จิตมีสภาพรู้อารมณ์เป็นลักษณะ หรือเป็นธาตุรู้
เจตสิกธรรม หรือธรรมชาติที่ประกอบกับจิตนี้ แบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย
มีโลภ โกรธ หลง
ซึ่งเป็นอกุศลฝ่ายหนึ่ง
มีไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ซึ่งเป็นกุศลฝ่ายหนึ่ง
มีลักษณะกลางๆ
ซึ่งเป็นทั้งกุศลและอกุศลอีกฝ่ายหนึ่ง
อาศัยความแตกต่างแห่งลักษณะของจิต ที่เกิดขึ้นโดยเจตสิกที่แตกต่างกันดังกล่าว
ท่านจึงได้จำแนกลักษณะของจิตออกเป็น ๘๙ ดวง (โดยย่อ) หรือ ๑๒๑ ดวง (โดยพิสดาร)
โดยเหตุที่เจตสิกธรรมเข้าประกอบปรุงแต่งจิต แล้วทำให้จิต มีลักษณะแตกต่างกันไป
ท่านจึงได้จำแนก ลักษณะของจิต ออกเป็น ๔ ประเภทใหญ่ๆ คือ
กามาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต และ โลกุตตรจิต
คำว่า “กามาวจรจิต” มาจาก กาม + อวจร + จิต
กาม หมายถึง
อารมณ์อันเป็นที่ต้องการ หรือ เป็นที่ปรารถนาของกิเลส ได้แก่
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์ และธัมมารมณ์
อันเป็นที่น่ายินดี น่าพอใจ มีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า กามคุณอารมณ์ หรือ กามารมณ์
อวจรหมายถึง
อาศัยอยู่ หรือท่องเที่ยวไป
จิตหมายถึงธรรมชาติที่รู้อารมณ์คือ จิตท่องเที่ยวไปตามภพภูมิ
กามาวจรจิต จึงมีความหมาย ๒ ประการ คือ
๑.เป็นจิตที่รับ หรือเกี่ยวข้องกับ กามคุณอารมณ์
๒.เป็นจิตที่เกิดอยู่เป็นประจำในกามภูมิ ๑๑ (เป็นส่วนมาก) ได้แก่
- มนุษยภูมิ
- เทวภูมิ ๖ ชั้น
- อบายภูมิ ๔ คือสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
กามาวจรจิตนี้ เป็นจิตที่เป็นกุศล (เป็นบุญ) ก็มี
เป็นจิตที่เป็นอกุศล (เป็นบาป) ก็มี
และเป็นจิตที่เป็นผลของบุญก็มี ผลของบาปก็มี
การแสดงออกทางกาย ทางวาจา
ทั้งที่เป็นบุญ และบาป
สำเร็จได้ก็เพราะกามาวจรจิต เป็นผู้สั่งการทั้งสิ้น
กามาวจรจิต นี้มีทั้งหมด ๕๔ ดวง แบ่งออกเป็น
อกุศลจิต ๑๒ ดวง
อเหตุกจิต ๑๘ ดวง และ
กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง
บอกไว้ชัดเจน ว่า จิตเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์
จิตหมายถึงธรรมชาติที่รู้อารมณ์คือ จิตท่องเที่ยวไปตามภพภูมิ
จิตเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์