[CR] บันทึกความทรงจำ, มุลาอิ.

การเดินทางครั้งนี้, เกิดจากการอยากลองรองเท้าคู่ใหม่ (ปกติสตั๊ดดอยคือสหายคู่ใจลุยไหนลุยกันกับเราตลอด)
เพราะเรามีแพลนจะไป Trekking ที่เนปาล 27 วัน 
.
เรื่องราวเริ่มจาก...
‘พี่เต้’ สหายเดินป่าเอ่ยถึงสถานที่หนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าเดินสบาย 
และบอกกับเราว่านั่งรถไปจุดเดินนี่แหละโหดสุดแล้วน้องสา...ไปกัน,
 
“มุลาอิ” ผ่านสายตาและมุมมอง ภูเขาทุ่งหญ้าสีทองขนาดลดหลั่นไปมา 
คล้ายการผสมผสาน Landscape ระหว่างม่อนจอง ที่ จ.เชียงใหม่ 
และ เขาช้างเผือก จ.กาญจนบุรี แตกต่างตรง “ที่นี่” นอนบนทุ่งหญ้าเปิดโล่งเลยแหละ 
ถ้าอะไรเป็นใจ, อาจได้หินก้อนใหญ่ช่วยบังลมหรือพื้นที่เรียบนอนสบาย แต่ถ้าพลาดไป, ขอให้ทุกคนปักสมอให้แน่น 
เตรียมถุงนอนและเสื้อหนาวให้พร้อม ลองจินตนาการตอนที่เต้นท์โดนลมตีใส่อย่างแรงและต้องนอนหนาวอย่างทรมาน 
อาจกลายเป็นเรื่องเล่าชวนตลกที่ในเวลานั้นคงไม่น่าหัวเราะเอาเสียเลย 
.
เริ่มต้นการเดินทาง...
จากด่านบ้านลุงจ่า,  ผ่านไร่ข้าวโพดสลับบ้านเรือนริมทาง, หญิงวัยสาวอุ้มลูกตัวจิ๋ว, เด็กชายแบก’หลัว’ อยู่ริมถนน, 
หมูป่าที่ชาวบ้านละแวกนั้นเลี้ยงไว้เป็นอาหาร หมารูปร่างผอมกระหร่อง ถนนลูกรัง ขรุขระและฝุ่นคลุ้งตลอดทั้งทาง 
สะท้อนการเข้าถึงทรัพยากรอย่างจำกัด หรือคนเหล่านี้อาจมีความสุขกว่าที่เราคิด หรืออาจจะทุกข์กว่าเราเป็นไหนๆ 
แม้แต่เราเองยังตอบไม่ได้เลยว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริงของเรา  
.
ที่นี่, หมู่บ้านนอจะทะ
ขับผ่านธารน้ำตกอีกสายที่ไม่ลึกเท่าไหร่นัก เด็กตัวน้อยเล่นน้ำส่งเสียงผ่านเข้ามาในรถ 
จุดสังเกตแรกที่เหล่านักเดินทางได้แวะยืดเส้นยืดสาย หลังการนั่งรถกระบะร่วมครึ่งทาง 
จากหมู่บ้านที่ดูเงียบเชียบ ปรากฏเป็นสีสันและเสียงดังขึ้นในพริบตา 
ระหว่างพัก, 
มีโอกาสเดินสำรวจ ด้านหลังปรากฏลำธารน้ำตกเย็นสบายตา อาหารจัดไว้ขายอย่างข้าวเหนียวปิ้งห่อใบบางอย่างสีเขียวคล้ายใบจาก 
มีรสชาติออกเค็ม กับขนมจีนกับน้ำยาสูตรท้องถิ่น รวมถึงข้าวโพดเม็ดเหลืองใส่ถุงปักป้าย “อาหารปลา” 
ซึ่งตอนเขียนอยู่นี้ก็ยังแอบสงสัยว่าตรงไหนมีที่ให้อาหารปลา เพราะตรงลำธารที่รถข้ามก็ไม่มีปลา ลำธารด้านหลังก็ไม่มีปลา 
หรือเค้าให้เราเอาไปให้ปลาที่บ้าน หรือโรยโรยไปปลาก็มาฮุบเอง ได้แต่สงสัย,
และที่ถูกใจที่สุดคงเป็นกล้วยไม้สีเหลืองสดใสออกช่ออยู่ข้างรถ 
.
 
นั่งรถโคลงเคลงฝุ้นคลุ้งไปเรื่อย-เรื่อยกับทิวทัศน์รอบด้าน,
 
จุดแวะสุดท้าย, นอกจากร้านค้าขายของ จุดนี้ยังไว้ใช้สำหรับอาบน้ำ 
(กฎระเบียบเรื่องการตักน้ำอาบ ไม่แน่ใจว่าตรงนี้ผู้หญิงสามารถตักน้ำอาบเองได้ไหม) 
.
ที่นี่,  สามารถซื้อเสบียงอาหารอย่างขนมหรือเครื่องดื่มไว้เป็นเสบียงได้ ส่วนฉัน, ที่ถามหาของกินแปลก-แปลกจากพ่อค้า 
ได้เมล็ดดทานตะวันอบรสวอลนัท เนสวิต้ารสข้าวโพด ซึ่งปกติคนพม่านิยมกินหวานจัดมาก 
และไม่น่าเชื่อโค้กกระป๋องสัญชาติเมียนมาร์ที่ฉันซื้อมา, หวานเอาเรื่องเลยทีเดียว
.
  
หลังจากการนั่งรถกระบะที่ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ, 
สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากไร่ข้าวโพด หรือยอดมุลาอิที่เราเห็นลิบ-ลิบมาตลอดทางนั้นเริ่มหายไป 
สักพัก, เราจะพบกับร้านค้าสองข้างทาง แต่ครั้งนี้, เราได้ลงจากรถแบบของจริงเสียที 
แบกเป้ขึ้นบ่า ออกเดินผ่านก้อนหินรูปปลาฉลาม และเจดีย์ขนาดเล็กระหว่างทางที่ผู้ชายสามารถสักการะได้เท่านั้น 
ฉัน, ที่ไม่ได้หาข้อมูลเรื่องสถานที่แห่งนี้มาเลย รู้สึกตกใจปนหัวเราะเป็นอย่างมาก เพราะยังไม่ทันรู้สึกถึงน้ำหนักเป้ของสัมภาระ 
หรือการเผาผลาญของร่างกายเลยซักนิด ก็พบว่าตัวเองและเพื่อนร่วมทางมาถึงจุดกางเต้นท์แล้ว ถึงกับหันไปถามพี่เต้ไม่รู้กี่ครั้งว่า 
ถึงแล้วจริงหรอพี่เต้, 
จริงอะพี่เต้, เป็นการเดินเขาที่ระยะสั้นที่สุดในชีวิตจริง-จริง 
.
 
 (แล้วก้อนนี้มองเป็นรูปอะไรกัน) 
 
ค่ำคืนนั้น ณ ที่แห่งนี้,
หลังได้ชัยภูมิในการกางเต้นท์ที่แหล่มมาก เพราะมีเต้นท์เราแค่ 2 หลัง
 (เพราะพื้นตรงนั้นมันช่างเอียงหรือเกิน ใครจะมากางกับหล่อนหละ ถามหน่อย) 
เตรียมอาหารแบบ ง่ายมาก อย่างผักกาดดองคลุกข้าวและเต้าหู้พะโล้ 
ตามด้วยโอวันตินร้อนแช่ขนมปัง ซดร้อนๆ ให้ร่างกายอบอุ่น 
จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบระบบซักแห้ง ถึงเวลาแยกย้ายซุกตัวในถุงนอน คืนนั้นลมแรงมาก 
แต่ไม่หนาวเท่าไหร่ พระจันทร์ที่เป็นนางเอกแทนดวงดาวในค่ำคืนนี้ ส่องสว่างไปทั่วภูเขา  
.
 
(แค่ 2 หลังจริงๆ)

สะดุ้งตื่นขึ้นมา, เมื่อได้ยินเสียง แกร๊ง-แกร๊ง ของระฆังบนยอดเจดีย์มุลาอิ และยังคงดังเป็นช่วงๆ จนสะดุ้งตื่นแทบทุกชั่วโมง 
เนื่องจากช่วงที่ฉันเดินทางนั้นตรงกับวันมาฆบูชาพอดิบพอดี ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยเดินทางมาสักการะยังยอดมุลาอิแห่งนี้ 
สถานที่เลยแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมากเพราะตรงกับวันหยุดตามปฏิทินของไทยด้วย คืนนั้นผู้คนจึงหนาแน่นเป็นพิเศษ 
ตอนเช้า, ลมแรงมาก พี่เต้พยายามปลุกจอมตื่นสายอย่างเราด้วยการเปิดประตูเต้นท์ให้ลมพัดเข้ามา 
แล้วบอกว่า น้องสา, เค้าลุกกันหมดแล้วนะ 55555
ความพี่เต้ ที่ต้องคอยปลุกเด็กน้อยอย่างเราทุกทริปที่ไปกัน รักนะพี่เต้
จัดแจงเก็บเต้นท์ เดินลงด้านล่าง ใส่ผ้าถุงเพื่อขึ้นไปสักการะเจดีย์ที่อยู่อีกยอด, 
ตอนแรกคิดดว่าเราพลาดเสียแล้ว เพราะลงมาค่อนข้างช้า แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว ในสถานที่แบบนี้ ไม่ไปไม่ได้จริง-จริง
ทิวทัศน์ด้านบน มองเห็นจุดกางเต้นท์เมื่อคืน เป็นภาพที่ดูแปลกตานิเล็กน้อย 
สายลมพัดเอื่อย แม้ผู้คนดูพลุกพล่าน แต่สัมผัสได้ถึงความสงบข้างในใจ 
เรายืนดูหญิงชาวบ้านคนหนึ่งตั้งใจสวดมนต์อธิษฐานต่อเจดีย์ด้านหน้าด้วยความตั้งใจ 
เสียงระฆังที่ดังเหง่าง-หง่าง สะท้อนไปมาเป็นช่วงจากผู้มาเยือน สักพัก, เราเอ่ยลาเจดีย์และเดินลงด้านล่างเพื่อเตรียมเดินทางกลับ
.
 
เพราะการเดินทางคือการเรียนรู้,
ด้วยเส้นทางที่โคลงเคลงกว่า 3 ชั่วโมง ฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย การถ่ายรูปไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย 
หากแต่ความทรงจำยังคงชัดเจน บังเอิญหรือไม่, ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เมื่อช่วงที่ฉันได้มีโอกาสไปเยือนยังสถานที่แห่งนี้ ตรงกับวัน“มาฆบูชา” 
ที่เหล่าพุทธศาสนิกชน เหล่านักแสวงบุญย่อมเดินทางสู่ดินแดนแห่งความเชื่อของตน
 
ยามรถกระบะวิ่งผ่าน ไม่ต้องด้วยความเร็วสูง ด้วยสภาพพื้นที่ที่แค่เพียงชั่วเวลาเดียว 
เราอาจมีสภาพไม่ต่างจากอะไรคลุกแป้งทอดซักอย่าง เพียงสิ่งนั้นคือฝุ่นสีน้ำตาลแดง 
ลองเปลี่ยนจากเรา ที่นั่งหลังกระบะ เป็นภาพเหล่าชาวบ้านหรือเด็กรุ่นใหญ่รุ่นน้อย ก้าวเท้าออกเดินทางจากบ้านของพวกเค้า, 
ฉันมั่นใจว่าเราออกเดินทางไปยังสถานที่แห่งเดียวกัน 
แต่ฉันรับรู้ได้จากหัวใจว่า “ความศรัทธา” ของพวกเขาเหล่านั้น ฉันไม่อาจเทียบได้อย่างแน่นอน
.
  
รู้ไว้ใช่ว่า,
มุลาอิ, สถานที่บนความศรัทธาของชาวพม่าที่ค่อนข้างเข้มงวดกว่าในไทยและในฐานะ “ผู้มาเยือน” ในทุกรูปแบบ 
การสำรวมกิริยา วาจา มารยาท เป็นปฏิบัติตนที่ทุกคนพึงมี 
ไม่ว่าจะในบริทบทใดก็ตามโดยเฉพาะเรื่องของความเป็นหญิงและชาย 
ตอนที่ไปได้ยินนักท่องเที่ยวหลายท่านพูดถึงเรื่องของ “สิทธิ” และ “ความเสมอภาค”
ทำไมผู้หญิงต้องขึ้นเจดีย์อีกอันไม่ได้?
ทำไมผู้หญิงถึงต้องใส่กระโปรง หรือ ถ้าเป็นระดูไม่สามารถขึ้นได้? 
และอีกหลากหลายคำถามมากมาย
.
เมื่อความสุขคือการเดินทาง คือเสียงหัวเราะ คือความทรงจำ ที่สำคัญที่สุด (สำหรับเรา), 
การได้ออกเดินทางที่แท้จริง คือการที่เราได้มีโอกาสเฝ้ามองวิถีชีวิตที่เราไปเยือน สัมผัสบางอย่างที่แปลกตาแปลกใจ 
และเราต้องไม่ใช่ผู้ทำลาย, 
ฝากไว้กับใครทุกคนที่อยู่ในเส้นทางเดียวกับเรา
 
(ควรแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าถุง และมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถขึ้นสักการะยอดเจดีย์ทั้งสองแห่งได้)
 
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย,
จุดนัดหมาย เมื่อเข้าสู่อำเภอพบพระ,
จุดที่1 , บริเวณตลาดขนาดเล็กใกล้กับโรงพยาบาลพบพระ หรือตรงร้านข้าวแกงตักเต็มที่ 40 บาทชื่อร้านพี่ใหม่ 
(ตอนนั้นสั่ง เส้นใหญ่ผัดขี้เมาเจ ไปกินระหว่างทาง, อร่อยมาก แนะนำ) 
อีกจุดคือ, บ้านลุงจ่า อยู่ใกล้บริเวณธารน้ำตกขนาดกลางที่รถกระบะวิ่งลุยน้ำ เรียกว่าหมู่บ้านวัลเลย์  
ด้วยรัก, นกกระดาษ.
ชื่อสินค้า:   มุลาอิ พม่า Mulayit Taung Myanmar
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่