'ฝ่ายค้าน' เตรียมเดินสายเปิดอภิปรายนอกสภาทั่วประเทศ 'อนาคตใหม่' ยันเปิดตัวพรรคใหม่เดือนนี้แน่นอน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2019247
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 มีนาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุมกนนำ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน (ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน) โดนมี พ.ต.อ.
ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ เป็นประธานการประชุม
โดยนาย
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคพท. กล่าวว่า 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านเราเห็นว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะโทษกันไปมา แต่เป็นเวลาที่จะต้องลุกขึ้นสู้เพื่อประชาชนร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพและเข้มแข็งดังเดิม เราเห็นตรงกันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ควรหยุดเพียงแค่ในสภาฯ เราจึงจะขอเปิดกิจกรรมอภิปรายนอกสภาฯ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. การรวบรวมคำถามทั้งหมดที่ส.ส.ได้อภิปรายถามและรัฐมนตรีไม่ได้ตอบหรือตอบไม่ครบ โพสต์ลงในเพจพรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชน
และ 2. การจัดอภิปรายนอกสภาฯ โดยเราจะจัดทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะแบ่งออกเป็น 4 ภาคอย่างที่เคยทำ
ด้านพ.ต.อ.
ทวี กล่าวว่า การอภิปรายไม่เสร็จสมบูรณ์เป็นประเด็นที่ 6 พรรคฝ่ายค้านตั้งข้อสงสัย กฎหมายมีความยุติธรรมแล้วแต่คนบังคับใช้กฎหมาย หรือผู้นำยังขาดความสัตย์ซื่อ ยุติธรรม จากนี้ 6 พรรคฝ่ายค้านจะร่วมมือกันทำงานให้เข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตามที่มีข้อกังขาเรื่องการไปตกลงกับรัฐบาลเพื่อไม่อภิปรายรัฐมนตรีบางคนนั้น ในฐานะที่ตนเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันว่าเราไม่ได้มีการสมยอมกันแต่อย่างใด เราคิดว่ามีเวลาถึงเที่ยงคืนถ้าไม่ปิดปากกันก็จะสามารถพูดจนจบได้ ส่วนเนื้อหาในการอภิปรายทางคณะทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่ามีหลายประเด็น ที่รัฐมนตรีตอบไม่ตรงคำถาม เช่น
กรณีการใช้ข้อความหรือภาพให้ประชานเกิดความเกลียดชัง หรือที่เรียกว่า
ไอโอ เรื่องนี้อยากเรียนถึงนายกฯ ให้เลิกทำเสีย บางเรื่องตอบไม่ได้ เช่น
คดีความที่ออสเตรเลีย และภาษีบุหรี่ เป็นต้น
ขณะที่นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า
1.ต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไป
และ 2.จุดเริ่มต้นของพรรคฝ่ายค้าน เรารวมตัวกันเพราะมีเป้าหมายเดียวกันคือรักษาประชาธิปไตยและอยากให้ประชาชนได้รับการดูแล
เราสู้กับผู้มีอำนาจรัฐที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ดังนั้นฝ่ายค้านเรายังมีจุดยืนร่วมกันและจะจับมือกันอย่างเข้มแข็ง พร้อมเดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ฝ่ายค้านเห็นว่าการอภิปรายครั้งนี้ยังไม่เสร็จสิ้นตามรัฐธรรมนูญ ภาระหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาลของฝ่ายค้าน ไม่ได้อยู่เพียงในสภาฯ เราจะต้องเดินหน้าตรวจสอบทั้งในและนอกสภาฯ โดยการร่วมมือกับประชาชน เพราะหากอาศัยเพียงมือในสภาฯ เราะไม่สามารถเอาชนะอำนาจของฝ่ายรัฐบาลได้ ทั้งนี้ไม่มีอะไรที่จะมาทำลายความรัก ความสามัคคีในการทำงานร่วมกันของพรรคฝ่ายค้านได้
นาย
ชัยธวัช ตุลาธน อดีตรองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า ต้องเรียนก่อนว่าพรรคอนค.ส่วนหนึ่งจะเดินต่อในนามของคณะอนค. อีกส่วนจะทำงานในสภาฯ อดีตส.ส.ของ อนค. เราได้ไปสัมนาสรุปบทเรียนร่วมกัน ทั้งการทำงานในพรรคองเราเอง และการทำงานร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเราจะเดินหน้าทำงานร่วมกันต่อไป ทั้งนี้แต่ละพรรคอาจจะมีบุคคลิกที่ต่างกันออกไป แต่การพรรคดันให้สังคมเดินหน้า น่าจะเป็นภาระกิจร่วมกัน เพราะขณะนี้การเคลื่อนไหวของประชาชนเป้นสถานการณ์ที่แหลมคม เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและรัฐบาลที่ไม่มีศักยภาพในการแก้ปัญหา เรื่องนี้ 6 พรรคฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมจะต้องทำงานร่วมกันต่อไป
เมื่อถามว่า การจัดตั้งพรรคใหม่ ของพรรคอนค. จะทันตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ทันแน่นอนภายในเดือนนี้จะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะนี้มีหลายเรื่องที่ต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า ดังนั้นขอเวลาให้เรานิดหนึ่ง สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวออกกมาว่า จะเป็นวันที่ 8 มีนาคม นั้น เป็นเพียงการคุยเบื้องต้น ในการสัมมนาส.ส.ของเรา ทั้งนี้ ส.ส. ยืนยันจำนวน 55 คน ที่จะย้ายมาพรรคใหม่ สำหรับงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม เพื่อเลี้ยงขอบคุณพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนค.จะเลี้ยงขอบคุณแกนนำพรรคฝ่ายค้านเป็นการส่วนตัว
ธนาธร ชวนอ่านหนังสือ สู้กับ [เผล่ะจัง] แนะ 198 วิธีสู้แบบสันติ ชี้เมืองไทยล้มไม่ง่าย!
https://www.khaosod.co.th/politics/news_3676746
ธนาธร ชวนอ่านหนังสือ สู้กับ [เผล่ะจัง] แนะ 198 วิธีสู้แบบสันติ ชี้เมืองไทยล้มไม่ง่าย!
วันที่ 2 มี.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก ความว่า
จาก [เผล่ะจัง] สู่ประชาธิปไตย: แผนการสู่อิสรภาพ
- ไม่เคยมีใครคิด ไม่เคยมีใครคาดหวัง ไม่เคยมีใครรู้ล่วงหน้า ว่า เหตุการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา จะเป็นตัวจุดชนวนความไม่พอใจของคนจำนวนมากในสังคมให้ระเบิดออกมาเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ(ที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว)
ต่อสภาพการเมืองการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจ และสภาพสังคมภายใต้ [เผล่ะจัง] ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน คนจำนวนมากจึงตัดสินใจว่าพวกเขา-พวกเราจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไปและต้องออกมาทำอะไรบางอย่างบ้างแล้ว
ผมไม่กังขาในความสามารถของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนในการต่อโค่นล้ม [เผล่ะจัง] โดยเฉพาะศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมกันอย่างเป็นจริงเป็นจังในช่วงนี้ แต่การโค่นล้ม [เผล่ะจัง] ที่ฝังรากในสังคมไทยมายาวนานไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นผมจึงเห็นว่าช่วงนี้สำคัญที่สุดที่เราจะมาร่วมกันศึกษาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เครื่องมือ เทคนิควิธีการ ในการต่อกรกับ [เผล่ะจัง] และเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย
วันนี้ผมจึงขอแนะนำหนังสือชื่อ “From Dictatorship to Democracy” หรือที่แปลเป็นไทยในชื่อ “จาก [เผล่ะจัง] สู่ประชาธิปไตย” ของ ยีน ชาร์ป (Gene Sharp) นักวิชาการผู้ที่ศึกษาและเขียนงานจำนวนมากเกี่ยวกับการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
โดยผมถือว่าหากเราอยากอ่านหนังสือสักเล่ม หนังสือเล่มนี้ก็คงเป็นหนังสือเล่มแรกในรายการหนังสือบังคับอ่านของวิชา “ต่อสู้ [เผล่ะจัง] 101” สำหรับผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกที่ยังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบอบ [เผล่ะจัง] และอยากเปลี่ยนแปลงสังคมตนเอง
อันที่จริง หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาพม่าและอังกฤษในปี 2537 มีการแปลไปให้ผู้อ่านทั่วโลกกว่าอีก 30 ภาษาในปัจจุบัน แต่ประเด็นที่ผมรู้สึกฉงนสนใจมากกว่า ก็คือหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศไทย(เพื่อเป็นองค์ความรู้และเครื่องมือต่อสู้ [เผล่ะจัง] ให้กับขบวนการประชาธิปไตยในพม่า)
ซึ่งประเทศไทยในปี 2537 นั้นเป็นประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพ มีอนาคตบนเส้นทางอันสดใส เพราะคนไทยสามารถกำจัด [เผล่ะจัง] ได้สำเร็จในปี 2535 และเชื่อว่าการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 นั้นจะเป็นรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้านหลายประเทศที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบ [เผล่ะจัง]
แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงวันนี้ เรามีรัฐประหารไปแล้วถึง 2 ครั้ง คือรัฐประหารปี 2549 และ 2557 รวมถึงความขัดแย้งวุ่นวาย และความไร้เสถียรภาพทางการเมืองทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงแข็งแรง นำไปสู่การกลับมาของระบอบ [เผล่ะจัง]
ซึ่ง [เผล่ะจัง] ก็ยังคงสืบทอดอำนาจมาจนถึงปัจจุบันนี้และมีแนวโน้มจะอยู่ยาวไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจชีวิตความเป็นไปของผู้คนในสังคม จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศท้ายๆ ในโลกที่ยังคงมียึดอำนาจรัฐประหารกันอยู่
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไปแล้วถึง 26 ปี สังคมเสื่อมถอยลงในทุกด้านเพราะมรดกตกทอดของการรัฐประหาร เป็นเวลาเหมาะสมยิ่งที่เราได้มีโอกาสอ่านหนังสือแปลเล่มนี้เป็นภาษาไทยอย่างจริงจัง
26 ปีที่ผ่านไปไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนี้มันล้าสมัย ไม่ทันการณ์ หรือใช้ไม่ได้แล้ว อันที่จริง มันยังคงเป็นคัมภีร์สำคัญในการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] และเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย เพราะแก่นแกนสาระสำคัญของความเป็น [เผล่ะจัง] และการต่อสู้เพื่ออิสรภาพนั้นยังคงเป็นจริงนิรันดร์ตราบใดที่ยังมีสังคมมนุษย์ในเอกภพนี้
โดยย่อแล้ว ยีน ชาร์ป เสนอว่ารัฐบาล [เผล่ะจัง] ยังลอยนวลอยู่ได้เพราะประชาชนในสังคมยังยอมให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความกลัว ความเพิกเฉย หรือความนิยมชมชอบใน [เผล่ะจัง] แต่หากประชาชนรวมตัวกันต่อสู้อย่างกล้าหาญ รอบคอบ และมีวินัย รัฐบาลก็ไม่อาจต้านทานพลังอำนาจของประชาชนได้
ในประวัติศาสตร์มีตัวอย่างของประชาชนที่โค่นล้ม [เผล่ะจัง] จนสำเร็จมามากแล้ว จากตัวอย่างเหล่านี้ ยีน ชาร์ป ได้รวบรวมวิธีการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรงเอาไว้ถึง 198 วิธี แบ่งออกเป็น 2-3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ การจูงใจ สร้างแนวร่วม การหยุดให้ความร่วมมือแก่รัฐบาล และการเข้าแทรกแซงโดยสันติวิธี พร้อมทั้งเสนอข้อควรระวังในสถานการณ์ต่างๆ และแนวทางการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อต่อสู้ด้วย
ผมจึงอยากเชื้อเชิญให้ผู้ที่ต้องการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] และอยากเปลี่ยนแปลงสังคมมาร่วมกันศึกษาองค์ความรู้ ประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ และเทคนิควิธีการ เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] สืบทอดอำนาจในปัจจุบัน โดยการอ่านหนังสือเล่มนี้ และนำความรู้ไปพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของเรา โดยหวังว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย-ทางใดทางหนึ่ง
การเรียนรู้ ฝึกฝน อดทนและรอคอย การสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน รวมถึงการสร้างกฎระเบียบวินัยในการเคลื่อนไหวทางสังคมนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การเคลื่อนไหวก็จะเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง ปราศจากจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ไม่มียุทธศาสตร์และยุทธิวิธีที่ชาญฉลาดเพียงพอ อันนำมาสู่ความเสื่อมถอยและล้มเหลวไปในที่สุด
ในสัปดาห์ต่อๆ ไป หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะมาแนะนำหนังสือดีๆ ที่เกี่ยวกับการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] โดยไม่ใช้ความรุนแรงอีกหลายๆ เล่ม (งานนี้พูดไว้ก่อนเลยว่าในสังคมไทยเราก็มีผู้ที่สนใจและมีองค์ความรู้เรื่องทำนองนี้อยู่ไม่น้อยเลย แต่เราอาจหลงลืมหรือไม่ได้สนใจมากเท่าที่ควรจนทำให้เรารู้สึกว่าขาดตรงนี้ไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้)
หวังว่าทุกท่านจะอ่านเล่มนี้สนุกจนวางไม่ลง และหวังว่าสักวันใดวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะหลุดพ้นจาก [เผล่ะจัง] และวงจรอุบาทว์ไปได้เสียที
https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/photos/a.383319638738383/802743083462701/
JJNY : เตรียมอภิปรายนอกสภา/ธนาธรชวนอ่านหนังสือ/ศิษย์เก่าแฉร.ร.ดัง!/คนบันเทิงถามรัฐ หน้ากากขาดแคลน/การบินไทยขาดทุนพุ่ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2019247
โดยนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคพท. กล่าวว่า 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านเราเห็นว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะโทษกันไปมา แต่เป็นเวลาที่จะต้องลุกขึ้นสู้เพื่อประชาชนร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพและเข้มแข็งดังเดิม เราเห็นตรงกันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ควรหยุดเพียงแค่ในสภาฯ เราจึงจะขอเปิดกิจกรรมอภิปรายนอกสภาฯ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. การรวบรวมคำถามทั้งหมดที่ส.ส.ได้อภิปรายถามและรัฐมนตรีไม่ได้ตอบหรือตอบไม่ครบ โพสต์ลงในเพจพรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชน
และ 2. การจัดอภิปรายนอกสภาฯ โดยเราจะจัดทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะแบ่งออกเป็น 4 ภาคอย่างที่เคยทำ
ด้านพ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า การอภิปรายไม่เสร็จสมบูรณ์เป็นประเด็นที่ 6 พรรคฝ่ายค้านตั้งข้อสงสัย กฎหมายมีความยุติธรรมแล้วแต่คนบังคับใช้กฎหมาย หรือผู้นำยังขาดความสัตย์ซื่อ ยุติธรรม จากนี้ 6 พรรคฝ่ายค้านจะร่วมมือกันทำงานให้เข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตามที่มีข้อกังขาเรื่องการไปตกลงกับรัฐบาลเพื่อไม่อภิปรายรัฐมนตรีบางคนนั้น ในฐานะที่ตนเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันว่าเราไม่ได้มีการสมยอมกันแต่อย่างใด เราคิดว่ามีเวลาถึงเที่ยงคืนถ้าไม่ปิดปากกันก็จะสามารถพูดจนจบได้ ส่วนเนื้อหาในการอภิปรายทางคณะทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่ามีหลายประเด็น ที่รัฐมนตรีตอบไม่ตรงคำถาม เช่น กรณีการใช้ข้อความหรือภาพให้ประชานเกิดความเกลียดชัง หรือที่เรียกว่าไอโอ เรื่องนี้อยากเรียนถึงนายกฯ ให้เลิกทำเสีย บางเรื่องตอบไม่ได้ เช่น คดีความที่ออสเตรเลีย และภาษีบุหรี่ เป็นต้น
ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า
1.ต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไป
และ 2.จุดเริ่มต้นของพรรคฝ่ายค้าน เรารวมตัวกันเพราะมีเป้าหมายเดียวกันคือรักษาประชาธิปไตยและอยากให้ประชาชนได้รับการดูแล
เราสู้กับผู้มีอำนาจรัฐที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ดังนั้นฝ่ายค้านเรายังมีจุดยืนร่วมกันและจะจับมือกันอย่างเข้มแข็ง พร้อมเดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ฝ่ายค้านเห็นว่าการอภิปรายครั้งนี้ยังไม่เสร็จสิ้นตามรัฐธรรมนูญ ภาระหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาลของฝ่ายค้าน ไม่ได้อยู่เพียงในสภาฯ เราจะต้องเดินหน้าตรวจสอบทั้งในและนอกสภาฯ โดยการร่วมมือกับประชาชน เพราะหากอาศัยเพียงมือในสภาฯ เราะไม่สามารถเอาชนะอำนาจของฝ่ายรัฐบาลได้ ทั้งนี้ไม่มีอะไรที่จะมาทำลายความรัก ความสามัคคีในการทำงานร่วมกันของพรรคฝ่ายค้านได้
นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตรองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า ต้องเรียนก่อนว่าพรรคอนค.ส่วนหนึ่งจะเดินต่อในนามของคณะอนค. อีกส่วนจะทำงานในสภาฯ อดีตส.ส.ของ อนค. เราได้ไปสัมนาสรุปบทเรียนร่วมกัน ทั้งการทำงานในพรรคองเราเอง และการทำงานร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเราจะเดินหน้าทำงานร่วมกันต่อไป ทั้งนี้แต่ละพรรคอาจจะมีบุคคลิกที่ต่างกันออกไป แต่การพรรคดันให้สังคมเดินหน้า น่าจะเป็นภาระกิจร่วมกัน เพราะขณะนี้การเคลื่อนไหวของประชาชนเป้นสถานการณ์ที่แหลมคม เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและรัฐบาลที่ไม่มีศักยภาพในการแก้ปัญหา เรื่องนี้ 6 พรรคฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมจะต้องทำงานร่วมกันต่อไป
เมื่อถามว่า การจัดตั้งพรรคใหม่ ของพรรคอนค. จะทันตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ทันแน่นอนภายในเดือนนี้จะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะนี้มีหลายเรื่องที่ต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า ดังนั้นขอเวลาให้เรานิดหนึ่ง สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวออกกมาว่า จะเป็นวันที่ 8 มีนาคม นั้น เป็นเพียงการคุยเบื้องต้น ในการสัมมนาส.ส.ของเรา ทั้งนี้ ส.ส. ยืนยันจำนวน 55 คน ที่จะย้ายมาพรรคใหม่ สำหรับงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม เพื่อเลี้ยงขอบคุณพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนค.จะเลี้ยงขอบคุณแกนนำพรรคฝ่ายค้านเป็นการส่วนตัว
ธนาธร ชวนอ่านหนังสือ สู้กับ [เผล่ะจัง] แนะ 198 วิธีสู้แบบสันติ ชี้เมืองไทยล้มไม่ง่าย!
https://www.khaosod.co.th/politics/news_3676746
ธนาธร ชวนอ่านหนังสือ สู้กับ [เผล่ะจัง] แนะ 198 วิธีสู้แบบสันติ ชี้เมืองไทยล้มไม่ง่าย!
วันที่ 2 มี.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก ความว่า
จาก [เผล่ะจัง] สู่ประชาธิปไตย: แผนการสู่อิสรภาพ
- ไม่เคยมีใครคิด ไม่เคยมีใครคาดหวัง ไม่เคยมีใครรู้ล่วงหน้า ว่า เหตุการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา จะเป็นตัวจุดชนวนความไม่พอใจของคนจำนวนมากในสังคมให้ระเบิดออกมาเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ(ที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว)
ต่อสภาพการเมืองการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจ และสภาพสังคมภายใต้ [เผล่ะจัง] ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน คนจำนวนมากจึงตัดสินใจว่าพวกเขา-พวกเราจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไปและต้องออกมาทำอะไรบางอย่างบ้างแล้ว
ผมไม่กังขาในความสามารถของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนในการต่อโค่นล้ม [เผล่ะจัง] โดยเฉพาะศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมกันอย่างเป็นจริงเป็นจังในช่วงนี้ แต่การโค่นล้ม [เผล่ะจัง] ที่ฝังรากในสังคมไทยมายาวนานไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นผมจึงเห็นว่าช่วงนี้สำคัญที่สุดที่เราจะมาร่วมกันศึกษาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เครื่องมือ เทคนิควิธีการ ในการต่อกรกับ [เผล่ะจัง] และเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย
วันนี้ผมจึงขอแนะนำหนังสือชื่อ “From Dictatorship to Democracy” หรือที่แปลเป็นไทยในชื่อ “จาก [เผล่ะจัง] สู่ประชาธิปไตย” ของ ยีน ชาร์ป (Gene Sharp) นักวิชาการผู้ที่ศึกษาและเขียนงานจำนวนมากเกี่ยวกับการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
โดยผมถือว่าหากเราอยากอ่านหนังสือสักเล่ม หนังสือเล่มนี้ก็คงเป็นหนังสือเล่มแรกในรายการหนังสือบังคับอ่านของวิชา “ต่อสู้ [เผล่ะจัง] 101” สำหรับผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกที่ยังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบอบ [เผล่ะจัง] และอยากเปลี่ยนแปลงสังคมตนเอง
อันที่จริง หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาพม่าและอังกฤษในปี 2537 มีการแปลไปให้ผู้อ่านทั่วโลกกว่าอีก 30 ภาษาในปัจจุบัน แต่ประเด็นที่ผมรู้สึกฉงนสนใจมากกว่า ก็คือหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศไทย(เพื่อเป็นองค์ความรู้และเครื่องมือต่อสู้ [เผล่ะจัง] ให้กับขบวนการประชาธิปไตยในพม่า)
ซึ่งประเทศไทยในปี 2537 นั้นเป็นประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพ มีอนาคตบนเส้นทางอันสดใส เพราะคนไทยสามารถกำจัด [เผล่ะจัง] ได้สำเร็จในปี 2535 และเชื่อว่าการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 นั้นจะเป็นรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้านหลายประเทศที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบ [เผล่ะจัง]
แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงวันนี้ เรามีรัฐประหารไปแล้วถึง 2 ครั้ง คือรัฐประหารปี 2549 และ 2557 รวมถึงความขัดแย้งวุ่นวาย และความไร้เสถียรภาพทางการเมืองทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงแข็งแรง นำไปสู่การกลับมาของระบอบ [เผล่ะจัง]
ซึ่ง [เผล่ะจัง] ก็ยังคงสืบทอดอำนาจมาจนถึงปัจจุบันนี้และมีแนวโน้มจะอยู่ยาวไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจชีวิตความเป็นไปของผู้คนในสังคม จนประเทศไทยกลายเป็นประเทศท้ายๆ ในโลกที่ยังคงมียึดอำนาจรัฐประหารกันอยู่
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไปแล้วถึง 26 ปี สังคมเสื่อมถอยลงในทุกด้านเพราะมรดกตกทอดของการรัฐประหาร เป็นเวลาเหมาะสมยิ่งที่เราได้มีโอกาสอ่านหนังสือแปลเล่มนี้เป็นภาษาไทยอย่างจริงจัง
26 ปีที่ผ่านไปไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนี้มันล้าสมัย ไม่ทันการณ์ หรือใช้ไม่ได้แล้ว อันที่จริง มันยังคงเป็นคัมภีร์สำคัญในการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] และเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย เพราะแก่นแกนสาระสำคัญของความเป็น [เผล่ะจัง] และการต่อสู้เพื่ออิสรภาพนั้นยังคงเป็นจริงนิรันดร์ตราบใดที่ยังมีสังคมมนุษย์ในเอกภพนี้
โดยย่อแล้ว ยีน ชาร์ป เสนอว่ารัฐบาล [เผล่ะจัง] ยังลอยนวลอยู่ได้เพราะประชาชนในสังคมยังยอมให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความกลัว ความเพิกเฉย หรือความนิยมชมชอบใน [เผล่ะจัง] แต่หากประชาชนรวมตัวกันต่อสู้อย่างกล้าหาญ รอบคอบ และมีวินัย รัฐบาลก็ไม่อาจต้านทานพลังอำนาจของประชาชนได้
ในประวัติศาสตร์มีตัวอย่างของประชาชนที่โค่นล้ม [เผล่ะจัง] จนสำเร็จมามากแล้ว จากตัวอย่างเหล่านี้ ยีน ชาร์ป ได้รวบรวมวิธีการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรงเอาไว้ถึง 198 วิธี แบ่งออกเป็น 2-3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ การจูงใจ สร้างแนวร่วม การหยุดให้ความร่วมมือแก่รัฐบาล และการเข้าแทรกแซงโดยสันติวิธี พร้อมทั้งเสนอข้อควรระวังในสถานการณ์ต่างๆ และแนวทางการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อต่อสู้ด้วย
ผมจึงอยากเชื้อเชิญให้ผู้ที่ต้องการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] และอยากเปลี่ยนแปลงสังคมมาร่วมกันศึกษาองค์ความรู้ ประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ และเทคนิควิธีการ เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] สืบทอดอำนาจในปัจจุบัน โดยการอ่านหนังสือเล่มนี้ และนำความรู้ไปพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของเรา โดยหวังว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย-ทางใดทางหนึ่ง
การเรียนรู้ ฝึกฝน อดทนและรอคอย การสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน รวมถึงการสร้างกฎระเบียบวินัยในการเคลื่อนไหวทางสังคมนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การเคลื่อนไหวก็จะเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง ปราศจากจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ไม่มียุทธศาสตร์และยุทธิวิธีที่ชาญฉลาดเพียงพอ อันนำมาสู่ความเสื่อมถอยและล้มเหลวไปในที่สุด
ในสัปดาห์ต่อๆ ไป หากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะมาแนะนำหนังสือดีๆ ที่เกี่ยวกับการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] โดยไม่ใช้ความรุนแรงอีกหลายๆ เล่ม (งานนี้พูดไว้ก่อนเลยว่าในสังคมไทยเราก็มีผู้ที่สนใจและมีองค์ความรู้เรื่องทำนองนี้อยู่ไม่น้อยเลย แต่เราอาจหลงลืมหรือไม่ได้สนใจมากเท่าที่ควรจนทำให้เรารู้สึกว่าขาดตรงนี้ไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้)
หวังว่าทุกท่านจะอ่านเล่มนี้สนุกจนวางไม่ลง และหวังว่าสักวันใดวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะหลุดพ้นจาก [เผล่ะจัง] และวงจรอุบาทว์ไปได้เสียที
https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/photos/a.383319638738383/802743083462701/