จิตเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์
แต่วิญญาณไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้
วิญญาณเวียนว่ายอยู่ตามอายตนะ6เท่านั้น
เมื่อกายสังขารแตกดับวิญญาณก็หมดไป
แต่จิตยังต้องรับวิบากกรรม เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์
การเวียนว่าตายเกิด คือ การเกิดดับสืบต่อกันของจิต ที่สืบต่อกัน
ไป ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ แต่ พระพุทธเจ้าทรงแสดง โวหาร การแสดงธรรม
ทั้งนัยที่เป็นปรมัตถโวหาร และ สมมติโวหาร คือ
บัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคล เป็นพระเวสสันดร
เป็นเจ้าชายสิตทัตถะ ด้วย
เพื่อให้สัตว์โลกเข้าใจโดยนัยสมมติว่า มีการสะสม อบรมบารมี
ในแต่ละชาติว่า เป็นบุคคลต่าง ๆ
เพื่อให้เข้าใจในเรื่องของกรรมและผลของกรรม
เข้าใจว่ามีการสะสมคุณความดีมา จนถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
หากแสดงโดยนัยปรมัต ที่เป็น จิต อย่างเดียว
สัตว์โลกจะไม่เข้าใจได้ เช่น แสดงว่า จิตนี้ อบรมบารมีมา ทำให้เกิดเป็นจิตนี้
ทำให้จิตนี้เป็นพระพุทธเจ้า หรือ
ถ้าแสดงโดยแต่ปรมัต ก็จะไม่เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม
เช่น แสดงว่า ท่านอนาถ ทำบุญ ไปเกิดเป็นเทพบุตร อันนี้พอเข้าใจ
แต่ถ้าแสดงว่า จิตนี้ให้ทานทำบุญ ทำให้จิตนี้ได้รับผลของกรรม ก็จะทำให้ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงแสดง โดยนัยสมมติด้วย
แต่ ผู้ที่เข้าใจธรรมแล้ว ก็คือ เข้าใจทั้งโดยนัยปรมัต ที่เป็น จิต เจตสิก และ รูป
และโดยนัยสมมติว่า เป็นการสมมติเรียกขึ้นให้เข้าใจกันเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่มี คือ จิต เจตสิก รูป จึงบัญญัติว่าเป็น สัตว์ บุคคล ต่างๆ
เพราะฉะนั้น การสะสมสืบต่อมาในแต่ละชาติ ก็คือ จิต
ทีเกิดสืบต่อกันต่อเนื่องกันไป เป็นสังสารวัฏฏ์
เป็นการเวียนว่ายตายเกิด ที่เป็นจิตทีเกิดขึ้นแต่ละขณะนั่นเอง
จึงไม่มีใครออกจากร่าง เพียงแต่เป็นจิตทีเกิดดับสืบต่อ แต่กล่าวโดยสมมติให้เข้าใจเท่านั้นเอง
จิตเป็นวิญญาณไม่ได้