก่อนๆที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 5 และร่างกายดีดตัวขึ้นมาเพราะอยากเที่ยว วันนี้ก็จะเป็นอีกวันนึงที่เราจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ครั้งนี้จะเป็นภูเรือที่เป็นเป้าหมายของเรา เหมือนเดิมๆ สเต็ปเดิมๆ ล้างหน้าแปรงฟันและขับรถไปจุดจอดรถอุทยานแห่งชาติภูเรือ

เริ่มสตาร์ทรถและขับไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านเรือนมากมายจนถึงปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูเรือ ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ด้านหน้าเลยเพราะเจ้าหน้าที่ต่างพากันไปดับไฟป่า เลยเข้ามานิดหน่อยมีที่พักอยู่ด้วยแฮะ น่าพักดีเหมือนกันนา
ขับเข้าไปยิ่งลึกยิ่งมืด ไม่มีแสงไฟข้างทางเลย มีทางที่เป็นเนินให้เหยียบคันเร่งเล็กน้อย Honda city ของเราขึ้นไปได้อย่างสบายๆ ยังคงต้องขับไปอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะมืดจริงไรจริง

มาถึงที่จอดรถ ลงมาจากรถปุ๊บ หนาวปั๊บ หนาวกว่าด้านล่างมากๆ เราเดินดุ่มๆไปสำรวจทางประมาณตี 5 ครึ่ง เพราะไม่รู้ว่าต้องเดินไปขึ้นรถทางไหน ที่ภูเรือก็เหมือนภูทอก ต้องนั่งรถของชาวบ้านขึ้นไป


เดินมาเห็นแสงไฟริบหรี่ของรถสองแถว มีคนขับรถยืนอยู่ในที่มืดๆ แอบตกใจเหมือนกันตอนที่พี่แกเดินมาทักว่าจะขึ้นภูมั้ย มองไม่ค่อยเห็นพี่แกสักเท่าไหร่
มีคนขึ้นมาภูทอกเรื่อยๆ เราขึ้นมานั่งรถสองแถวคนแรก ตั้งแต่ยังไม่มีคน รอ 5 นาทีคนเต็มรถเลยจ้าแม่ เริ่มเดินทางขึ้นไปโลด

พอถึงแล้วเราจัดแจงตั้งกล้องและรอลั่นชัตเตอร์ให้รัว และนี่คือรูปที่เราถ่ายมาตามคอนเซปที่ว่า ลั่นยันหว่าง เชิญรับชมจ้า

เลี่ยนจากรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันรึยัง ฮ่าๆๆๆ มาดูวิวทิวทัศน์รอบๆยอดภูเรือกันบ้าง มีดอกไม้สวยๆเยอะม๊ากกกกก

มองไปไกลๆจะเห็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปนาวาบรรพต เดินขึ้นไปตามทางเดินไปสักการะท่านได้ สองข้างทางประดับด้วยดอกไม้ สวยงามตามเนื้อผ้า



เราไม่รู้เลยว่าป้ายภูเรือจะอยู่ตรงนี้ ตอนขึ้นมาทุกอย่างมืดจริงๆ ความรู้สึกเราประทับใจภูเรือมากกว่าภูทอกซะอีกแฮะ ถึงแม้ควันจากไฟป่าจะบดบังความสวยงามไปบ้าง แต่ความสวยงามของภูเรือก็ยังคงอยู่ให้เราเห็นอยู่ดี ทางเดินบนภูเรือมันเป็นเนินๆหน่อย เราเดินไปเดินมา ออห่อออออออ รองเท้าขาดจ้าแม่ เดินกระเผกไปเส้ะ

ต้นไม้นี่คือต้นอะไรนะ ต้นสนหรืออย่างไร ทำให้ได้ฟิลเหมือนอยู่ยุโรปเหมือนกันแฮะ (งานมโนก็มา ฮ่าๆ)

ผู้คนกำลังลงมาจากภูเรื่อยๆหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า

ก่อนเราขับรถกลับที่พัก เราแวะซื้อสตอเบอรี่จากร้านข้างทาง ซึ่งเป็นร้านที่ดูคนเยอะแยะเพราะทัวร์มาลง ทุกคนเข้าไปในสวนสตอเบอรี่ ชิมสตอเบอรี่สดๆจากสวน รสชาติหวานกว่าที่ซื้อในกรุงเทพฯนะ ทั้งๆที่รองเท้าเป็นแบบนี้ เราก็ยังซ่าเดินไปเลือกสตอเบอรี่ ซื้อเสร็จ ขับไปสักพักเจอตลาด ซื้อรองเท้าแล้วค่อยกลับไปกินข้าวที่ที่พักตามสเต็ปเดิมเหมือนเมื่อวาน

เมื่อวานยังไม่ได้มีเวลาเดินดูด้านหน้าที่พักสักเท่าไหร่ มาเดินดูวันนี้แทน สไตล์ที่พักก็ตามชื่อเลย ภูเรือเรือนไม้ก็ต้องตกแต่งด้วยไม้สินะ

ที่จอดรถกว้างใหญ่ไพศาล ข้างเรือนไม้บางหลังสามารถขับรถเข้าไปจอดได้เลย

ตรงนี้ทางเข้าไปที่เวิร์คช็อปและดีมีนาคาเฟ่


กลับมาดูมุมนี้ในภูเรือเรือนไม้รีสอร์ท มุมนี้เป็นมุมที่โดดเด่นจริงๆ

แอบเห็นบางคนที่มาทำเวิร์คช็อปและพักที่นี่ ที่พักก็มีจัดอาหารให้ด้วย

เดี๋ยวเรากินข้าวกันตรงนี้ มีอาหารตามสั่งฟรีเป็นอาหารเช้า เลือกได้คนละเมนู เรามี 4 คน ได้ 4 เมนู และเครื่องดื่มยามเช้าอีก 4 เมนู เป็นจำพวกกาแฟและโอวัลติน

นอนสบายเลยนะเจ้าตูบ น้องไม่กัดเลย น้องใจดี เราคุยกันตั้งแต่เมื่อวานแล้วเนาะ เราเป็นเพื่อนกัน

ที่กินข้าวที่นี่วิวเริ่ดๆมากจ้าแม่ ถึงแม้ที่พักจะอยู่ในซอยค่อนข้างลึกลับซักนิด แต่ที่นี่คือดีงามมากๆ

หน้าตาเครื่องดื่มดูดีงามมากๆ มาจากดีมีนาคาเฟ่นี่แหละ ฝั่งซ้ายเป็นกาแฟสด ขวาเป็นโอวัลติน



เมนูสุดเบสิคอย่างข้าวกระเพราหมูสับไข่ดาว เป็นอาหารมื้อเช้าของเรา และข้าวราดแกงเขียวหวาน ติดใจตั้งแต่เมื่อคืน อร่อยทั้งสองอย่างเลย ติดใจฝีมือคุณป้า

ลืมบอกว่าแต่ละเมนูเพิ่มไข่ดาวได้ด้วยจ้า

ถ้าจำไม่ผิดอันนี้จะเป็นข้าวผัดห่อไข่ รสชาติโอเค ไข่สองฟองจุกๆกันไปข้าง

อิ่มท้องพร้อมเช็คเอาท์ เก็บข้าวเก็บของให้ว่อง ขนขึ้นรถเรียบร้อย คนขับพร้อม คนนั่งพร้อม เราไปกันต่อ ขับกันไปอีกครึ่ง ชม เราจะตรงไปที่เกษตรที่สูงภูเรือ ไปชมดอกไม้ที่สูงๆ รอบๆเป็นวิวภูเขา คือสวยม๊ากกกก และมีที่พักด้วยนะ ขับตรงไปยาวๆ อีกครึ่ง ชม เจอกันงับ

ครึ่ง ชม ผ่านไป ไวเหมือนโกแปด ถนนที่เข้ามาจะเป็นเนินขึ้นๆลงๆแต่ขับไม่ยาก จริงๆแล้วที่นี่เป็นศูนย์วิจัยพืชและดอกไม้ ใช่แล้ว เราจะมาชมดอกไม้กัน


สวยๆท้างน้าน

มุมนี้เราค่อนข้างชอบมากๆ เรารู้สึกเหมือนมันเป็นทางเข้าปราสาทที่ยิ่งใหญ่อะไรทำนองนั้น เราอาจจะมีจินตนาการสูงไป อย่าใส่ใจ ฮ่าๆๆๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่