สวัสดีค่ะ ที่มาตั้งกระทู้นี้ เพราะอยากได้ความคิดเห็นที่หลากหลาย เพื่อจะได้ทบทวนว่าเราทำอย่างนี้ มันเกินไปหรือเปล่า
เริ่มเรื่องคือ บ้านเราอยู่กัน 5 คน มีปู่ พ่อ แม่ เรา และน้องชาย
เราทำงานเป็นพนักงานบริษัท และได้ลงทุนเปิดร้านอาหารตามสั่งให้แม่ทำ ส่วนเราก็จะมาช่วยบ้างหลังเลิกงาน และวันหยุด
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ น้องชายเรา เริ่มติดเกมอย่างหนักมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว
เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แต่พอเริ่มติดเกมก็ไม่ยอมไปเรียน เอาแต่เล่นเกม จนต้องออกจากมหาวิทยาลัย
ทุกวันนี้ก็เอาแต่นั่งเล่นเกมทั้งวันทั้งคืน งานบ้านก็ไม่ค่อยจะช่วยทำ
ถ้าแม่ไม่ขอว่าทำนั่นให้หน่อยทำนี่ให้หน่อย คือจะไม่กระดิกตัวทำอะไรเลยนอกจากเล่นเกม
ตื่นมาก็เปิดคอม ข้าวปลาก็ให้แม่หามาให้กิน อยากกินขนมหรืออะไรก็แบมือขอเงินแม่
เราพยายามว่ากล่าวตักเตือนในฐานะพี่ คอยบอก คอยสอนเรื่องการใช้เงิน เรื่องการรับผิดชอบชีวิตว่าน้องอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้
แต่ก็ไม่เคยเข้าหัว จนเราเบื่อหน่ายจะพูด เราพูดจนเราโมโหว่าที่เราพูด ๆ ไปทั้งหมด ไม่มีความหมายเลยหรือไง
จนกระทั่งวันหนึ่งเราพูดออกไปเลยว่า โอเค ถ้าพูดแล้วไม่ฟังกัน ก็จะไม่พูดอีก และจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว
พ่อแม่ก็เช่นกัน สอนยังไงก็ไม่รู้สึก ไม่รับฟัง เถียงพ่อแม่ตลอด เราก็บอกพ่อแม่นะคะ
ว่าคนแบบนี้แค่พูดอย่างเดียวคงไม่ไหวแล้ว ต้องทำให้รู้สึกด้วยตัวเองว่าผลของการใช้ชีวิตแบบนี้จะเป็นอย่างไร
แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าพูด เราก็ไม่สนใจแล้ว เพราะเราถือว่าเราตัดขาดแล้ว เราไม่ยุ่งมากกว่านี้
ซึ่งก็ 2 - 3 ปีแล้วค่ะ ที่เราไม่พูดกับน้องเลย ไม่แม้แต่จะมอง เดินผ่านกันในบ้านเราก็เมินใส่ ไม่ยุ่งด้วยทั้งหมด
ที่เรารู้สึกแย่ที่สุดคือคุณปู่ ต้องการการดูแลเพราะท่านแก่แล้ว เรา พ่อ แม่ ก็มีงานการต้องทำน่ะค่ะ
น้องเราแทนที่อยู่บ้านจะช่วยดูท่านบ้างสักหน่อยก็ยังดี แต่นี่คือไม่สนใจใยดีอะไรเลย
เป็นเรา กับพ่อแม่ ที่ต้องกลับมาดูแลกันเองหลังเลิกงาน
-----------------------------------------------------------------------------------------
จุดแตกหักที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คือเราตัดสินใจออกจากงาน และมาทำร้านอาหารตามสั่งกับแม่แบบเต็มตัว
โดยจะซื้อตึกหลังหนึ่งติดถนนไว้เปิดร้าน และใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยในตัว
เรากับแม่ คือยังไงก็จะต้องมาอยู่ที่ตึกนี้แน่นอนเพราะต้องทำร้าน
เราลั่นวาจาไปว่า เราจะไม่ให้น้องมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ !
เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่บ้านเดิม น้องสร้างความรำคาญอย่างหนึ่งให้เราตลอด
คือเราเลิกงานมา เวลาจะนอนพักผ่อน น้องจะเล่นเกมเสียงดังมาก คุยกับคนในเกมเสียงดัง และพูดจาหยาบคาย
เราโมโหและบอกให้เงียบทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยหยุด
เราต้องเอาหูฟังมาเปิดเพลงฟังกลบเสียงทุกคืน ซึ่งบางทีเราก็อยากนอนเงียบ ๆ แบบสงบ ๆ ไม่ได้อยากนอนฟังเพลงให้หลับ
วันหยุดอยากพักผ่อนสบาย ๆ ไม่ต้องมีอะไรมารบกวน แต่ก็ทำไม่ได้
เลยเกิดปัญขึ้นมาเลยค่ะ ว่าจะเอายังไงกัน ถ้าเราไม่ให้น้องมาอยู่ด้วย
แม่กับปู่ต้องมาอยู่ เพราะเรากับแม่ จะสามารถดูแลปู่ได้ และเรากับแม่ต้องขายอาหารตามสั่งที่บ้านหลังใหม่นี้
พ่อกับแม่ ได้แต่พูดกับเราบอกว่า อย่าทำถึงขนาดนี้เลย บอกว่าเราใจร้ายเกินไป
พ่อบอกว่า ถ้าอย่างนี้พ่อก็อาจต้องอยู่บ้านเดิมกับน้องสองคน เพราะจะให้ทิ้งกันไปหมด พ่อก็ทำไม่ได้
แล้วคือบ้านหลังเดิม เป็นบ้านเช่านะคะ จริงๆ ก็ควรจะย้ายออก คืนบ้านให้เจ้าของแล้วมาอยู่บ้านใหม่กัน
แต่พอเราไม่ให้น้องอยู่ บ้านเดิมอาจต้องเช่ากันต่อ ซึ่งก็จะเกิดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
และเราก็บอกว่า เราจะไม่จ่ายค่าเช่าให้แล้ว เพราะเราไม่อยู่แล้ว
นั่นคือ พ่อก็ต้องหาเงินจ่ายค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟเอง ซึ่งแพงมาก เพราะน้องเปิดคอมกับแอร์ตลอดทั้งวัน
เราถือว่าเราได้พูดได้บอกแล้ว ว่าเราจะไม่ใยดีอีกต่อไป ถ้ายังเป็นแบบนี้ ถ้าน้องยังไม่ปรับปรุงตัวเอง
เราเคยให้โอกาสแล้วนะคะ ว่าให้กลับไปเรียน ให้รับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ให้ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
บอกจนเหนื่อยว่าเงินทองต้องช่วยกันประหยัดบ้าง ก็ไม่สน อยากใช้เท่าไหร่ก็ไปขอแม่
สำหรับเราคือเราไม่มีโอกาสที่จะมอบให้อีกแล้ว เพราะเราทนมาจนพอแล้ว มันสุดจะทนอีกแล้ว
น้องเคยรับโอกาสแก้ตัวจากเราไปแล้ว แต่ก็เอาไปทิ้งเอง ด้วยมือตัวเองทั้งนั้น
กับพ่อแม่ เราเคยพูดไว้แล้ว ว่าในอนาคต เราจะไม่เอาภาระคนนี้มาอยู่ในชีวิตนะ
ถ้าพ่อแม่ยังไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไขให้น้องดีขึ้นได้ เราก็ไม่รับรู้ด้วย
พ่อแม่ก็ได้แต่บอกว่า ก็พยายามอยู่
-----------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ
ส่วนตัวเรา เราไม่เครียดอะไรเลย เพราะเหมือนเราเลยจุดนั้นมาแล้ว เราจะใช้ชีวิตของเราค่ะ
และจะไม่เอาคน ๆ นี้เข้ามาเป็นภาระในบ้านเราอีกต่อไป ส่วนพ่อแม่จะทำยังไงกับน้อง ก็สุดแล้วแต่เลย
แต่เรายืนยันไปว่า ยังไงก็จะไม่ให้มาอยู่ และเงินจากการค้าขายในร้าน เราจะเป็นคนดูแลทั้งหมด และเราจะไม่ให้น้องแม้แต่บาทเดียว
เมื่อน้องเราเป็นเด็กติดเกม และเราจะไม่ให้น้องเข้าบ้านเรา
เริ่มเรื่องคือ บ้านเราอยู่กัน 5 คน มีปู่ พ่อ แม่ เรา และน้องชาย
เราทำงานเป็นพนักงานบริษัท และได้ลงทุนเปิดร้านอาหารตามสั่งให้แม่ทำ ส่วนเราก็จะมาช่วยบ้างหลังเลิกงาน และวันหยุด
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ น้องชายเรา เริ่มติดเกมอย่างหนักมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว
เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แต่พอเริ่มติดเกมก็ไม่ยอมไปเรียน เอาแต่เล่นเกม จนต้องออกจากมหาวิทยาลัย
ทุกวันนี้ก็เอาแต่นั่งเล่นเกมทั้งวันทั้งคืน งานบ้านก็ไม่ค่อยจะช่วยทำ
ถ้าแม่ไม่ขอว่าทำนั่นให้หน่อยทำนี่ให้หน่อย คือจะไม่กระดิกตัวทำอะไรเลยนอกจากเล่นเกม
ตื่นมาก็เปิดคอม ข้าวปลาก็ให้แม่หามาให้กิน อยากกินขนมหรืออะไรก็แบมือขอเงินแม่
เราพยายามว่ากล่าวตักเตือนในฐานะพี่ คอยบอก คอยสอนเรื่องการใช้เงิน เรื่องการรับผิดชอบชีวิตว่าน้องอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้
แต่ก็ไม่เคยเข้าหัว จนเราเบื่อหน่ายจะพูด เราพูดจนเราโมโหว่าที่เราพูด ๆ ไปทั้งหมด ไม่มีความหมายเลยหรือไง
จนกระทั่งวันหนึ่งเราพูดออกไปเลยว่า โอเค ถ้าพูดแล้วไม่ฟังกัน ก็จะไม่พูดอีก และจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว
พ่อแม่ก็เช่นกัน สอนยังไงก็ไม่รู้สึก ไม่รับฟัง เถียงพ่อแม่ตลอด เราก็บอกพ่อแม่นะคะ
ว่าคนแบบนี้แค่พูดอย่างเดียวคงไม่ไหวแล้ว ต้องทำให้รู้สึกด้วยตัวเองว่าผลของการใช้ชีวิตแบบนี้จะเป็นอย่างไร
แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าพูด เราก็ไม่สนใจแล้ว เพราะเราถือว่าเราตัดขาดแล้ว เราไม่ยุ่งมากกว่านี้
ซึ่งก็ 2 - 3 ปีแล้วค่ะ ที่เราไม่พูดกับน้องเลย ไม่แม้แต่จะมอง เดินผ่านกันในบ้านเราก็เมินใส่ ไม่ยุ่งด้วยทั้งหมด
ที่เรารู้สึกแย่ที่สุดคือคุณปู่ ต้องการการดูแลเพราะท่านแก่แล้ว เรา พ่อ แม่ ก็มีงานการต้องทำน่ะค่ะ
น้องเราแทนที่อยู่บ้านจะช่วยดูท่านบ้างสักหน่อยก็ยังดี แต่นี่คือไม่สนใจใยดีอะไรเลย
เป็นเรา กับพ่อแม่ ที่ต้องกลับมาดูแลกันเองหลังเลิกงาน
-----------------------------------------------------------------------------------------
จุดแตกหักที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คือเราตัดสินใจออกจากงาน และมาทำร้านอาหารตามสั่งกับแม่แบบเต็มตัว
โดยจะซื้อตึกหลังหนึ่งติดถนนไว้เปิดร้าน และใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยในตัว
เรากับแม่ คือยังไงก็จะต้องมาอยู่ที่ตึกนี้แน่นอนเพราะต้องทำร้าน
เราลั่นวาจาไปว่า เราจะไม่ให้น้องมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ !
เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่บ้านเดิม น้องสร้างความรำคาญอย่างหนึ่งให้เราตลอด
คือเราเลิกงานมา เวลาจะนอนพักผ่อน น้องจะเล่นเกมเสียงดังมาก คุยกับคนในเกมเสียงดัง และพูดจาหยาบคาย
เราโมโหและบอกให้เงียบทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยหยุด
เราต้องเอาหูฟังมาเปิดเพลงฟังกลบเสียงทุกคืน ซึ่งบางทีเราก็อยากนอนเงียบ ๆ แบบสงบ ๆ ไม่ได้อยากนอนฟังเพลงให้หลับ
วันหยุดอยากพักผ่อนสบาย ๆ ไม่ต้องมีอะไรมารบกวน แต่ก็ทำไม่ได้
เลยเกิดปัญขึ้นมาเลยค่ะ ว่าจะเอายังไงกัน ถ้าเราไม่ให้น้องมาอยู่ด้วย
แม่กับปู่ต้องมาอยู่ เพราะเรากับแม่ จะสามารถดูแลปู่ได้ และเรากับแม่ต้องขายอาหารตามสั่งที่บ้านหลังใหม่นี้
พ่อกับแม่ ได้แต่พูดกับเราบอกว่า อย่าทำถึงขนาดนี้เลย บอกว่าเราใจร้ายเกินไป
พ่อบอกว่า ถ้าอย่างนี้พ่อก็อาจต้องอยู่บ้านเดิมกับน้องสองคน เพราะจะให้ทิ้งกันไปหมด พ่อก็ทำไม่ได้
แล้วคือบ้านหลังเดิม เป็นบ้านเช่านะคะ จริงๆ ก็ควรจะย้ายออก คืนบ้านให้เจ้าของแล้วมาอยู่บ้านใหม่กัน
แต่พอเราไม่ให้น้องอยู่ บ้านเดิมอาจต้องเช่ากันต่อ ซึ่งก็จะเกิดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
และเราก็บอกว่า เราจะไม่จ่ายค่าเช่าให้แล้ว เพราะเราไม่อยู่แล้ว
นั่นคือ พ่อก็ต้องหาเงินจ่ายค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟเอง ซึ่งแพงมาก เพราะน้องเปิดคอมกับแอร์ตลอดทั้งวัน
เราถือว่าเราได้พูดได้บอกแล้ว ว่าเราจะไม่ใยดีอีกต่อไป ถ้ายังเป็นแบบนี้ ถ้าน้องยังไม่ปรับปรุงตัวเอง
เราเคยให้โอกาสแล้วนะคะ ว่าให้กลับไปเรียน ให้รับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ให้ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
บอกจนเหนื่อยว่าเงินทองต้องช่วยกันประหยัดบ้าง ก็ไม่สน อยากใช้เท่าไหร่ก็ไปขอแม่
สำหรับเราคือเราไม่มีโอกาสที่จะมอบให้อีกแล้ว เพราะเราทนมาจนพอแล้ว มันสุดจะทนอีกแล้ว
น้องเคยรับโอกาสแก้ตัวจากเราไปแล้ว แต่ก็เอาไปทิ้งเอง ด้วยมือตัวเองทั้งนั้น
กับพ่อแม่ เราเคยพูดไว้แล้ว ว่าในอนาคต เราจะไม่เอาภาระคนนี้มาอยู่ในชีวิตนะ
ถ้าพ่อแม่ยังไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไขให้น้องดีขึ้นได้ เราก็ไม่รับรู้ด้วย
พ่อแม่ก็ได้แต่บอกว่า ก็พยายามอยู่
-----------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ
ส่วนตัวเรา เราไม่เครียดอะไรเลย เพราะเหมือนเราเลยจุดนั้นมาแล้ว เราจะใช้ชีวิตของเราค่ะ
และจะไม่เอาคน ๆ นี้เข้ามาเป็นภาระในบ้านเราอีกต่อไป ส่วนพ่อแม่จะทำยังไงกับน้อง ก็สุดแล้วแต่เลย
แต่เรายืนยันไปว่า ยังไงก็จะไม่ให้มาอยู่ และเงินจากการค้าขายในร้าน เราจะเป็นคนดูแลทั้งหมด และเราจะไม่ให้น้องแม้แต่บาทเดียว