เลิกยุทธศาสตร์ได้แล้วครับ! โดย สุรชาติ บำรุงสุข
https://www.matichon.co.th/columnists/news_2143222
ผู้เขียน สุรชาติ บำรุงสุข
หากการระบาดของเชื้อไวรัส-19 เบาบางลงแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าคือ การฟื้นฟูชีวิตทั้งในระดับของประชาชนและระดับของประเทศ แต่ในอีกมุม หนึ่งในสิ่งแรกที่ควรจะต้องทำในทางการเมืองก็คือ การ “
ยกเลิกยุทธศาสตร์ 20 ปี” ที่รัฐทหาร คสช. ได้ทิ้งเป็นมรดกใหญ่ค้างไว้กับระบอบการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 2562 เพราะเมื่อต้องตั้งหลักประเทศแล้ว คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ ยุทธศาสตร์ที่ถูกรัฐบาลทหารร่างขึ้นเพื่อกำกับทิศทางอนาคตให้เดินตามที่ผู้นำทหารต้องการนั้น จะยังคงใช้ได้จริงเพียงใด
ดังนั้นบทความนี้ จะทดลองนำเสนอในเชิงข้อเรียกร้องว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลทหารนั้น หมดสภาพไปกับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ และกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการนำพาประเทศไปสู่อนาคต จึงไม่มีความจำเป็นต้องคงไว้อีกต่อไป
คำถามทางยุทธศาสตร์?
ถ้าถามว่าประเทศควรกำหนดทิศทางในระดับมหภาค เพื่อทำให้ประเทศเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการหรือไม่ … คำตอบที่ชัดเจนคือ ทุกประเทศจำเป็นต้องกำหนดทิศทางในลักษณะเช่นนี้
การกำหนดนี้อาจปรากฎในรูปของ “
นโยบายแห่งชาติ” ที่ผู้นำทางการเมืองได้กำหนดขึ้นในแผนพัฒนาประเทศ เช่น การนำเสนอในช่วงของการหาเสียงทางการเมือง หรือนำเสนอเป็นแนวทางเมื่อได้รับเลือกเป็นรัฐบาลแล้ว การกำหนดในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกกระทำกัน
แม้ว่าอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ เนื่องจากเงื่อนไขและปัจจัยทางการเมือง ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม อันส่งผลให้สิ่งที่เรียกว่า “
กระบวนการทางยุทธศาสตร์” (strategic process) ถูกดำเนินการในลักษณะที่ต่างกันไปบ้าง แต่กระบวนนี้มีความคล้ายคลึงกันที่จะต้องคำถามหลักสามประการให้ได้ คือ อะไรคือจุดหมายปลายทางที่รัฐบาลต้องการจะพาประเทศไป และในการเดินทางเช่นนี้รัฐบาลมีทรัพยากรอะไร และรัฐบาลหนทางปฎิบัติอย่างไรที่จะพาประเทศไปสู่จุดหมายที่ต้องการนั้น
หากกล่าวในแบบที่ผู้นำรัฐไทย ทั้งทหารและพลเรือนต้องเรียนในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ก็คือปัญหา “
คำถามหลักสามประการ” ในเรื่องของ
1) จุดหมายปลายทาง (ends)
2) หนทางปฎิบัติที่ไปสู่จุดหมาย (ways)
และ 3) เครื่องมือและ/หรือทรัพยากรที่จะทำให้หนทางการปฎิบัติบรรลุผลได้จริง (means)
คำถามสามประการนี้เป็นสิ่งที่จะต้องตอบให้ได้ชัดเจนในกระบวนการทางยุทธศาสตร์ และที่สำคัญจะต้องคิดตอบคำถามทั้งสามประการนี้ด้วยสภาวะแวดล้อมที่เป็นจริง เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้นักยุทธศาสตร์จะต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม ทั้งภายนอกและภายใน เพื่อพิจารณาว่า อะไรคือปัจจัยที่มีสถานะเป็น “
สภาวะแวดล้อมทางยุทธศาสตร์” (strategic environment) ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมีนัยสำคัญต่อจุดหมายปลายทางที่รัฐตั้งเป้าหมายไว้ หรือกระทบต่อทรัพยากรที่รัฐมีอยู่
ยุทธศาสตร์ที่ถูกกำหนดขึ้นโดยละเลยหลักการพื้นฐานสองส่วนคือ ปัญหาหลักสามประการ และปัญหาสภาวะแวดล้อมสองประการ จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์ได้เลย และอาจจะเป็นเพียงเรื่องของการสร้าง “
ความฝัน” มากกว่าจะเป็นเรื่องของกระบวนการทางยุทธศาสตร์ที่แท้จริง
ยุทธศาสตร์ 20 ปีเพื่อใคร ?
หากพิจารณาจากบริบทของไทย ยุทธศาสตร์ที่ถูกกำหนดขึ้นก่อนที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2562 นั้น ดูจะไม่ได้เป็นยุทธศาสตร์อย่างที่เป็นความหวังทางทฤษฎี เพราะกระบวนการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลทหาร ทำให้ยุทธศาสตร์ชุดนี้กลายเป็นความต้องการทางการเมืองที่จะใช้ในการควบคุมผู้ที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลในอนาคต (หากรัฐบาลในอนาคตไม่ใช่กลุ่ม คสช. เดิม)
นอกจากนี้เห็นได้ชัดว่า ยุทธศาสตร์นี้มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่กำกับว่า หากรัฐบาล (หลังเลือกตั้ง 2562) ไม่ดำเนินการในกรอบของยุทธศาสตร์ชุดนี้แล้ว รัฐบาลดังกล่าวจะผิดกฎหมาย ซึ่งเท่ากับว่า ยุทธศาสตร์เป็นกฎหมาย และมีนัยว่ายุทธศาสตร์นี้จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ เพราะเท่ากับจะเป็นการละเมิดกฎหมายโดยตรง และถ้ายุทธศาสตร์แก้ไขไม่ได้แล้ว การปรับตัวทางยุทธศาสตร์จะกระทำไม่ได้เลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะปรับประเทศให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้อธิบายได้ด้วยเหผลประการเดียวว่า ยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลทหารไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นยุทธศาสตร์ที่รองรับการกำหนดทิศทางของประเทศในอนาคต แต่ยุทธศาสตร์นี้ถูกออกแบบให้เป็น “
มาตรการบังคับ” ทางการเมือง ที่รัฐบาลทหารจะใช้ในการควบคุมการเมืองหลังการเลือกตั้ง และขณะเดียวกันก็ใช้ในการควบคุมรัฐบาลในอนาคต (ดังที่กล่าวมาแล้วว่า หากหลังเลือกตั้งได้กลุ่มการเมืองอื่นเป็นรัฐบาล ยุทธศาสตร์นี้จะกลายข้อบังคับทางกฎหมายทันที)
สภาวะแวดล้อมของไทยเปลี่ยนหมดแล้ว !
สิ่งที่ทำให้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทหารหมดสภาพลงในความเป็นจริงคือ ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางยุทธศาสตร์ทั้งในระดับประเทศ และในระดับโลก ถ้าเรายอมรับว่าเส้นแบ่งเวลาสำคัญในการกำหนดอนาคตของประเทศในปัจจุบัน คือ โลกยุคก่อนโควิด (Pre-COVID World) และโลกยุคหลังโควิด (Post-COVID World) การแบ่งยุคเช่นนี้ตอบแก่เราว่า โลกยุคหลังโควิดเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว และจะแตกต่างอย่างมากจากยุคก่อนโควิด
ในกรณีของไทยเองก็เป็นไปในทิศทางดังกล่าว รัฐและสังคมกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนสิ่งที่รัฐบาลทหารกำหนดขึ้นมาเป็นยุทธศาสตร์ 20 ปี นั้น กลายเป็นของ “
ตกยุค” ไปทันที และไม่รองรับต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่รัฐและสังคมไทยกำลังเผชิญในภาวะปัจจุบันทั้งสิ้น
ถ้าเปรียบเทียบในทางเศรษฐกิจว่า ”
สินค้าตกยุค” ขายในตลาดการค้าไม่ได้ฉันใด … ในทางการเมือง “
ยุทธศาสตร์ตกยุค” ก็ขายไม่ออกในสังคมฉันนั้น แต่สำคัญกว่านั้นก็คือ ยุทธศาสตร์ที่ไม่รองรับต่อความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยจะไม่สามารถรองรับต่อการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตได้เลย เว้นแต่จะคงยุทธศาสตร์นี้ไว้ต่อไป ด้วยเหตุผลว่า หากรัฐบาลปัจจุบันที่สืบทอดอำนาจมาจากรัฐบาลทหารเดิมเกิดความเพลี่ยงพล้ำในทางการเมือง และฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้ว ยุทธศาสตร์นี้จะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการควบคุมฝ่ายตรงข้าม
แต่ถ้าต้องการคงไว้ด้วยคำอธิบายเช่นนั้นแล้ว ยุทธศาสตร์นี้จะไม่ตอบสนองต่อความต้องการทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเลย ซึ่งก็คือ ยุทธศาสตร์ 20 ปี กลายเป็นความไร้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ในตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อเรียกร้องประการเดียวในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่ของสังคมไทยในยุคหลังโควิดก็คือ ถึงเวลาแล้วที่จะต้อง “
ยกเลิก” ยุทธศาสตร์ฉบับนี้ … ไม่มีความจำเป็น และไม่มีเหตุผลใดที่จะคง “
ยุทธศาสตร์ฉบับตกยุค” เอาไว้อีกต่อไป!
เจ๊หน่อย จี้ รัฐผ่อนคลาย ให้ศก.เดินต่อได้ ปชช.กลัวอดตายมากกว่าโควิด
https://www.thairath.co.th/news/politic/1822531
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุ รัฐต้องเริ่มปฏิบัติการ reopening ภายใต้ข้อบังคับด้านสาธารณสุข เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินได้ ขณะปชช.ต่างจังหวัด ระบุ กลัวอดตายมากกว่ากลัวโควิด-19 ระบาด
วันที่ 16 เม.ย.คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ติดตามการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผ่านการรายงานทาง Video Conference โดยวันนี้เป็นการสอบถามความคืบหน้าการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากจังหวัดขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร เช่น ในเขตของนายบัลลังก์ อรรณนพพร ลงพื้นที่ให้กำลังใจ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. และลงพื้นที่เยี่ยมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล รพ.สต. ซึ่งยังคงทำงานอย่างเข้มแข็ง แม้ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุข จะออกคำสั่งปิดโรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เพราะบุคลากรทางแพทย์ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ ที่ยังคงเดินหน้าทำงานต่อสู้กับไวรัสอย่างเข้มแข็ง
เช่นเดียวกับในเขต ของนางสาว
สรัสนันท์ อรรณนพพร ได้เปิดจุดบริการอาหารและน้ำดื่ม เพื่อบรรเทาความทุกข์ ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งในเวลานี้สะท้อนตรงกันว่า "
กลัวความอดยากมากกว่ากลัวโรคระบาด" พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหาและออกมาตรการให้มีความชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่เพราะในพื้นที่ต่างจังหวัด ต้นทุนการดูแลตัวเอง ในช่วงเกิดโรคระบาด มีน้อยกว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
ขณะที่อีกหลายๆ เขต เช่น ในพื้นที่ ลาดกระบัง นางสาว
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ พื้นที่บางขุนเทียน นาย
พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ ก็ยังมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาด รวมถึงการไม่ได้รับเงินเยียวยา ทั้งที่เป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน จากมาตรการของรัฐ และสถานการณ์การระบาดของโรค ส.ส. ในพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยจึงทำได้เพียง การหาอุปกรณ์ป้องกันบางส่วน รวมถึงการบริการอาหารน้ำดื่มให้กับคนยากไร้ และคนจนที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่คุณหญิง
สุดารัตน์ย้ำว่า เวลานี้รัฐบาล จะต้องกำหนดมาตรการ และเงื่อนไขการกลับมาเปิดกิจการ ให้ประชาชนผู้ประกอบการ สามารถประกอบอาชีพและดูแลตนเอง หรือ reopening ภายใต้ข้อบังคับทางด้านสาธารณสุข เป็นกรอบกำกับควบคุม ซึ่งในเรื่องดังกล่าวพรรคเพื่อไทย จะมีข้อเสนอที่ชัดเจน ออกมาภายใน 1-2 วันนี้ และหากรัฐบาลไม่รู้ว่าจะมีแผนหรือรูปแบบที่จะดำเนินการอย่างไร สามารถนำแนวคิดของพรรคเพื่อไทยไปปฏิบัติได้
JJNY : 4in1 เลิกยุทธศาสตร์ได้แล้วครับ/เจ๊หน่อยจี้รัฐผ่อนคลาย ให้ศก.เดินต่อ/ก้าวไกลชี้ปชช.อาจตายเพราะศก./ไข่ไก่ล้นตลาด
https://www.matichon.co.th/columnists/news_2143222
หากการระบาดของเชื้อไวรัส-19 เบาบางลงแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าคือ การฟื้นฟูชีวิตทั้งในระดับของประชาชนและระดับของประเทศ แต่ในอีกมุม หนึ่งในสิ่งแรกที่ควรจะต้องทำในทางการเมืองก็คือ การ “ยกเลิกยุทธศาสตร์ 20 ปี” ที่รัฐทหาร คสช. ได้ทิ้งเป็นมรดกใหญ่ค้างไว้กับระบอบการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 2562 เพราะเมื่อต้องตั้งหลักประเทศแล้ว คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ ยุทธศาสตร์ที่ถูกรัฐบาลทหารร่างขึ้นเพื่อกำกับทิศทางอนาคตให้เดินตามที่ผู้นำทหารต้องการนั้น จะยังคงใช้ได้จริงเพียงใด
ดังนั้นบทความนี้ จะทดลองนำเสนอในเชิงข้อเรียกร้องว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลทหารนั้น หมดสภาพไปกับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ และกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการนำพาประเทศไปสู่อนาคต จึงไม่มีความจำเป็นต้องคงไว้อีกต่อไป
คำถามทางยุทธศาสตร์?
ถ้าถามว่าประเทศควรกำหนดทิศทางในระดับมหภาค เพื่อทำให้ประเทศเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการหรือไม่ … คำตอบที่ชัดเจนคือ ทุกประเทศจำเป็นต้องกำหนดทิศทางในลักษณะเช่นนี้
การกำหนดนี้อาจปรากฎในรูปของ “นโยบายแห่งชาติ” ที่ผู้นำทางการเมืองได้กำหนดขึ้นในแผนพัฒนาประเทศ เช่น การนำเสนอในช่วงของการหาเสียงทางการเมือง หรือนำเสนอเป็นแนวทางเมื่อได้รับเลือกเป็นรัฐบาลแล้ว การกำหนดในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกกระทำกัน
แม้ว่าอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ เนื่องจากเงื่อนไขและปัจจัยทางการเมือง ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม อันส่งผลให้สิ่งที่เรียกว่า “กระบวนการทางยุทธศาสตร์” (strategic process) ถูกดำเนินการในลักษณะที่ต่างกันไปบ้าง แต่กระบวนนี้มีความคล้ายคลึงกันที่จะต้องคำถามหลักสามประการให้ได้ คือ อะไรคือจุดหมายปลายทางที่รัฐบาลต้องการจะพาประเทศไป และในการเดินทางเช่นนี้รัฐบาลมีทรัพยากรอะไร และรัฐบาลหนทางปฎิบัติอย่างไรที่จะพาประเทศไปสู่จุดหมายที่ต้องการนั้น
หากกล่าวในแบบที่ผู้นำรัฐไทย ทั้งทหารและพลเรือนต้องเรียนในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ก็คือปัญหา “คำถามหลักสามประการ” ในเรื่องของ
1) จุดหมายปลายทาง (ends)
2) หนทางปฎิบัติที่ไปสู่จุดหมาย (ways)
และ 3) เครื่องมือและ/หรือทรัพยากรที่จะทำให้หนทางการปฎิบัติบรรลุผลได้จริง (means)
คำถามสามประการนี้เป็นสิ่งที่จะต้องตอบให้ได้ชัดเจนในกระบวนการทางยุทธศาสตร์ และที่สำคัญจะต้องคิดตอบคำถามทั้งสามประการนี้ด้วยสภาวะแวดล้อมที่เป็นจริง เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้นักยุทธศาสตร์จะต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม ทั้งภายนอกและภายใน เพื่อพิจารณาว่า อะไรคือปัจจัยที่มีสถานะเป็น “สภาวะแวดล้อมทางยุทธศาสตร์” (strategic environment) ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมีนัยสำคัญต่อจุดหมายปลายทางที่รัฐตั้งเป้าหมายไว้ หรือกระทบต่อทรัพยากรที่รัฐมีอยู่
ยุทธศาสตร์ที่ถูกกำหนดขึ้นโดยละเลยหลักการพื้นฐานสองส่วนคือ ปัญหาหลักสามประการ และปัญหาสภาวะแวดล้อมสองประการ จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์ได้เลย และอาจจะเป็นเพียงเรื่องของการสร้าง “ความฝัน” มากกว่าจะเป็นเรื่องของกระบวนการทางยุทธศาสตร์ที่แท้จริง
ยุทธศาสตร์ 20 ปีเพื่อใคร ?
หากพิจารณาจากบริบทของไทย ยุทธศาสตร์ที่ถูกกำหนดขึ้นก่อนที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2562 นั้น ดูจะไม่ได้เป็นยุทธศาสตร์อย่างที่เป็นความหวังทางทฤษฎี เพราะกระบวนการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลทหาร ทำให้ยุทธศาสตร์ชุดนี้กลายเป็นความต้องการทางการเมืองที่จะใช้ในการควบคุมผู้ที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลในอนาคต (หากรัฐบาลในอนาคตไม่ใช่กลุ่ม คสช. เดิม)
นอกจากนี้เห็นได้ชัดว่า ยุทธศาสตร์นี้มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่กำกับว่า หากรัฐบาล (หลังเลือกตั้ง 2562) ไม่ดำเนินการในกรอบของยุทธศาสตร์ชุดนี้แล้ว รัฐบาลดังกล่าวจะผิดกฎหมาย ซึ่งเท่ากับว่า ยุทธศาสตร์เป็นกฎหมาย และมีนัยว่ายุทธศาสตร์นี้จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ เพราะเท่ากับจะเป็นการละเมิดกฎหมายโดยตรง และถ้ายุทธศาสตร์แก้ไขไม่ได้แล้ว การปรับตัวทางยุทธศาสตร์จะกระทำไม่ได้เลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะปรับประเทศให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้อธิบายได้ด้วยเหผลประการเดียวว่า ยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลทหารไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นยุทธศาสตร์ที่รองรับการกำหนดทิศทางของประเทศในอนาคต แต่ยุทธศาสตร์นี้ถูกออกแบบให้เป็น “มาตรการบังคับ” ทางการเมือง ที่รัฐบาลทหารจะใช้ในการควบคุมการเมืองหลังการเลือกตั้ง และขณะเดียวกันก็ใช้ในการควบคุมรัฐบาลในอนาคต (ดังที่กล่าวมาแล้วว่า หากหลังเลือกตั้งได้กลุ่มการเมืองอื่นเป็นรัฐบาล ยุทธศาสตร์นี้จะกลายข้อบังคับทางกฎหมายทันที)
สภาวะแวดล้อมของไทยเปลี่ยนหมดแล้ว !
สิ่งที่ทำให้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทหารหมดสภาพลงในความเป็นจริงคือ ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางยุทธศาสตร์ทั้งในระดับประเทศ และในระดับโลก ถ้าเรายอมรับว่าเส้นแบ่งเวลาสำคัญในการกำหนดอนาคตของประเทศในปัจจุบัน คือ โลกยุคก่อนโควิด (Pre-COVID World) และโลกยุคหลังโควิด (Post-COVID World) การแบ่งยุคเช่นนี้ตอบแก่เราว่า โลกยุคหลังโควิดเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว และจะแตกต่างอย่างมากจากยุคก่อนโควิด
ในกรณีของไทยเองก็เป็นไปในทิศทางดังกล่าว รัฐและสังคมกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนสิ่งที่รัฐบาลทหารกำหนดขึ้นมาเป็นยุทธศาสตร์ 20 ปี นั้น กลายเป็นของ “ตกยุค” ไปทันที และไม่รองรับต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่รัฐและสังคมไทยกำลังเผชิญในภาวะปัจจุบันทั้งสิ้น
ถ้าเปรียบเทียบในทางเศรษฐกิจว่า ”สินค้าตกยุค” ขายในตลาดการค้าไม่ได้ฉันใด … ในทางการเมือง “ยุทธศาสตร์ตกยุค” ก็ขายไม่ออกในสังคมฉันนั้น แต่สำคัญกว่านั้นก็คือ ยุทธศาสตร์ที่ไม่รองรับต่อความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยจะไม่สามารถรองรับต่อการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตได้เลย เว้นแต่จะคงยุทธศาสตร์นี้ไว้ต่อไป ด้วยเหตุผลว่า หากรัฐบาลปัจจุบันที่สืบทอดอำนาจมาจากรัฐบาลทหารเดิมเกิดความเพลี่ยงพล้ำในทางการเมือง และฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้ว ยุทธศาสตร์นี้จะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการควบคุมฝ่ายตรงข้าม
แต่ถ้าต้องการคงไว้ด้วยคำอธิบายเช่นนั้นแล้ว ยุทธศาสตร์นี้จะไม่ตอบสนองต่อความต้องการทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเลย ซึ่งก็คือ ยุทธศาสตร์ 20 ปี กลายเป็นความไร้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ในตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อเรียกร้องประการเดียวในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่ของสังคมไทยในยุคหลังโควิดก็คือ ถึงเวลาแล้วที่จะต้อง “ยกเลิก” ยุทธศาสตร์ฉบับนี้ … ไม่มีความจำเป็น และไม่มีเหตุผลใดที่จะคง “ยุทธศาสตร์ฉบับตกยุค” เอาไว้อีกต่อไป!
เจ๊หน่อย จี้ รัฐผ่อนคลาย ให้ศก.เดินต่อได้ ปชช.กลัวอดตายมากกว่าโควิด
https://www.thairath.co.th/news/politic/1822531
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุ รัฐต้องเริ่มปฏิบัติการ reopening ภายใต้ข้อบังคับด้านสาธารณสุข เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินได้ ขณะปชช.ต่างจังหวัด ระบุ กลัวอดตายมากกว่ากลัวโควิด-19 ระบาด
วันที่ 16 เม.ย.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ติดตามการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผ่านการรายงานทาง Video Conference โดยวันนี้เป็นการสอบถามความคืบหน้าการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากจังหวัดขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร เช่น ในเขตของนายบัลลังก์ อรรณนพพร ลงพื้นที่ให้กำลังใจ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. และลงพื้นที่เยี่ยมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล รพ.สต. ซึ่งยังคงทำงานอย่างเข้มแข็ง แม้ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุข จะออกคำสั่งปิดโรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เพราะบุคลากรทางแพทย์ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ ที่ยังคงเดินหน้าทำงานต่อสู้กับไวรัสอย่างเข้มแข็ง
เช่นเดียวกับในเขต ของนางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร ได้เปิดจุดบริการอาหารและน้ำดื่ม เพื่อบรรเทาความทุกข์ ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งในเวลานี้สะท้อนตรงกันว่า "กลัวความอดยากมากกว่ากลัวโรคระบาด" พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหาและออกมาตรการให้มีความชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่เพราะในพื้นที่ต่างจังหวัด ต้นทุนการดูแลตัวเอง ในช่วงเกิดโรคระบาด มีน้อยกว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
ขณะที่อีกหลายๆ เขต เช่น ในพื้นที่ ลาดกระบัง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ พื้นที่บางขุนเทียน นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ ก็ยังมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาด รวมถึงการไม่ได้รับเงินเยียวยา ทั้งที่เป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน จากมาตรการของรัฐ และสถานการณ์การระบาดของโรค ส.ส. ในพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยจึงทำได้เพียง การหาอุปกรณ์ป้องกันบางส่วน รวมถึงการบริการอาหารน้ำดื่มให้กับคนยากไร้ และคนจนที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำว่า เวลานี้รัฐบาล จะต้องกำหนดมาตรการ และเงื่อนไขการกลับมาเปิดกิจการ ให้ประชาชนผู้ประกอบการ สามารถประกอบอาชีพและดูแลตนเอง หรือ reopening ภายใต้ข้อบังคับทางด้านสาธารณสุข เป็นกรอบกำกับควบคุม ซึ่งในเรื่องดังกล่าวพรรคเพื่อไทย จะมีข้อเสนอที่ชัดเจน ออกมาภายใน 1-2 วันนี้ และหากรัฐบาลไม่รู้ว่าจะมีแผนหรือรูปแบบที่จะดำเนินการอย่างไร สามารถนำแนวคิดของพรรคเพื่อไทยไปปฏิบัติได้