อ่านความเห็นบางท่านจากกระทู้ก่อนๆเกี่ยวกับอวิชชาแล้ว
เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า... หรือเราจะเข้าใจอวิชชาผิด?
ก็เลยอยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นหรือมุมมองที่มีต่ออวิชชา
ว่าคืออะไร มีลักษณะยังไงบ้าง เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ช่วยชี้แนะ
จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขความเข้าใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้
(ผมอาจจะไม่ได้โต้ตอบอะไรมากเพราะการทำความเข้าใจจะต้องใช้เวลาพอสมควร
จึงรับฟังเป็นหลัก และจะเก็บเอาไปคิดพิจารณาเป็นการบ้านต่อไปครับ)
ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับอวิชชาเป็นดังนี้
ภาพรวมคือ กระแสชีวิตที่ประกอบด้วยขันธ์ห้า(ปราศจากอัตตา)แต่ละกระแสที่เวียนว่ายในวัฏสงสารนั้น
ได้เดินทางมาอย่างยาวนานโดยหาที่สุดเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่พบ
ตราบใดที่กระแสชีวิตนั้นยังมีอวิชชาเป็นส่วนประกอบ เมื่อใดหมดอวิชชาแล้ว
กระแสชีวิตนั้นจะดำเนินต่อไปจนถึงขณะแห่งจุติแล้วจึงหยุดลงอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากไม่มีปฏิสนธิวิญญานหรือปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อในภพภูมิใหม่
(เพราะหมดอวิชชา ตัณหาและอุปาทานก็หมดไปด้วย ทำให้ไม่สามารถสืบต่อได้)
ส่วนรายละเอียดบางอย่างเป็นดังนี้
อวิชชาที่พระพุทธเจ้าพูดถึง(ซึ่งจำเป็นต้องดับ หากต้องการออกจากสังสารวัฏ)
1 อวิชชา ปฏิเสธ วิชชา (ไม่รู้ ปฏิเสธ รู้)
2 อวิชชาคือความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4 วิชชาคือความรู้แจ้งในอริยสัจ4(หมายถึงความรู้แจ้งระดับพระอรหันต์)
3 อวิชชาเป็นสิ่งประกอบกับจิต หรือจะว่ามีอยู่ในจิตก็ได้ ไม่ใช่สิ่งที่มาจากภายนอกหรืออยู่ภายนอกจิต
4 อวิชชา(อวิชชานุสัย)มีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ออกมาทำงานตลอด
คล้ายๆมีช่วงซุ่มอยู่ในเงามืดกับช่วงออกมาทำกิจการงาน(เมื่อมีเหตุปัจจัย)
5 เมื่ออวิชชาปรากฏเพราะมีเหตุปัจจัย จะปรากฏตัวในนาม "โมหะเจตสิก"
การที่จิตบางดวงไม่มีโมหะเจตสิก ผมมองว่าเป็นจิตที่ยังมีอวิชชา(นอนเนื่องอยู่) แต่อวิชชาไม่ได้ทำงาน
6 พลังอำนาจของอวิชชามีขึ้นมีลง หากได้รับอาหาร(นิวรณ์5)น้อย ก็จะอ่อนกำลัง
อำนาจในการบดบังความจริงจะลดลง โอกาสที่วิชชาจะเกิดก็มีมากขึ้น
เข้าใจว่าอาฬารดาบส อุทกดาบส ซึ่งได้อรูปฌานขั้นสูง เป็นผู้มีปกติข่มนิวรณ์อยู่เป็นส่วนมาก(ด้วยฌาน)
อวิชชาจึงอดอาหาร มีกำลังอ่อน เป็นเหตุผลหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงดำริว่าจะแสดงธรรมให้ท่านทั้งสองฟัง
(เป็นเป้าหมายแรกๆ)...
ความเห็นเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากการที่ผมยอมรับพระไตรปิฏก(รวมอภิธรรม) อรรถกถา ฯลฯ
(แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างเป็นระบบ จึงรู้เพียงผิวเผิน และมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย)
....
ขอแถมเพิ่มเติมโดยอาศัยความเห็นดังกล่าว(ใช้ข้อ2เป็นหลัก)
ให้ความเห็นในกรณี "ก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี" ดังนี้...
"ไม่รู้"ตรงข้ามกับ"รู้" เมื่อ"รู้"มา"ไม่รู้"ก็หายไป
"ไม่รู้"ไม่มี = "รู้"
ตัวอย่าง ถามเด็กว่า หนูไม่รู้ใช่ไหมว่า 2+2=4
เด็กตอบ ไม่ใช่ค่ะ
ถามต่อ หนูรู้หรือ
เด็กตอบ ใช่ค่ะ
การปฎิเสธความไม่รู้(บอกว่าไม่มีความไม่รู้) เท่ากับยอมรับว่ามีความรู้...
อวิชชาไม่มี = มีวิชชา (ไม่มีในที่นี้หมายถึงไม่มีโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่หมายถืงดับไปชั่วคราวนะครับ)
ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี
= ในกาลก่อนแต่นี้ "ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4ไม่มี" แต่ภายหลังจึง"มีความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4"
= ในกาลก่อนแต่นี้ "มีวิชชา" แต่ภายหลังจึง "มีอวิชชา"
เป็นไปได้ไหมครับ
(อีกกรณีหนึ่งที่บอกว่าเดิมไม่มีทั้ง อวิชชาและวิชชา
คือไม่มีทั้งความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4 และ ไม่มีความรู้แจ้งในอริยสัจ4 ในเวลาเดียวกัน
มีทั้งรู้และไม่รู้ในเวลาเดียวกัน มีความสว่างและความมืดในเวลาเดียวกัน... อันนี้ผมไม่สามารถเข้าใจได้เลย)
ขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแต่เพียงเท่านี้
เพื่อนสมาชิกท่านใดเห็นจุดผิดพลาดตรงไหนขอให้ชี้แนะ หรือ วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ครับ
ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเองเข้าใจอวิชชาถูกต้องไหม
เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า... หรือเราจะเข้าใจอวิชชาผิด?
ก็เลยอยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นหรือมุมมองที่มีต่ออวิชชา
ว่าคืออะไร มีลักษณะยังไงบ้าง เพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ช่วยชี้แนะ
จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขความเข้าใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้
(ผมอาจจะไม่ได้โต้ตอบอะไรมากเพราะการทำความเข้าใจจะต้องใช้เวลาพอสมควร
จึงรับฟังเป็นหลัก และจะเก็บเอาไปคิดพิจารณาเป็นการบ้านต่อไปครับ)
ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับอวิชชาเป็นดังนี้
ภาพรวมคือ กระแสชีวิตที่ประกอบด้วยขันธ์ห้า(ปราศจากอัตตา)แต่ละกระแสที่เวียนว่ายในวัฏสงสารนั้น
ได้เดินทางมาอย่างยาวนานโดยหาที่สุดเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่พบ
ตราบใดที่กระแสชีวิตนั้นยังมีอวิชชาเป็นส่วนประกอบ เมื่อใดหมดอวิชชาแล้ว
กระแสชีวิตนั้นจะดำเนินต่อไปจนถึงขณะแห่งจุติแล้วจึงหยุดลงอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากไม่มีปฏิสนธิวิญญานหรือปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อในภพภูมิใหม่
(เพราะหมดอวิชชา ตัณหาและอุปาทานก็หมดไปด้วย ทำให้ไม่สามารถสืบต่อได้)
ส่วนรายละเอียดบางอย่างเป็นดังนี้
อวิชชาที่พระพุทธเจ้าพูดถึง(ซึ่งจำเป็นต้องดับ หากต้องการออกจากสังสารวัฏ)
1 อวิชชา ปฏิเสธ วิชชา (ไม่รู้ ปฏิเสธ รู้)
2 อวิชชาคือความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4 วิชชาคือความรู้แจ้งในอริยสัจ4(หมายถึงความรู้แจ้งระดับพระอรหันต์)
3 อวิชชาเป็นสิ่งประกอบกับจิต หรือจะว่ามีอยู่ในจิตก็ได้ ไม่ใช่สิ่งที่มาจากภายนอกหรืออยู่ภายนอกจิต
4 อวิชชา(อวิชชานุสัย)มีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ออกมาทำงานตลอด
คล้ายๆมีช่วงซุ่มอยู่ในเงามืดกับช่วงออกมาทำกิจการงาน(เมื่อมีเหตุปัจจัย)
5 เมื่ออวิชชาปรากฏเพราะมีเหตุปัจจัย จะปรากฏตัวในนาม "โมหะเจตสิก"
การที่จิตบางดวงไม่มีโมหะเจตสิก ผมมองว่าเป็นจิตที่ยังมีอวิชชา(นอนเนื่องอยู่) แต่อวิชชาไม่ได้ทำงาน
6 พลังอำนาจของอวิชชามีขึ้นมีลง หากได้รับอาหาร(นิวรณ์5)น้อย ก็จะอ่อนกำลัง
อำนาจในการบดบังความจริงจะลดลง โอกาสที่วิชชาจะเกิดก็มีมากขึ้น
เข้าใจว่าอาฬารดาบส อุทกดาบส ซึ่งได้อรูปฌานขั้นสูง เป็นผู้มีปกติข่มนิวรณ์อยู่เป็นส่วนมาก(ด้วยฌาน)
อวิชชาจึงอดอาหาร มีกำลังอ่อน เป็นเหตุผลหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงดำริว่าจะแสดงธรรมให้ท่านทั้งสองฟัง
(เป็นเป้าหมายแรกๆ)...
ความเห็นเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากการที่ผมยอมรับพระไตรปิฏก(รวมอภิธรรม) อรรถกถา ฯลฯ
(แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างเป็นระบบ จึงรู้เพียงผิวเผิน และมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย)
....
ขอแถมเพิ่มเติมโดยอาศัยความเห็นดังกล่าว(ใช้ข้อ2เป็นหลัก)
ให้ความเห็นในกรณี "ก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี" ดังนี้...
"ไม่รู้"ตรงข้ามกับ"รู้" เมื่อ"รู้"มา"ไม่รู้"ก็หายไป
"ไม่รู้"ไม่มี = "รู้"
ตัวอย่าง ถามเด็กว่า หนูไม่รู้ใช่ไหมว่า 2+2=4
เด็กตอบ ไม่ใช่ค่ะ
ถามต่อ หนูรู้หรือ
เด็กตอบ ใช่ค่ะ
การปฎิเสธความไม่รู้(บอกว่าไม่มีความไม่รู้) เท่ากับยอมรับว่ามีความรู้...
อวิชชาไม่มี = มีวิชชา (ไม่มีในที่นี้หมายถึงไม่มีโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่หมายถืงดับไปชั่วคราวนะครับ)
ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี
= ในกาลก่อนแต่นี้ "ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4ไม่มี" แต่ภายหลังจึง"มีความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4"
= ในกาลก่อนแต่นี้ "มีวิชชา" แต่ภายหลังจึง "มีอวิชชา"
เป็นไปได้ไหมครับ
(อีกกรณีหนึ่งที่บอกว่าเดิมไม่มีทั้ง อวิชชาและวิชชา
คือไม่มีทั้งความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ4 และ ไม่มีความรู้แจ้งในอริยสัจ4 ในเวลาเดียวกัน
มีทั้งรู้และไม่รู้ในเวลาเดียวกัน มีความสว่างและความมืดในเวลาเดียวกัน... อันนี้ผมไม่สามารถเข้าใจได้เลย)
ขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแต่เพียงเท่านี้
เพื่อนสมาชิกท่านใดเห็นจุดผิดพลาดตรงไหนขอให้ชี้แนะ หรือ วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ครับ