เข้าสู่มิติแห่งเรื่องสั้นครับ วีคนี้มีให้อ่านกัน 3 เรื่อง และมีแต่งคู่กัน 1 เรื่อง
เริ่มต้นกันด้วยเรื่องสั้นแบบ "โชว์เดี่ยว" กันก่อน...
เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่เล่านิทานให้ลูกฟัง (มั้ง แล้วจบยังไงก็ไม่รู้เพราะกรรมการก็ยังไม่ได้อ่าน จะอ่านตอนกำลังตั้งกระทู้นี่แหละครับ
มาเริ่มอ่าน เรื่องสั้นเรื่องแรก ของวีคนี้กันเลยครับ ^^
กาลครั้งหนึ่ง ณ แว่นแคว้นแดนสุดด้าว มีเศรษฐีใหญ่ใจบุญ มีจิตเป็นกุศล อยากช่วยเหลือผู้คนและบำรุงพระพุทธศาสนา ดังนั้นเศรษฐีจึงตั้งโรงทานในวัดที่สร้างจากเงินบริจาคของตระกูลตน แจกอาหารคาวหวาน ผลไม้เป็นอาจิณ
เรื่องราวดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่งขี่ม้ามาจากเมืองอื่น เที่ยวบอกผู้คนว่า ตนหนีไฟสงคราม พลัดพรากมาไกล จะมาขออาศัยในเมืองนี้จะได้ไหม ชาวบ้านจึงแนะนำให้ไปพบเจ้าเมือง
ด้วยความเมตตา เจ้าเมืองก็เอ่ยว่า “เอาสิ ที่เชิงเขายังรกร้าง มิมีใครไปแผ้วถาง หากปรารถนาจะตั้งรกรากที่นี่ก็ทำได้ ขอให้ทำตามกฎกติกาพื้นฐาน ของการอยู่ร่วมกับผู้คนหมู่มาก อย่าก่อความเดือดร้อนรำคาญ ท่านก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ณ ที่แห่งนี้”
สองสามีภรรยารีบก้มตัวขอบคุณเจ้าเมือง แล้วเร่งรุดไปยังเชิงเขา สร้างเพิงพักชั่วคราว ใช้มีด จอบ เสียมและความอุตสาหะ ค่อยๆแผ้วทางที่ทางดงรกพงไพร จนกลายเป็นที่ผืนงาม เหมาะแก่การกสิกรรม ครั้นแล้วก็นำเมล็ดพันธุ์พืชจากเมืองเก่าลงหว่านโปรย แล้วรดน้ำพรวนดิน จนเจริญงอกงามให้ดอกผล
ระหว่างนั้น สองสามีภรรมยายังไม่มีรายได้ และไม่ข้าวปลาอาหารจะจุนเจือเลี้ยงชีพ จึงได้ไปขอพึ่งพิงโรงทานของเศรษฐี ซึ่งเศรษฐีก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ จัดให้ข้าทาสบริวารคอยต้อนรับอย่าได้ขาดตกบกพร่อง
การได้มาสมาคมในโรงทานทำให้เริ่มเป็นที่คุ้นเคยของชาวบ้าน นานวันเข้าชาวบ้านก็ไม่แปลกแยก คิดว่าสองสามีภรรยาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน พูดจาทักทาย ถามไถ่ถึงการถางไร่ถางพงและการปลูกพืชประหลาดที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน
สองสามีภรรยาดังกล่าวยิ้มแย้มอธิบายว่า ลักษณะพืชดังกล่าวเป็นไม้เลื้อย ให้ผลกลมทรงโต เปลือกเขียวทางลาย เนื้อในสีแดงหวานฉ่ำนัก หมายมาดว่าหากเก็บผลผลิตได้จะนำไปถวายเจ้าเมือง ตอบแทนที่ให้พึ่งบารมี กับทั้งมีแผนตั้งใจจะขาย หาทุนรอนก่อร่างสร้างตัวต่อไป
เป็นครั้งแรกที่พืชดังกล่าวถูกปลูกขึ้น ณ เมืองแห่งนี้ จึงเป็นธรรมดาเมื่อผู้คนตื่นตาตื่นใจ แวะเวียนกันมาดูความเติบโตของพืชนี้อยู่ไม่ขาด วิจารณ์เสียงขรมถึงรูปพรรณอันแปลกตา และกังขาว่าจริงหรือที่เห็นเปลือกเขียวแต่เนื้อในเป็นสีแดงรสหวานอร่อย ใครๆก็ต่างอยากชิมลิ้มลอง
ใกล้วันเก็บเกี่ยวผลผลิต สองสามีภรรยาป่าวประกาศไปทั่วว่าผลผลิตที่ปลูกได้ครั้งแรกนี้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะถวายพระราชา อีกส่วนหนึ่งจะนำไปให้ท่านเศรษฐี แจกจ่ายชาวเมืองในโรงทานได้กินกันถ้วนทั่ว ทุกคนในหมู่บ้านต่างรอคอยวันที่จะได้ลิ้มรสผลไม้ประหลาดนี้
แล้ววันนั้นก็มาถึง สองสามีภรรยารักษาสัจจะ นำผลไม้ที่สุกดีไปถวายเจ้าเมือง ส่วนที่เหลือนำมาผ่าแจกจ่ายผู้คนหมู่บ้านให้ได้ลองลิ้มชิมรสกันอย่างทั่วถึง
ทุกคนต่างกังขาแปลกใจ ถึงเนื้อสีแดงฉ่ำตัดกับผิวเปลือกสีเขียวเข้ม และตั้งคำถามต่อสามีภรรยาดังกล่าวมิได้ขาดว่าเวลากินจำต้องคายเม็ดทิ้งหรือไม่ สองสามีภรรยาสั่นศีรษะบอกว่าไม่ต้อง กลืนลงท้องพร้อมเนื้อได้เลย เมล็ดดังกล่าวไม่มีพิษภัยซ้ำยังช่วยให้ขับถ่ายสะดวก ทุกคนต่างเชื่อ และต่างสุขใจที่ได้ลิ้มรสผลไม้พิสดารนี้
แต่แล้วเหตุอันคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ชั่วระยะหนึ่ง ชาวบ้านทั้งหญิงและชายต่างพากันท้องบวมโตราวกับสตรีตั้งครรภ์ วันๆเอาแต่ปั่นป่วนมวนท้องและเฝ้าดูอาการท้องบวมพองขึ้นทุกทีๆ สร้างความประหวั่นพรั่งพรึงให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก รีบรุดไปที่อยู่ของสามีภรรยาดังกล่าวตั้งใจจะถามไถ่เอาความ
น่าแปลก....เมื่อกลุ่มชาวบ้านไปถึง ที่ดินผืนดังกล่าวกลับยังรกร้างรุงรังด้วยหญ้าและพืชป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติ มิมีร่องรอยของการหักร้างถางพง เพาะปลูกเจ้าผลไม้ประหลาด ดังที่เคยมาเยือนเยี่ยมดูอยู่บ่อยหลายครั้งในคราวก่อน สร้างความสับสนงุนงงแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก และได้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกกล่าวยังเจ้าเมือง
เจ้าเมืองเองก็ไม่รอดจากอาการท้องโตดุจท้องมาร มีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก นำความมาปรึกษาท่านเศรษฐีใจบุญว่าจะทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้
เศรษฐีออกความเห็นว่า ควรจะส่งม้าเร่งรุดไปเชิญหมอจากต่างเมืองมาตรวจและรักษาอาการดังกล่าว ทุกคนกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย โรคประหลาดเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะต้องเสียค่ารักษามากมายเท่าไหร่ ธรรมดาวิถีชาวบ้านก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย อาศัยทำมาหากินพอเลี้ยงตัวรอดไปวันๆ
เศรษฐีประกาศต่อชาวหมู่บ้าน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา ตนจะออกให้ทั้งหมด ขอเพียงชาวบ้านกลับมาเป็นปกติ แข็งแรงดีดังเก่า ส่งผลให้ชาวบ้านยกมือท่วมหัว สาธุการในความมีเมตตาของเศรษฐี และเฝ้ารอการมาถึงของหมอยาต่างเมืองอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวัง เมื่อหมอต่างเมืองมาตรวจอาการก็อุทานว่า “อีกแล้วหรือ....” ทุกคนต่างพิศวงถามกันเซ็งแช่ว่าท่านหมอหมายความว่าอะไร
ท่านหมอเล่าว่า มีอีกหลายเมืองที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ชาวบ้านต่างพากันหน้าซีด เสียงที่ดังแซ่ดกลับกลายเป็นเงียบสงบราวป่าช้า คิดว่าพวกตนเจอดีเข้าแล้ว มีชายคนหนึ่งถามหมอว่า “แล้วเมื่อไหร่ท้องจะยุบ”
ท่านหมอส่ายหน้าบอกว่าท้องไม่มีวันยุบ ได้แต่เฝ้ารอคอยวันที่ท้องแตกเพราะเมล็ดข้างในท้องสูบกินเลือดเนื้อแล้วแทงทะลุออกดอกผล เหมือนที่ชาวบ้านได้บริโภคเข้าไป
เมื่อกาลนั้นมาถึง เจ้าของร่างก็จะตาย
ชาวบ้านทราบข่าวดังนั้นก็พากันตกใจ โกลาหลอึงอล ร้องไห้คร่ำครวญ ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเลวร้ายถึงปานนี้ เล็งเห็นมรณะอยู่ตรงหน้า ถามย้ำๆซ้ำๆ ถึงหนทางแก้ไขและรักษา ท่านหมอส่ายหน้าแล้วขอตัวลากลับเมืองไป
ในความมืดมนของห้วงความทุกข์ เศรษฐีได้สติ กล่าวกับชาวเมืองว่า
หากต้องตาย พ้นจากความเป็นมนุษย์ พวกเราควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อุทิศตนให้แก่พุทธศาสนา มาเถิดพวกเราจงมา ร่วมกันสวดมนต์อยู่ในวัด ระลึกถึงพระรัตนตรัย จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ชาวบ้านเห็นว่า ตลอดมาท่านเศรษฐีเป็นผู้พูดดี คิดดี ทำดี แม้ในเวลาประสบเคราะห์กรรมสาหัสก็ยังตั้งสติ เลือกเฟ้นว่าการใดควรทำในช่วงเวลานี้จะส่งผลดีที่สุด
ชาวบ้านทั้งหมดต่างพากันไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดแล้วนัดแนะรวมตัวกันสวดมนต์
และผลอัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อสวดมนต์จบ ทัองของชาวบ้านค่อยๆยุบ ความปั่นป่วนต่างๆหายไป
ทุกคนดีใจเป็นอันมาก เกิดกำลังใจตั้งจิตแน่วแน่ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยให้พ้นภัยในครั้งนี้
ไม่ช้าไม่นาน ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ท้องของชาวบ้านยุบลง และไม่ตายดังคำทำนายที่หมอต่างเมืองให้ไว้ เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนให้ได้สาธุการถึงผลอันเลิศ ผลอันประเสริฐของการสวดมนต์และนับถือพระพุทธศาสนา
เรื่องดังกล่าวเป็นที่เล่าขานในกาลต่อมา พร้อมกับความเชื่อที่ว่า “สวดมนต์คือยารักษาทุกโรค” ทุกคนล้วนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป
.........................................................................
น้องโบปิดหนังสือนิทานแล้วถามคุณแม่ว่า
“คุณแม่คะ ผลไม้สีแดงในเรื่องใช่แตงโมที่น้องโบทานหรือเปล่าคะ”
คุณแม่ยิ้มๆแล้วตอบว่า “ก็อาจจะใช่”
น้องโบงุงงงสงสัย อาจจะใช่แปลว่าอะไร
คุณแม่บอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นนิทาน สิ่งที่เราอ่านอาจมีทั้งข้อมูลเรื่องจริงและสิ่งที่แต่งขึ้นมา เราไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด ต้องสังเกต ตั้งคำถาม รวบรวมข้อมูลไว้ในใจ เมื่อโตขึ้นก็หาข้อมูลเพิ่ม ถามผู้รู้ อ่านหนังสือ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับข้อสงสัยของเรา
น้องโบยิ่งฟังยิ่งงง ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “คุณแม่คะ น้องโบไม่เข้าใจ”
คุณแม่ยิ้มอ่อนแล้วบอกว่า “ตอนนี้น้องโบยังเล็ก อาจไม่เข้าใจเรื่องที่คุณแม่พูด ไม่เป็นไร...แต่วันนี้เป็นสิ่งดีมากที่น้องโบฟังนิทานแล้วเกิดความสงสัยมาตั้งคำถามกับคุณแม่ พรุ่งนี้คุณแม่จะให้รางวัลเป็นไอศกรีมถ้วยใหญ่และพาไปเที่ยว แต่คืนนี้น้องโบต้องเข้านอนก่อนนะคะ ดึกแล้ว”
คุณแม่ปิดไฟและมาห่มผ้าให้น้องโบ ก่อนรู้สึกอิ่มใจ รู้ดีว่าลูกยังเล็ก แม้สิ่งที่สอนเขาวันนี้ เขาจะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยเขาก็หัดตั้งคำถาม การสงสัยเป็นเรื่องดีเพราะจะนำมาสู่การสังเกต และตั้งสมมุติฐาน รวมถึงทดลองเพื่อหาคำตอบ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้ก้าวหน้าพัฒนา
แต่สิ่งที่คุณแม่ได้จากการอ่านนิทานให้ลูกฟังในวันนี้ คือ
ความอิ่มใจ
ก่อนนอนคืนนี้ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ หลังจากละเลยเพราะความขี้เกียจ ความเหนื่อยในภาระหน้าที่แม่บ้านทั้งวัน อ่านนิทานสอนลูกแล้วก็ยังได้สอนใจตัวเองอีกด้วย คุณแม่รำพึง
................................................ จบ ......................................................
========================== ถุงมือ คุณแม่ใจดี ===========================
ป.ล. ไม่ใช่ล๊อกอิน "คุณแม่ใจดี" นะครับ โปรดอย่าเข้าใจผิดเน้อ
🌼👵🏻📜 THE LEISURE GLOVES ถุงมือยามว่าง# 19 เรื่องสั้น-1 "นิทานของคุณแม่" - ถุงมือ คุณแม่ใจดี 📜👵🏻🌼
เริ่มต้นกันด้วยเรื่องสั้นแบบ "โชว์เดี่ยว" กันก่อน...
เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่เล่านิทานให้ลูกฟัง (มั้ง แล้วจบยังไงก็ไม่รู้เพราะกรรมการก็ยังไม่ได้อ่าน จะอ่านตอนกำลังตั้งกระทู้นี่แหละครับ
มาเริ่มอ่าน เรื่องสั้นเรื่องแรก ของวีคนี้กันเลยครับ ^^
เรื่องราวดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่งขี่ม้ามาจากเมืองอื่น เที่ยวบอกผู้คนว่า ตนหนีไฟสงคราม พลัดพรากมาไกล จะมาขออาศัยในเมืองนี้จะได้ไหม ชาวบ้านจึงแนะนำให้ไปพบเจ้าเมือง
ด้วยความเมตตา เจ้าเมืองก็เอ่ยว่า “เอาสิ ที่เชิงเขายังรกร้าง มิมีใครไปแผ้วถาง หากปรารถนาจะตั้งรกรากที่นี่ก็ทำได้ ขอให้ทำตามกฎกติกาพื้นฐาน ของการอยู่ร่วมกับผู้คนหมู่มาก อย่าก่อความเดือดร้อนรำคาญ ท่านก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ณ ที่แห่งนี้”
สองสามีภรรยารีบก้มตัวขอบคุณเจ้าเมือง แล้วเร่งรุดไปยังเชิงเขา สร้างเพิงพักชั่วคราว ใช้มีด จอบ เสียมและความอุตสาหะ ค่อยๆแผ้วทางที่ทางดงรกพงไพร จนกลายเป็นที่ผืนงาม เหมาะแก่การกสิกรรม ครั้นแล้วก็นำเมล็ดพันธุ์พืชจากเมืองเก่าลงหว่านโปรย แล้วรดน้ำพรวนดิน จนเจริญงอกงามให้ดอกผล
ระหว่างนั้น สองสามีภรรมยายังไม่มีรายได้ และไม่ข้าวปลาอาหารจะจุนเจือเลี้ยงชีพ จึงได้ไปขอพึ่งพิงโรงทานของเศรษฐี ซึ่งเศรษฐีก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ จัดให้ข้าทาสบริวารคอยต้อนรับอย่าได้ขาดตกบกพร่อง
การได้มาสมาคมในโรงทานทำให้เริ่มเป็นที่คุ้นเคยของชาวบ้าน นานวันเข้าชาวบ้านก็ไม่แปลกแยก คิดว่าสองสามีภรรยาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน พูดจาทักทาย ถามไถ่ถึงการถางไร่ถางพงและการปลูกพืชประหลาดที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน
สองสามีภรรยาดังกล่าวยิ้มแย้มอธิบายว่า ลักษณะพืชดังกล่าวเป็นไม้เลื้อย ให้ผลกลมทรงโต เปลือกเขียวทางลาย เนื้อในสีแดงหวานฉ่ำนัก หมายมาดว่าหากเก็บผลผลิตได้จะนำไปถวายเจ้าเมือง ตอบแทนที่ให้พึ่งบารมี กับทั้งมีแผนตั้งใจจะขาย หาทุนรอนก่อร่างสร้างตัวต่อไป
เป็นครั้งแรกที่พืชดังกล่าวถูกปลูกขึ้น ณ เมืองแห่งนี้ จึงเป็นธรรมดาเมื่อผู้คนตื่นตาตื่นใจ แวะเวียนกันมาดูความเติบโตของพืชนี้อยู่ไม่ขาด วิจารณ์เสียงขรมถึงรูปพรรณอันแปลกตา และกังขาว่าจริงหรือที่เห็นเปลือกเขียวแต่เนื้อในเป็นสีแดงรสหวานอร่อย ใครๆก็ต่างอยากชิมลิ้มลอง
ใกล้วันเก็บเกี่ยวผลผลิต สองสามีภรรยาป่าวประกาศไปทั่วว่าผลผลิตที่ปลูกได้ครั้งแรกนี้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะถวายพระราชา อีกส่วนหนึ่งจะนำไปให้ท่านเศรษฐี แจกจ่ายชาวเมืองในโรงทานได้กินกันถ้วนทั่ว ทุกคนในหมู่บ้านต่างรอคอยวันที่จะได้ลิ้มรสผลไม้ประหลาดนี้
แล้ววันนั้นก็มาถึง สองสามีภรรยารักษาสัจจะ นำผลไม้ที่สุกดีไปถวายเจ้าเมือง ส่วนที่เหลือนำมาผ่าแจกจ่ายผู้คนหมู่บ้านให้ได้ลองลิ้มชิมรสกันอย่างทั่วถึง
ทุกคนต่างกังขาแปลกใจ ถึงเนื้อสีแดงฉ่ำตัดกับผิวเปลือกสีเขียวเข้ม และตั้งคำถามต่อสามีภรรยาดังกล่าวมิได้ขาดว่าเวลากินจำต้องคายเม็ดทิ้งหรือไม่ สองสามีภรรยาสั่นศีรษะบอกว่าไม่ต้อง กลืนลงท้องพร้อมเนื้อได้เลย เมล็ดดังกล่าวไม่มีพิษภัยซ้ำยังช่วยให้ขับถ่ายสะดวก ทุกคนต่างเชื่อ และต่างสุขใจที่ได้ลิ้มรสผลไม้พิสดารนี้
แต่แล้วเหตุอันคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ชั่วระยะหนึ่ง ชาวบ้านทั้งหญิงและชายต่างพากันท้องบวมโตราวกับสตรีตั้งครรภ์ วันๆเอาแต่ปั่นป่วนมวนท้องและเฝ้าดูอาการท้องบวมพองขึ้นทุกทีๆ สร้างความประหวั่นพรั่งพรึงให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก รีบรุดไปที่อยู่ของสามีภรรยาดังกล่าวตั้งใจจะถามไถ่เอาความ
น่าแปลก....เมื่อกลุ่มชาวบ้านไปถึง ที่ดินผืนดังกล่าวกลับยังรกร้างรุงรังด้วยหญ้าและพืชป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติ มิมีร่องรอยของการหักร้างถางพง เพาะปลูกเจ้าผลไม้ประหลาด ดังที่เคยมาเยือนเยี่ยมดูอยู่บ่อยหลายครั้งในคราวก่อน สร้างความสับสนงุนงงแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก และได้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกกล่าวยังเจ้าเมือง
เจ้าเมืองเองก็ไม่รอดจากอาการท้องโตดุจท้องมาร มีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก นำความมาปรึกษาท่านเศรษฐีใจบุญว่าจะทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้
เศรษฐีออกความเห็นว่า ควรจะส่งม้าเร่งรุดไปเชิญหมอจากต่างเมืองมาตรวจและรักษาอาการดังกล่าว ทุกคนกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย โรคประหลาดเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะต้องเสียค่ารักษามากมายเท่าไหร่ ธรรมดาวิถีชาวบ้านก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย อาศัยทำมาหากินพอเลี้ยงตัวรอดไปวันๆ
เศรษฐีประกาศต่อชาวหมู่บ้าน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา ตนจะออกให้ทั้งหมด ขอเพียงชาวบ้านกลับมาเป็นปกติ แข็งแรงดีดังเก่า ส่งผลให้ชาวบ้านยกมือท่วมหัว สาธุการในความมีเมตตาของเศรษฐี และเฝ้ารอการมาถึงของหมอยาต่างเมืองอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวัง เมื่อหมอต่างเมืองมาตรวจอาการก็อุทานว่า “อีกแล้วหรือ....” ทุกคนต่างพิศวงถามกันเซ็งแช่ว่าท่านหมอหมายความว่าอะไร
ท่านหมอเล่าว่า มีอีกหลายเมืองที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ชาวบ้านต่างพากันหน้าซีด เสียงที่ดังแซ่ดกลับกลายเป็นเงียบสงบราวป่าช้า คิดว่าพวกตนเจอดีเข้าแล้ว มีชายคนหนึ่งถามหมอว่า “แล้วเมื่อไหร่ท้องจะยุบ”
ท่านหมอส่ายหน้าบอกว่าท้องไม่มีวันยุบ ได้แต่เฝ้ารอคอยวันที่ท้องแตกเพราะเมล็ดข้างในท้องสูบกินเลือดเนื้อแล้วแทงทะลุออกดอกผล เหมือนที่ชาวบ้านได้บริโภคเข้าไป เมื่อกาลนั้นมาถึง เจ้าของร่างก็จะตาย
ชาวบ้านทราบข่าวดังนั้นก็พากันตกใจ โกลาหลอึงอล ร้องไห้คร่ำครวญ ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเลวร้ายถึงปานนี้ เล็งเห็นมรณะอยู่ตรงหน้า ถามย้ำๆซ้ำๆ ถึงหนทางแก้ไขและรักษา ท่านหมอส่ายหน้าแล้วขอตัวลากลับเมืองไป
ในความมืดมนของห้วงความทุกข์ เศรษฐีได้สติ กล่าวกับชาวเมืองว่า หากต้องตาย พ้นจากความเป็นมนุษย์ พวกเราควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อุทิศตนให้แก่พุทธศาสนา มาเถิดพวกเราจงมา ร่วมกันสวดมนต์อยู่ในวัด ระลึกถึงพระรัตนตรัย จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ชาวบ้านเห็นว่า ตลอดมาท่านเศรษฐีเป็นผู้พูดดี คิดดี ทำดี แม้ในเวลาประสบเคราะห์กรรมสาหัสก็ยังตั้งสติ เลือกเฟ้นว่าการใดควรทำในช่วงเวลานี้จะส่งผลดีที่สุด
ชาวบ้านทั้งหมดต่างพากันไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดแล้วนัดแนะรวมตัวกันสวดมนต์
และผลอัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อสวดมนต์จบ ทัองของชาวบ้านค่อยๆยุบ ความปั่นป่วนต่างๆหายไป
ทุกคนดีใจเป็นอันมาก เกิดกำลังใจตั้งจิตแน่วแน่ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยให้พ้นภัยในครั้งนี้
ไม่ช้าไม่นาน ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ท้องของชาวบ้านยุบลง และไม่ตายดังคำทำนายที่หมอต่างเมืองให้ไว้ เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนให้ได้สาธุการถึงผลอันเลิศ ผลอันประเสริฐของการสวดมนต์และนับถือพระพุทธศาสนา
เรื่องดังกล่าวเป็นที่เล่าขานในกาลต่อมา พร้อมกับความเชื่อที่ว่า “สวดมนต์คือยารักษาทุกโรค” ทุกคนล้วนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป
.........................................................................
น้องโบปิดหนังสือนิทานแล้วถามคุณแม่ว่า “คุณแม่คะ ผลไม้สีแดงในเรื่องใช่แตงโมที่น้องโบทานหรือเปล่าคะ”
คุณแม่ยิ้มๆแล้วตอบว่า “ก็อาจจะใช่”
น้องโบงุงงงสงสัย อาจจะใช่แปลว่าอะไร
คุณแม่บอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นนิทาน สิ่งที่เราอ่านอาจมีทั้งข้อมูลเรื่องจริงและสิ่งที่แต่งขึ้นมา เราไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด ต้องสังเกต ตั้งคำถาม รวบรวมข้อมูลไว้ในใจ เมื่อโตขึ้นก็หาข้อมูลเพิ่ม ถามผู้รู้ อ่านหนังสือ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับข้อสงสัยของเรา
น้องโบยิ่งฟังยิ่งงง ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “คุณแม่คะ น้องโบไม่เข้าใจ”
คุณแม่ยิ้มอ่อนแล้วบอกว่า “ตอนนี้น้องโบยังเล็ก อาจไม่เข้าใจเรื่องที่คุณแม่พูด ไม่เป็นไร...แต่วันนี้เป็นสิ่งดีมากที่น้องโบฟังนิทานแล้วเกิดความสงสัยมาตั้งคำถามกับคุณแม่ พรุ่งนี้คุณแม่จะให้รางวัลเป็นไอศกรีมถ้วยใหญ่และพาไปเที่ยว แต่คืนนี้น้องโบต้องเข้านอนก่อนนะคะ ดึกแล้ว”
คุณแม่ปิดไฟและมาห่มผ้าให้น้องโบ ก่อนรู้สึกอิ่มใจ รู้ดีว่าลูกยังเล็ก แม้สิ่งที่สอนเขาวันนี้ เขาจะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยเขาก็หัดตั้งคำถาม การสงสัยเป็นเรื่องดีเพราะจะนำมาสู่การสังเกต และตั้งสมมุติฐาน รวมถึงทดลองเพื่อหาคำตอบ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้ก้าวหน้าพัฒนา
แต่สิ่งที่คุณแม่ได้จากการอ่านนิทานให้ลูกฟังในวันนี้ คือ ความอิ่มใจ
ก่อนนอนคืนนี้ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ หลังจากละเลยเพราะความขี้เกียจ ความเหนื่อยในภาระหน้าที่แม่บ้านทั้งวัน อ่านนิทานสอนลูกแล้วก็ยังได้สอนใจตัวเองอีกด้วย คุณแม่รำพึง