🌼👵🏻📜 THE LEISURE GLOVES ถุงมือยามว่าง# 19 เรื่องสั้น-1 "นิทานของคุณแม่" - ถุงมือ คุณแม่ใจดี 📜👵🏻🌼

กระทู้คำถาม
เข้าสู่มิติแห่งเรื่องสั้นครับ วีคนี้มีให้อ่านกัน 3 เรื่อง และมีแต่งคู่กัน 1 เรื่อง

เริ่มต้นกันด้วยเรื่องสั้นแบบ "โชว์เดี่ยว" กันก่อน...

เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่เล่านิทานให้ลูกฟัง (มั้ง แล้วจบยังไงก็ไม่รู้เพราะกรรมการก็ยังไม่ได้อ่าน จะอ่านตอนกำลังตั้งกระทู้นี่แหละครับ

มาเริ่มอ่าน เรื่องสั้นเรื่องแรก ของวีคนี้กันเลยครับ ^^


กาลครั้งหนึ่ง  ณ แว่นแคว้นแดนสุดด้าว มีเศรษฐีใหญ่ใจบุญ มีจิตเป็นกุศล อยากช่วยเหลือผู้คนและบำรุงพระพุทธศาสนา ดังนั้นเศรษฐีจึงตั้งโรงทานในวัดที่สร้างจากเงินบริจาคของตระกูลตน  แจกอาหารคาวหวาน ผลไม้เป็นอาจิณ

เรื่องราวดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่งขี่ม้ามาจากเมืองอื่น เที่ยวบอกผู้คนว่า ตนหนีไฟสงคราม พลัดพรากมาไกล จะมาขออาศัยในเมืองนี้จะได้ไหม  ชาวบ้านจึงแนะนำให้ไปพบเจ้าเมือง

ด้วยความเมตตา เจ้าเมืองก็เอ่ยว่า “เอาสิ  ที่เชิงเขายังรกร้าง  มิมีใครไปแผ้วถาง หากปรารถนาจะตั้งรกรากที่นี่ก็ทำได้ ขอให้ทำตามกฎกติกาพื้นฐาน ของการอยู่ร่วมกับผู้คนหมู่มาก อย่าก่อความเดือดร้อนรำคาญ  ท่านก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ณ ที่แห่งนี้”

สองสามีภรรยารีบก้มตัวขอบคุณเจ้าเมือง  แล้วเร่งรุดไปยังเชิงเขา  สร้างเพิงพักชั่วคราว ใช้มีด จอบ เสียมและความอุตสาหะ  ค่อยๆแผ้วทางที่ทางดงรกพงไพร จนกลายเป็นที่ผืนงาม เหมาะแก่การกสิกรรม ครั้นแล้วก็นำเมล็ดพันธุ์พืชจากเมืองเก่าลงหว่านโปรย แล้วรดน้ำพรวนดิน  จนเจริญงอกงามให้ดอกผล

ระหว่างนั้น  สองสามีภรรมยายังไม่มีรายได้  และไม่ข้าวปลาอาหารจะจุนเจือเลี้ยงชีพ จึงได้ไปขอพึ่งพิงโรงทานของเศรษฐี  ซึ่งเศรษฐีก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์  จัดให้ข้าทาสบริวารคอยต้อนรับอย่าได้ขาดตกบกพร่อง  

การได้มาสมาคมในโรงทานทำให้เริ่มเป็นที่คุ้นเคยของชาวบ้าน  นานวันเข้าชาวบ้านก็ไม่แปลกแยก คิดว่าสองสามีภรรยาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน พูดจาทักทาย ถามไถ่ถึงการถางไร่ถางพงและการปลูกพืชประหลาดที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน

สองสามีภรรยาดังกล่าวยิ้มแย้มอธิบายว่า   ลักษณะพืชดังกล่าวเป็นไม้เลื้อย  ให้ผลกลมทรงโต  เปลือกเขียวทางลาย เนื้อในสีแดงหวานฉ่ำนัก หมายมาดว่าหากเก็บผลผลิตได้จะนำไปถวายเจ้าเมือง ตอบแทนที่ให้พึ่งบารมี กับทั้งมีแผนตั้งใจจะขาย หาทุนรอนก่อร่างสร้างตัวต่อไป

เป็นครั้งแรกที่พืชดังกล่าวถูกปลูกขึ้น ณ เมืองแห่งนี้  จึงเป็นธรรมดาเมื่อผู้คนตื่นตาตื่นใจ แวะเวียนกันมาดูความเติบโตของพืชนี้อยู่ไม่ขาด วิจารณ์เสียงขรมถึงรูปพรรณอันแปลกตา  และกังขาว่าจริงหรือที่เห็นเปลือกเขียวแต่เนื้อในเป็นสีแดงรสหวานอร่อย ใครๆก็ต่างอยากชิมลิ้มลอง

ใกล้วันเก็บเกี่ยวผลผลิต สองสามีภรรยาป่าวประกาศไปทั่วว่าผลผลิตที่ปลูกได้ครั้งแรกนี้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะถวายพระราชา  อีกส่วนหนึ่งจะนำไปให้ท่านเศรษฐี แจกจ่ายชาวเมืองในโรงทานได้กินกันถ้วนทั่ว ทุกคนในหมู่บ้านต่างรอคอยวันที่จะได้ลิ้มรสผลไม้ประหลาดนี้

แล้ววันนั้นก็มาถึง  สองสามีภรรยารักษาสัจจะ  นำผลไม้ที่สุกดีไปถวายเจ้าเมือง  ส่วนที่เหลือนำมาผ่าแจกจ่ายผู้คนหมู่บ้านให้ได้ลองลิ้มชิมรสกันอย่างทั่วถึง
ทุกคนต่างกังขาแปลกใจ  ถึงเนื้อสีแดงฉ่ำตัดกับผิวเปลือกสีเขียวเข้ม และตั้งคำถามต่อสามีภรรยาดังกล่าวมิได้ขาดว่าเวลากินจำต้องคายเม็ดทิ้งหรือไม่  สองสามีภรรยาสั่นศีรษะบอกว่าไม่ต้อง กลืนลงท้องพร้อมเนื้อได้เลย เมล็ดดังกล่าวไม่มีพิษภัยซ้ำยังช่วยให้ขับถ่ายสะดวก  ทุกคนต่างเชื่อ  และต่างสุขใจที่ได้ลิ้มรสผลไม้พิสดารนี้
 
แต่แล้วเหตุอันคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น  ชั่วระยะหนึ่ง ชาวบ้านทั้งหญิงและชายต่างพากันท้องบวมโตราวกับสตรีตั้งครรภ์  วันๆเอาแต่ปั่นป่วนมวนท้องและเฝ้าดูอาการท้องบวมพองขึ้นทุกทีๆ  สร้างความประหวั่นพรั่งพรึงให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก รีบรุดไปที่อยู่ของสามีภรรยาดังกล่าวตั้งใจจะถามไถ่เอาความ

น่าแปลก....เมื่อกลุ่มชาวบ้านไปถึง  ที่ดินผืนดังกล่าวกลับยังรกร้างรุงรังด้วยหญ้าและพืชป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติ มิมีร่องรอยของการหักร้างถางพง  เพาะปลูกเจ้าผลไม้ประหลาด ดังที่เคยมาเยือนเยี่ยมดูอยู่บ่อยหลายครั้งในคราวก่อน  สร้างความสับสนงุนงงแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก  และได้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกกล่าวยังเจ้าเมือง

เจ้าเมืองเองก็ไม่รอดจากอาการท้องโตดุจท้องมาร  มีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก  นำความมาปรึกษาท่านเศรษฐีใจบุญว่าจะทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้

เศรษฐีออกความเห็นว่า ควรจะส่งม้าเร่งรุดไปเชิญหมอจากต่างเมืองมาตรวจและรักษาอาการดังกล่าว ทุกคนกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย  โรคประหลาดเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะต้องเสียค่ารักษามากมายเท่าไหร่  ธรรมดาวิถีชาวบ้านก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย อาศัยทำมาหากินพอเลี้ยงตัวรอดไปวันๆ
  
เศรษฐีประกาศต่อชาวหมู่บ้าน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา  ตนจะออกให้ทั้งหมด  ขอเพียงชาวบ้านกลับมาเป็นปกติ  แข็งแรงดีดังเก่า  ส่งผลให้ชาวบ้านยกมือท่วมหัว สาธุการในความมีเมตตาของเศรษฐี และเฝ้ารอการมาถึงของหมอยาต่างเมืองอย่างใจจดใจจ่อ

แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวัง เมื่อหมอต่างเมืองมาตรวจอาการก็อุทานว่า  “อีกแล้วหรือ....”  ทุกคนต่างพิศวงถามกันเซ็งแช่ว่าท่านหมอหมายความว่าอะไร   

ท่านหมอเล่าว่า  มีอีกหลายเมืองที่เจอเหตุการณ์แบบนี้   ชาวบ้านต่างพากันหน้าซีด  เสียงที่ดังแซ่ดกลับกลายเป็นเงียบสงบราวป่าช้า คิดว่าพวกตนเจอดีเข้าแล้ว  มีชายคนหนึ่งถามหมอว่า “แล้วเมื่อไหร่ท้องจะยุบ”

ท่านหมอส่ายหน้าบอกว่าท้องไม่มีวันยุบ  ได้แต่เฝ้ารอคอยวันที่ท้องแตกเพราะเมล็ดข้างในท้องสูบกินเลือดเนื้อแล้วแทงทะลุออกดอกผล เหมือนที่ชาวบ้านได้บริโภคเข้าไป  เมื่อกาลนั้นมาถึง เจ้าของร่างก็จะตาย

ชาวบ้านทราบข่าวดังนั้นก็พากันตกใจ โกลาหลอึงอล  ร้องไห้คร่ำครวญ  ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเลวร้ายถึงปานนี้  เล็งเห็นมรณะอยู่ตรงหน้า  ถามย้ำๆซ้ำๆ ถึงหนทางแก้ไขและรักษา ท่านหมอส่ายหน้าแล้วขอตัวลากลับเมืองไป

ในความมืดมนของห้วงความทุกข์  เศรษฐีได้สติ  กล่าวกับชาวเมืองว่า  หากต้องตาย พ้นจากความเป็นมนุษย์  พวกเราควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  อุทิศตนให้แก่พุทธศาสนา มาเถิดพวกเราจงมา ร่วมกันสวดมนต์อยู่ในวัด  ระลึกถึงพระรัตนตรัย  จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ชาวบ้านเห็นว่า ตลอดมาท่านเศรษฐีเป็นผู้พูดดี คิดดี ทำดี  แม้ในเวลาประสบเคราะห์กรรมสาหัสก็ยังตั้งสติ เลือกเฟ้นว่าการใดควรทำในช่วงเวลานี้จะส่งผลดีที่สุด

ชาวบ้านทั้งหมดต่างพากันไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดแล้วนัดแนะรวมตัวกันสวดมนต์  

และผลอัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น  เมื่อสวดมนต์จบ ทัองของชาวบ้านค่อยๆยุบ  ความปั่นป่วนต่างๆหายไป   

ทุกคนดีใจเป็นอันมาก  เกิดกำลังใจตั้งจิตแน่วแน่ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยให้พ้นภัยในครั้งนี้  

ไม่ช้าไม่นาน  ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ  ท้องของชาวบ้านยุบลง และไม่ตายดังคำทำนายที่หมอต่างเมืองให้ไว้  เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนให้ได้สาธุการถึงผลอันเลิศ ผลอันประเสริฐของการสวดมนต์และนับถือพระพุทธศาสนา  

เรื่องดังกล่าวเป็นที่เล่าขานในกาลต่อมา  พร้อมกับความเชื่อที่ว่า  “สวดมนต์คือยารักษาทุกโรค”  ทุกคนล้วนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป

.........................................................................

น้องโบปิดหนังสือนิทานแล้วถามคุณแม่ว่า “คุณแม่คะ  ผลไม้สีแดงในเรื่องใช่แตงโมที่น้องโบทานหรือเปล่าคะ”

คุณแม่ยิ้มๆแล้วตอบว่า “ก็อาจจะใช่”

น้องโบงุงงงสงสัย อาจจะใช่แปลว่าอะไร

คุณแม่บอกว่า  เรื่องดังกล่าวเป็นนิทาน  สิ่งที่เราอ่านอาจมีทั้งข้อมูลเรื่องจริงและสิ่งที่แต่งขึ้นมา  เราไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด  ต้องสังเกต  ตั้งคำถาม รวบรวมข้อมูลไว้ในใจ เมื่อโตขึ้นก็หาข้อมูลเพิ่ม  ถามผู้รู้ อ่านหนังสือ  ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับข้อสงสัยของเรา

น้องโบยิ่งฟังยิ่งงง  ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “คุณแม่คะ น้องโบไม่เข้าใจ”

คุณแม่ยิ้มอ่อนแล้วบอกว่า “ตอนนี้น้องโบยังเล็ก อาจไม่เข้าใจเรื่องที่คุณแม่พูด  ไม่เป็นไร...แต่วันนี้เป็นสิ่งดีมากที่น้องโบฟังนิทานแล้วเกิดความสงสัยมาตั้งคำถามกับคุณแม่  พรุ่งนี้คุณแม่จะให้รางวัลเป็นไอศกรีมถ้วยใหญ่และพาไปเที่ยว  แต่คืนนี้น้องโบต้องเข้านอนก่อนนะคะ  ดึกแล้ว”

คุณแม่ปิดไฟและมาห่มผ้าให้น้องโบ  ก่อนรู้สึกอิ่มใจ  รู้ดีว่าลูกยังเล็ก แม้สิ่งที่สอนเขาวันนี้ เขาจะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ  แต่อย่างน้อยเขาก็หัดตั้งคำถาม  การสงสัยเป็นเรื่องดีเพราะจะนำมาสู่การสังเกต และตั้งสมมุติฐาน รวมถึงทดลองเพื่อหาคำตอบ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้ก้าวหน้าพัฒนา

แต่สิ่งที่คุณแม่ได้จากการอ่านนิทานให้ลูกฟังในวันนี้ คือ ความอิ่มใจ  

ก่อนนอนคืนนี้ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ หลังจากละเลยเพราะความขี้เกียจ  ความเหนื่อยในภาระหน้าที่แม่บ้านทั้งวัน อ่านนิทานสอนลูกแล้วก็ยังได้สอนใจตัวเองอีกด้วย  คุณแม่รำพึง

................................................ จบ ......................................................

========================== ถุงมือ คุณแม่ใจดี ===========================

 ป.ล. ไม่ใช่ล๊อกอิน "คุณแม่ใจดี" นะครับ โปรดอย่าเข้าใจผิดเน้อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่