[CR] ผู้หญิงเที่ยวคนเดียวที่ 'มุลาอิ' ครั้งแรก และสิ่งที่ตามกลับมา...2019

(ฉันใช้เวลาฝันมาครึ่งชีวิต และตัดสินใจลงมือทำในวันเดียว) 
สมัยยังเป็นเด็ก การเติบโตในต่างจังหวัดและฟูมฟักตัวเองด้วยละครหลังข่าวค่ายอาหลอง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นทำให้อยากจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้กางเต้นท์ ก่อกองไฟ และย่างไก่ เพื่อสร้างตำนานของตัวเอง ในปี 2562 กับวัยทำงาน ยุคที่สื่อกระจายอิทธิพลมาถึงฉันอย่างง่ายดาย การเดินทางไปยังดินแดนแห่งเครื่องหมายคำถามสำหรับฉัน...จึงเริ่มต้นขึ้น 
กฏข้อที่ 1 : ไม่กระทบกับงาน (หรือกระทบน้อยที่สุด) 
กฏข้อที่ 2 : งบต้องสู้ไหว เกณฑ์การเดินทางง่ายๆที่ตั้งขึ้นมาก่อนจะห่วงเรื่องความปลอดภัยหรือความรู้เรื่องสถานที่



บทที่ 1
พร้อมยัง...ป่ะ ไปกันเล๊ยยยย!
(ก่อนการเดินทาง 2 วัน)
คุณรู้จัก ‘มุลาอิ’ ไหม...สารภาพว่าตอนแรกฉันก็ไม่รู้จักหรอก และที่ใจยืนยันจะไปนั่นก็เพราะภาพถ่ายกับพื้นที่ที่ไม่ใช่ประเทศไทย...นิดนึงก็นับอ่ะนะ ( เชื่อคนง่ายจริงๆ ) แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือคำโปรย
“มุลาอิ ยอดเขาแห่งความศรัทธา พม่า 30-1 พ.ย. ธ.ค. 1,800 รวมอาหาร 3 มื้อ” ประโยคนี้วิ่งวนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาเหมือนโดนสะกดจิต และปิดการขายด้วยการโอนเงินมัดจำในภายหลัง รู้ตัวอีกทีก็ได้แต่คุยกับตัวเองว่า “เอาจริงแล้วสินะ...” หลังจากนั้นจึงได้มารู้ว่ายอดเขาแห่งเครื่องหมายคำถามของฉัน มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่เต็มไปหมด

‘กฏแห่งขุนเขา พระธาตุมุลาอิ’ (คร่าวๆ)
1. เป็นศาสนสถานและเขตอภัยทาน จำเป็นต้องทานเจโดยเคร่งครัดและเมตตาต่อสัตว์
2. เมื่อเดินทางมาถึงให้ชำระเนื้อตัวให้สะอาด หรือล้างหน้าและแต่งตัวสุภาพพร้อมอยู่ในกิริยาที่สำรวม
3. ห้ามหญิงชายเดินเคียงหรือชิดกัน แม้กระทังสามีภรรยาก็ห้ามนอนเต้นท์เดียวกัน
4. การตักน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ ต้องให้ผู้ชายตักเท่านั้น
5. ทรัพย์สินคนอื่น ห้ามหยิบจับโดยพละการและห้ามขโมย
6. ห้ามผู้หญิงเดินขึ้นไปยังพระธาตุชาย ขึ้นพระธาตุต้องนุ่งผ้าถุงไปเท่านั้น
7. รักษาความสะอาด

สารภาพจากใจจริงว่า แค่ข้อ 1 กับ ข้อ3 ก็ทำให้ฉันสบายใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ที่ไม่ค่อยสบายใจและกลัวพลาดคงจะเป็นข้อ 2 นั่นล่ะ (มีให้เดาสองอย่าง ไม่เป็นคนหยาบคายก็ซกมก >,<)
ขุนเขาแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวพม่าที่ชื่อว่า ‘ มุลาอิ ’ นี้...เป็นหนึ่งในสมาชิกขุนเขา 4 แห่ง คือ โมโกตู ดอยพะวี เมะลาอะ และมุลาอิ (ซึ่งปลายทางของฉันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดจากขุนเขา 4 แห่ง) และเพราะพื้นที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองกะเหรี่ยง DKBA แค่ชื่อและข่าวคราวก็ทำให้ฉันคิดไปเองต่างๆนาๆว่านอกจากความงามแล้ว...อะไรกันแน่ที่กำลังรอฉันอยู่ที่ปลายทาง

บางที เราไม่ต้องเตรียมเหตุผลมากมายให้ตัวเองหรอกสำหรับการออกเดินนอกเส้นทางเดิมๆ แค่ทำลงไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าเราจะได้อะไรกลับมา...

บทที่ 2 :
ฉันเด่นกว่าใครในรถไฟใต้ดิน / เรื่องอันตรายที่สุดในทริป / VIP Seat / อันยองโอปป้า
แม้พี่ รปภ. ที่หอ หรือวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นจะคุ้นชินกับการแบกเป้สีเหลืองเก่าๆ ออกเดินทางมาบ้าง แต่คราวนี้เพราะแบกเต้นท์ไปด้วยวินมอเตอร์ไซค์ที่ฉันเองก็ไม่รู้จักชื่อจึงทักขึ้น
วิน : อ้าวนิ...ไปธุดงค์ที่ไหนคราวนี้?
มัต : แหม่ ลุง....บลาๆ
วิน : ยังไงก็เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับนิ
มัต : ขอบคุณค่า
เป็นการรอเงินทอนที่นานกว่าเดิมนิดนึง...
ฉันเดินทางในช่วงเวลาอันเร่งรีบและเหนื่อยล้าของคนทำงานกลางเมืองใหญ่ ขณะที่ใครๆต่างก็ถอนหายใจให้กับวันสุดท้ายของสัปดาห์ ตัวฉันกลับพบว่ามีอะดรีนาลินแล่นพ่านไปสู่ทุกส่วนของร่างกาย ผ่านMRT ไปนั่งวินอีกทียังจตุจักร(ถ้าเดินไปนั่งวินในซอยทางเข้าตลาด ราคา 40 บาท (บอกลอยๆ)) ก่อนที่คนขับจะพาฉันเหาะไปถึงหมอชิต2 ด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ( ถ้าจะนึกถึงเรื่องอันตรายที่สุดในทริปนี้ ฉันคิดว่าการนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปหมอชิตนี้แหละเข้าข่ายที่สุดแล้ว การขับมอเตอร์ไซค์ปาดหน้ารถเมล์ด้วยสกิลเดอะแฟลช เรียกคำอุทานสั้นๆจากฉันว่า เชี้.....ยยย ! ก่อนจะหลับตาปี๋ ภาวนาว่าอีกนิดก็จะถึงพม่าแล้วอย่าเป็นอะไรตอนนี้เลย ) และสุดท้ายก็ได้ครอบครองเบาะที่นุ่มนิดๆ บทรถทัวร์สายเหนือ กรุงเทพฯ-แม่สอดเพียงลำพัง... ก่อนจะโดนรถทัวร์โยกเยกด้วยจังหวะเมทัลแล้วจึงเพิ่งมาเซอร์ไพรซ์อีกครั้งว่ารถทั้งคันมีผู้โดยสารแค่ 7 คน!! รถมันโล่งจนพนักงานขึ้นมาพูดลอยๆ “จะนอนก็นอนไปเลย...นอนให้สบาย” พูดเหมือนงอนๆ ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดในจำนวนผู้โดยสาร
จาก 2 ทุ่ม ถึง ตี 4 ฉันคาดหวังว่า บขส. แม่สอด จะมีผู้คนเบาบาง...แต่ผิดคาด! คนหลายเชื้อชาติทั้งไทย พม่า ฝรั่ง จอแจกันที่ท่ารถทัวร์ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และหนึ่งเดียวที่สวมฮิญาบ(ผ้าคลุมผมของผู้หญิงมุสลิม) คนที่มองจึงค่อนข้างเห็นเป็นของแปลกละมั้ง ฉันกับสมาชิกแปลกหน้าที่เหลือในทริปเรานัดเจอกันที่ บขส. แห่งนี้ ก่อนจะมีโอปป้าหน้ารับแขกเข้ามาทายทักนามว่า ‘น้องมงคล’ ที่มีชื่อเล่นว่า ‘ฉัตรชัย’ ชายหนุ่มหน้าตาละมุนโดยละม่อมที่เกิดปีเดียวกันกับฉัน แต่สุดท้ายเขาก็เรียกฉันว่าพี่อยู่ดี (พี่ก็พี่วะ..) น้องมงคลผู้ที่จะเข้ามาเป็นเมนเทอร์และเป็นอะไรๆหลายๆอย่างให้กับสมาชิกของทริปนี้ อย่างไรก็ตามฉันคิดว่าการพบกันครั้งแรกของเราที่หน้าห้องน้ำ บขส.(บรรยากาศโรแมนติกกว่านี้ได้อีก) ก็ทำให้ฉันเองมีคำถามที่อยู่ในใจแต่ไม่ได้ถามออกไปคือ ...
“ใช้ครีมอะไรหรา...? “ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย...พร้อมกับทายาสิวของตัวเองไปจนถึงตอนนี้...



บทที่ 3 :
Fruitshekeสีส้ม กับคนปอนๆ
รถกระบะพา 4 สมาชิกที่นั่งเกร็งตลอดทางเพราะทั้งหนาวทั้งแปลกหน้า...ซึ่งบางคนก็หน้าแปลก(เออฉันเอง) ฝ่าความมืดของยามเช้าในจังหวัดตากเข้าสู่หมู่บ้านวาเล่ย์ ฉันยังจำสีและแสงของยามเช้าได้ดี ทิวเขาและเงาป่าค่อยๆชัดขึ้นด้วยแสงจากดวงตะวันที่ค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างเนิบนาบและใจเย็น มีเพียงเสียงเพลงทำนองเอื่อยๆ จากรถเท่านั้นที่คลอมาตามเส้นทาง...ไม่ใช่ทุกเช้าที่นอนน้อยแล้วจะรู้สึกสดชื่นขนาดนี้ และถ้าไม่ตัดสินใจหลวมตัวตั้งแต่ตอนนั้น เชื่อเถอะว่าเช้าวันเสาร์ของฉันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
เราหยุดทานมื้อเช้าที่ฐานรวมพล(เรียกแบบนี้ได้ไหมนะ) บรรยากาศน่ารักของบ้านหลังเล็กที่มีเหมียวแสนซน 5 ตัว และเจ้าตูบสีดำอีก 1 กับพื้นที่สีเขียวของต้นไม้น้อยใหญ่ บ่อเลี้ยงปลา และนาสีทองนั้นน่าหลงไหลและทำให้คิดไปว่าบั้นปลายชีวิตยามแก่เฒ่า (ถ้ายังอยู่ถึงตอนนั้น) ฉันคงต้องการไม่มากไปจากนี้ (ถึงแม้จะต้องตัดเจ้าตูบออกไปน่ะนะ)
หลังจากมื้อเช้าผ่านไปราวกับความสัมพันธ์เริ่มทำงานดีขึ้น การทักทาย ถามไถ่ แนะนำตัวเป็นไปโดยธรรมชาติระหว่างรอขึ้นรถอีกคันเพื่อเดินทางกันต่ออีก 4 ชั่วโมง เราได้ผ้าปิดหน้าสีดำที่สกรีนสีเหลืองว่า ‘อาสา พาไปหาเขา คนจะไปจะกลัวอะไร’ แค่ผ้าเล็กๆก็ทำให้ฉุกคิดขึ้นมา...นั่นสินะ จะกลัวอะไร?


คุณรู้จักเครื่องปั่นผลไม้ไหม? ถ้าฉันจะบอกว่าตลอดระยะทาง 4 ชั่วโมงบนรถโฟร์วิลที่มีระบบเซฟตี้เป็นเหล็กกั้นท้ายรถเพียงเส้นเดียว ฉันรู้สึกเหมือนเป็นผลไม้สีส้มที่ถูกจับโยนลงเครื่องปั่น แล้วปั่นไปมาจนเกือบจำสภาพเดิมของตัวเองไม่ได้...มันก็จะไม่ต่างจากที่ฉันอธิบายเท่าไหร่นักหรอก...เชื่อสิ ถ้ารถยนตร์สีขาว หรือกางเกงลายทหารที่ใส่ยังเปลี่ยนสีได้ คนบนรถที่ไม่ว่าจะนั่งตำแหน่งไหนก็คงจะมีสภาพไม่ต่างกัน โดยเฉพาะฉันกับสาวน้อยที่นั่งตรงข้ามซึ่งจับมืออย่างมั่นเหมาะว่าจะนั่งท้ายกระบะด้วยกัน มันคงเป็นการตัดสินใจที่ถูกครึ่งนึงและผิดครึ่งนึง หรือ...ที่จริงแล้วสำหรับประสบการณ์ชีวิตหรือประสบการณ์ในการเดินทางอาจไม่มีคำว่าถูกผิดเลยก็ได้ เพราะก็ไม่ใช่ทุกวันที่เราจะโดนรถฟัดจากถนนลูกรังและฝุ่นจากดินแดงแสนหฤโหด สำคัญไปกว่านั้น...ไม่ใช่ทุกวันที่เราจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่คุยกันรู้เรื่อง และครั้งแรกกันเส้นทาง 3 ชั่วโมงกว่าๆ นี้เองที่เปิดมุมมองให้สายตาได้เจอสิ่งใหม่ๆ ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากทุ่งข้าวโพดของชาวกะเหรี่ยง คุณปู่ต้นไม้ตัวสูง แอ่งน้ำซึ่งเป็นทางผ่านน้ำซ่านกระเซ็นเพราะถูกล้อรถบดลากรอยล้อเปียกๆ กลายเป็นทางยาว นั่นจึงทำให้ทั้งคิ้วและขนตาเต็มไปด้วยเครื่องประทินโฉมเซ็ทใหม่โดยเลี่ยงไม่ได้ (ฉันหมายถึงฝุ่นดินแดงนั่นแหละ) ระหว่างทางในเส้นทางสายนี้จะเป็นคำตอบแห่งคำถามที่ว่า...ทำไม ‘มุลาอิ’ จึงเป็นขุนเขาแห่งศรัทธา เพราะในทุกๆ ไม่กี่กิโลที่รถโฟร์วิลพาพวกเราสวนทางกับแรงโน้มถ่วงโลกตลอดข้างทางมักจะมีสถานที่สำหรับสักการะ หรือการก่อสร้างเจดีย์ ที่แล้วที่เล่า... บ้านเรือนส่วนใหญ่ที่เป็นไม้ก่อสร้างขึ้นมาอย่างไม่ได้ซับซ้อน มีร้านชำที่เต็มไปด้วยสินค้าจากไทยและพม่าวางปะปนกันไป เรื่องราวจากเชลท์สินค้าบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบ้านพี่เมืองน้องอย่างเราได้ดี


เราแวะทานมื้อเที่ยงที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงและฉันก็ได้ผ้าซิ่นทอมือมา 1 ผืน โดยการสื่อสารกับคนขายง่ายๆ กับทำมือทำไม้นิดหน่อย ฉันคิดว่านอกจากภาพถ่ายแล้ว สิ่งที่ฉันจะใช้งานมันได้ทุกวันโดยหยิบใช้เมื่อไหร่ก็จะพาให้คิดถึงเรื่องราวระหว่างกัน หรือได้นึกถึงผู้คนที่พบเจอ ใช่...นั่นเป็นสิ่งเตือนความจำชั้นดีเชียวล่ะ
ระหว่างทางขึ้นสู่ยอดเขานั้นอยู่ๆ รถกระบะก็หยุดอยู่ตรงหน้าอาคารอยู่พักใหญ่ เราชั่งใจอยู่นานกระทั่งเด็กน้อยส่งเสียงร้องเพลงด้วยภาษาที่ไม่คุ้นหูลั่นออกมาถึงข้างนอก จึงตัดสินใจกระโดดจากหลังกระบะ เดินเข้าไปยังตัวอาคารไม้สีน้ำตาลแดงเล็กๆนั้น แม้จะฟังโดยไม่เข้าใจความหมาย แต่การร้องเพลงพร้อมๆกันของเด็กตัวเล็กๆ ก็ทำให้ฉันเข้าใจในความบริสุทธิ์ตรงหน้า เด็กๆเป็นมิตรยิ้มเก่งกันจริงๆ บางครั้งรอยยิ้มนั้นถูกหยิบยื่นมาถึงฉันก่อนเสียอีก ฉันยืนดูเพียงครู่เดียวก่อนจะเดินออกมาดูบรรยากาศของโรงเรียนกลางหุบเขาฝุ่นตลบแห่งนี้...ณ สนามเด็กเล่นซึ่งมีของเล่นรูปทรงคุ้นเคยนั้นทำให้หวนคิดถึงสมัยที่ยังเป็นเด็กละอ่อนเท่าน้องๆ แต่สีสันถูกแทนที่ด้วยเหล็กผสมรอยแดงของฝุ่น ฉันยืนมองกระทั่งสายตากวาดไปยังป้ายไวนิลที่อยู่ในสภาพกลางใหม่กลางเก่า ไวนิลป้ายคำเตือนที่มีรูปการ์ตูนผู้ชายผู้หญิงเดินจูงมือกันโดยเบื้องหลังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของระเบิด... ฉันไม่เข้าใจความหมายในข้อความ...แต่มาสอบถามเมนเทอร์ทีหลังจึงได้รู้ว่าสมัยก่อนพื้นที่แถวนี้เองก็เคยมีการรบรากันระหว่างชาติพันธ์ของชาวพม่า แล้วพื้นที่นอกเหนือการดูแลของเหล่าทหารเองก็ไม่แน่ว่ายังคงมีซากระเบิดหลงเหลืออยู่ การเล่าเรียนของเด็กน้อยกลางหุบเขาฝุ่นตลบแห่งนี้มีคุณครูจากทางUNเข้ามาสอน และการรักษาพยาบาลเบื้องต้นก็ทำด้วยการใช้ยาสมุนไพร เมื่ออาการหนักที่สุดถึงจะนั่งรถฝ่าเส้นทางอันคดเดี้ยวเพื่อเข้าเมืองมารักษา ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะฉันตัวใหญ่แล้วเด็กๆจึงดูตัวเล็กนิดเดียวหากแต่...แต่ละคนเดินวิ่งกันตัวปร๋อเหมือนปูตัวน้อยๆ ฉันยังจำรอยยิ้มละไมตามระหว่างทางที่ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านไหนเด็กน้อยจะส่งยิ้มแป้นจนแก้มที่มีรอยทานาคานั้นกลมชัดขึ้นไปอีก พร้อมส่งมือน้อยๆโบกมา บางคนแอดว๊านซ์ขึ้นมาหน่อยก็จะทำมือไซส์มินิของตัวเองเป็นรูปมินิฮาร์ทส่งมาให้ รถยนต์แล่นออกมาผ่านหมูบ้านกลางดง ผ่านไร่ข้าวโพด ผ่านจุดก่อสร้างเจดีย์ ภาพตรงหน้าค่อยๆลดเล็กลงเรื่อยๆ และหายลับไป จะเจออีกครั้งก็คงเป็นเที่ยวกลับ และหลังจากนั้น...คงยังไม่รู้อีกนานเท่าไหร่จึงจะได้เจอกัน
ชื่อสินค้า:   มุลาอิ ประเทศพม่า Mulayit Myanmar
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่