ก่อนที่จะเข้าเรื่องนั้น เจ้าของกระทูออกตัวก่อนว่ามีเพื่อนเป็นชาวอเมริกา ฝรั่งแท้ๆเลย
พอเขาได้ติดตามการเมืองไทย ครั้งที่เขามาเที่ยวเมืองไทยหลังการเลือกตั้งและบินกลับประเทศไปแล้ว
เพื่อนคนนี้ก็ได้ถามว่า คนไทยอยู่ในกติกาบ้าๆแบบนี้ได้อย่างไร? ทนอยู่ได้อย่างไร ไม่ออกมาสู้กันเลยหรือ
กับกติกาที่เอาเปรียบ เส็งเคร็งบ้าบอติงต๊องแบบนี้? จริงๆผมออกตัวนะว่าผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสียเท่าไร
แต่ว่าในเมื่อผ่านประชามติมาแล้ว เกิดคำถามพ่วงแล้ว ซึ่งถามแบบชี้นำสุดๆ "“ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้
ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” สังเกตตรงข้อความที่ขีดเส้นใต้ ชาวบ้านทั่วไปอ่านแล้ว
ก็คงนึกไม่ถึงว่า ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาคือ???? จริงๆเอาตรงๆเลยก็ได้เห็นชอบไหมที่ให้ ส.ว.มาโหวตร่วมกันส.ส. ในการให้ความเห็นขอบนายกรัฐมนตรี
หลายคนก็มองออกว่า หากแม้กติกาเป็นแบบนี้ แต่ไม่มีส.ว.มาโหวตร่วมนายกนั้น ยากส์สุดๆที่ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกรอบสอง
กติกาที่เอาเปรียบทำไมต้องตั้งขึ้นมา เอาเขาอ้างปฎิรูปบ้าบออะไรต่างๆ แต่บางคนบอก ...
เพราะกลัวแพ้ไง
รัฐธรรมนูญนี้การแก้ไขก็สุดยากเย็นเหลือคณา แนะนำไปอ่านกระทูนี้ก่อน จะไม่อธิบายว่าแก้ยากอย่างไร หรือเพราะไม่อยากให้แก้
https://pantip.com/topic/37227004
วันนี้มีบทความมาแนะนำอาจารย์โคทม อารียา เขียนไว้ดีมากๆครับ (จะพยายามเว้นวรรคให้ชัดเจน เพื่อให้อ่านง่าย และอาจต้องอ่านต่อไปด้านล่าง ตรงการตอบกลับนะครับ)
โดย...โคทม อารียา จากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 13/9/2019
**********************************
กระแสให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มเด่นชัดขึ้น พรรคฝ่ายค้านอยากให้แก้ไขอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี การตอบรับของสื่อและของสังคมยังไม่ชัดเจนนัก แต่พอมาอ่านหนังสือพิมพ์วันที่ 10 กันยายน 2562 ปรากฏว่ามีกระแสตอบรับมากขึ้น ที่น่าสนใจคือข่าวการตอบคำถามผู้สื่อข่าวของพล.อ. สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ว่า “ยังไม่ทราบว่าประเด็นหลักที่จะแก้คืออะไร และไปทำความเห็นจากประชาชนแล้วหรือยัง” ในเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านประชามติ ต้องไปถามประชาชนว่าต้องการแก้หรือไม่ พล.อ. สิงห์ศึกยืนยันว่า “อะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ผมก็สนับสนุนและเห็นด้วย ... อะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนรวม คิดว่า ส.ว. ก็ไม่ขัดข้อง”
คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ชื่อดังให้ความเห็นไปในทางเดียวกันไว้ในหน้า 2 ดังนี้ “ต้องจัดให้ประชาชนลงประชามติใหม่อีกครั้ง “ก่อน” เริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ... ขอให้ประชาชนลงประชามติว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 2 ประเด็น 1. นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งจากประชาชน 2. ส.ว. ลากตั้งอยู่ต่อไปจนครบเทอม แต่ยกเลิกบทเฉพาะกาลไม่ให้ ส.ว. ลากตั้งร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” จึงเสนอให้พิจารณา “คืนอำนาจให้ประชาชนร่วมตัดสินใจด้วยตัวเอง” เอาละซิ “การคืนอำนาจ” เช่นนี้ เป็นอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน หรือเป็นประโยชน์ส่วนรวม ตามความคิดของรองประธานวุฒิสภาหรือไม่
เรื่องที่อาจตั้งเป็นคำถามถามผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นอกจากสองคำถามที่คอลัมนิสต์เสนอไว้แล้ว ผมอยากเพิ่มอีกหนึ่งคำถาม คืออยากถามว่า “ควรแก้ไขมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้ใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดของสมาชิกรัฐสภา เป็นเกณฑ์การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เหมือนเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 หรือไม่” การแก้ไขมาตรา 256 เช่นนี้ จะช่วยให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามประเพณีประชาธิปไตยที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าปิดล็อกจนแก้ไขแทบไม่ได้ ตามเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 การปิดล็อกโดยมาตรา 256 อาจทำให้การเมืองมาถึงทางตัน และอาจเกิดความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
คราวนี้ต้องมาพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับการลงประชามติ ซึ่งมีบัญญติในมาตรา 166 ดังนี้ “ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ขอตีความว่า การขอประชามติว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องใด ย่อมไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้อยู่แล้ว แต่ผู้ที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้คือคณะรัฐมนตรี
มีข่าวในวันนี้เช่นกันว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะพิจารณาว่าจะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรมาศึกษาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ ข่าวบอกว่าพรรคพลังประชารัฐก็เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมาธิการดังกล่าว แต่ในเรื่องจังหวะเวลา อาจจะตั้งในสมัยการประชุมสามัญของสภาผู้แทนราษฎรคราวหน้า เพราะเหลือเวลาเพียงไม่กี่วันก็จะปิดสมัยประชุมคราวนี้แล้ว แต่เมื่อมีเสียงชิมลางออกมาชี้ช่องว่า ให้ถามความเห็นของประชาชนก่อน ก็คงไม่ต้องศึกษาอะไรในรายละเอียดให้มากนัก เพียงแต่เสนอประเด็นหลัก ๆ เช่น 3 ประเด็นข้างต้น และอาจเพิ่มอีกบางประเด็น ในกรณีมีความเห็นพ้องกันในระดับคณะกรรมาธิการฯ ก็ให้คณะกรรมาธิการเสนอคณะรัฐมนตรีได้ เพราะสุดท้ายการตัดสินใจจะกลับไปสู่ประชาชน
กระแสการแก้รัฐธรรมนูญเกิดขึ้นแล้วจริงหรือไม่???
พอเขาได้ติดตามการเมืองไทย ครั้งที่เขามาเที่ยวเมืองไทยหลังการเลือกตั้งและบินกลับประเทศไปแล้ว
เพื่อนคนนี้ก็ได้ถามว่า คนไทยอยู่ในกติกาบ้าๆแบบนี้ได้อย่างไร? ทนอยู่ได้อย่างไร ไม่ออกมาสู้กันเลยหรือ
กับกติกาที่เอาเปรียบ เส็งเคร็งบ้าบอติงต๊องแบบนี้? จริงๆผมออกตัวนะว่าผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสียเท่าไร
แต่ว่าในเมื่อผ่านประชามติมาแล้ว เกิดคำถามพ่วงแล้ว ซึ่งถามแบบชี้นำสุดๆ "“ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” สังเกตตรงข้อความที่ขีดเส้นใต้ ชาวบ้านทั่วไปอ่านแล้ว
ก็คงนึกไม่ถึงว่า ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาคือ???? จริงๆเอาตรงๆเลยก็ได้เห็นชอบไหมที่ให้ ส.ว.มาโหวตร่วมกันส.ส. ในการให้ความเห็นขอบนายกรัฐมนตรี
หลายคนก็มองออกว่า หากแม้กติกาเป็นแบบนี้ แต่ไม่มีส.ว.มาโหวตร่วมนายกนั้น ยากส์สุดๆที่ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกรอบสอง
กติกาที่เอาเปรียบทำไมต้องตั้งขึ้นมา เอาเขาอ้างปฎิรูปบ้าบออะไรต่างๆ แต่บางคนบอก ... เพราะกลัวแพ้ไง
รัฐธรรมนูญนี้การแก้ไขก็สุดยากเย็นเหลือคณา แนะนำไปอ่านกระทูนี้ก่อน จะไม่อธิบายว่าแก้ยากอย่างไร หรือเพราะไม่อยากให้แก้ https://pantip.com/topic/37227004
วันนี้มีบทความมาแนะนำอาจารย์โคทม อารียา เขียนไว้ดีมากๆครับ (จะพยายามเว้นวรรคให้ชัดเจน เพื่อให้อ่านง่าย และอาจต้องอ่านต่อไปด้านล่าง ตรงการตอบกลับนะครับ)
โดย...โคทม อารียา จากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 13/9/2019
**********************************
กระแสให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มเด่นชัดขึ้น พรรคฝ่ายค้านอยากให้แก้ไขอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี การตอบรับของสื่อและของสังคมยังไม่ชัดเจนนัก แต่พอมาอ่านหนังสือพิมพ์วันที่ 10 กันยายน 2562 ปรากฏว่ามีกระแสตอบรับมากขึ้น ที่น่าสนใจคือข่าวการตอบคำถามผู้สื่อข่าวของพล.อ. สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ว่า “ยังไม่ทราบว่าประเด็นหลักที่จะแก้คืออะไร และไปทำความเห็นจากประชาชนแล้วหรือยัง” ในเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านประชามติ ต้องไปถามประชาชนว่าต้องการแก้หรือไม่ พล.อ. สิงห์ศึกยืนยันว่า “อะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ผมก็สนับสนุนและเห็นด้วย ... อะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนรวม คิดว่า ส.ว. ก็ไม่ขัดข้อง”
คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ชื่อดังให้ความเห็นไปในทางเดียวกันไว้ในหน้า 2 ดังนี้ “ต้องจัดให้ประชาชนลงประชามติใหม่อีกครั้ง “ก่อน” เริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ... ขอให้ประชาชนลงประชามติว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 2 ประเด็น 1. นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งจากประชาชน 2. ส.ว. ลากตั้งอยู่ต่อไปจนครบเทอม แต่ยกเลิกบทเฉพาะกาลไม่ให้ ส.ว. ลากตั้งร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” จึงเสนอให้พิจารณา “คืนอำนาจให้ประชาชนร่วมตัดสินใจด้วยตัวเอง” เอาละซิ “การคืนอำนาจ” เช่นนี้ เป็นอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน หรือเป็นประโยชน์ส่วนรวม ตามความคิดของรองประธานวุฒิสภาหรือไม่
เรื่องที่อาจตั้งเป็นคำถามถามผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นอกจากสองคำถามที่คอลัมนิสต์เสนอไว้แล้ว ผมอยากเพิ่มอีกหนึ่งคำถาม คืออยากถามว่า “ควรแก้ไขมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้ใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดของสมาชิกรัฐสภา เป็นเกณฑ์การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เหมือนเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 หรือไม่” การแก้ไขมาตรา 256 เช่นนี้ จะช่วยให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามประเพณีประชาธิปไตยที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าปิดล็อกจนแก้ไขแทบไม่ได้ ตามเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 การปิดล็อกโดยมาตรา 256 อาจทำให้การเมืองมาถึงทางตัน และอาจเกิดความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
คราวนี้ต้องมาพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับการลงประชามติ ซึ่งมีบัญญติในมาตรา 166 ดังนี้ “ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ขอตีความว่า การขอประชามติว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องใด ย่อมไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้อยู่แล้ว แต่ผู้ที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้คือคณะรัฐมนตรี
มีข่าวในวันนี้เช่นกันว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะพิจารณาว่าจะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรมาศึกษาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ ข่าวบอกว่าพรรคพลังประชารัฐก็เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมาธิการดังกล่าว แต่ในเรื่องจังหวะเวลา อาจจะตั้งในสมัยการประชุมสามัญของสภาผู้แทนราษฎรคราวหน้า เพราะเหลือเวลาเพียงไม่กี่วันก็จะปิดสมัยประชุมคราวนี้แล้ว แต่เมื่อมีเสียงชิมลางออกมาชี้ช่องว่า ให้ถามความเห็นของประชาชนก่อน ก็คงไม่ต้องศึกษาอะไรในรายละเอียดให้มากนัก เพียงแต่เสนอประเด็นหลัก ๆ เช่น 3 ประเด็นข้างต้น และอาจเพิ่มอีกบางประเด็น ในกรณีมีความเห็นพ้องกันในระดับคณะกรรมาธิการฯ ก็ให้คณะกรรมาธิการเสนอคณะรัฐมนตรีได้ เพราะสุดท้ายการตัดสินใจจะกลับไปสู่ประชาชน