เรื่องราวนี้ เราเขียนขึ้นหลังจากที่เกิดเหตุการณ์มาแล้ว 2 วัน เพื่อไว้เตือนใจเราเอง เรื่องมันยาวค่ะ ยังไงก็ทนๆ อ่านหน่อยนะคะ อยากระบายค่ะ
วันที่บันทึก 07/04/57
เราสองคนอยู่ด้วยกันมาเกือบ 6 ปีแล้ว เคยเลิกกันและกลับมาคืนดีกันครั้งนึง ทะเลาะกันบ่อยๆ เขาเคยลงไม้ลงมือทุบตีเราก็หลายครั้ง จนเราบอกว่าอย่าตีเราอีกเลยเวลาทะเลาะกัน เราเจ็บและเกิดมาพ่อแม่ก็ไม่เคยทุบตีเราหรือทำร้ายให้เราเจ็บเนื้อเจ็บตัวขนาดนี้เลย ที่เราทนอยู่เพราะรัก ตอนหลังๆ มาเขาเลยพยายามไม่ทุบตีหรือทำร้ายเรา เวลาโมโห เขาจะไม่อยู่ในห้องเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ลืมตัวทำร้ายเรา เวลาดี เขาก็เป็นผู้ชายที่น่ารักชอบหยอกล้อ แต่เวลาโมโห เป็นผู้ชายที่อารมณ์ร้ายมากๆ
เราอยู่ด้วยกันแต่ทำงานคนละอย่าง ก่อนหน้านี้เขาช่วยน้องสาวดูแลร้านไอศกรีมและให้เช่าหนังสือ ต่อมากิจการไม่ดีเลยเปลี่ยนมาขายข้าวแกงเมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา เขาต้องตื่นมาช่วยทอดไข่ดาวและขายข้าวแกงตอนตีห้าทุกวัน ส่วนเราทำงานประจำ ตื่นหกโมงครึ่ง บางวันนอนดึกก็ตื่นเกือบเจ็ดโมง แล้วออกจากบ้านไปทำงานตอนเจ็ดโมงครึ่งทุกวัน
ด้วยความที่เขาไม่ชินกับการนอนตื่นเช้าทำให้เขาไม่สบายเป็นไซนัส เพราะนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ คือเขาต้องตื่นตี 5 มาช่วยที่ร้านขายข้าวแกงตอนเช้า และเก็บร้านตอนบ่ายสองทุกวัน หลังเก็บร้านเขาไม่ได้นอนพักผ่อน เพราะเล่นเกมและไปตกปลาบ้าง อ่านการ์ตูนบ้าง จะนอนอีกทีก็เมื่อเรากลับมาจากทำงานแล้ว บางวันก็นอน 4-5 ทุ่ม จนตัวเองเป็นไซนัส เขาก็บอกว่าต้องรีบนอนเร็วๆ พักผ่อนเยอะๆ เราก็เป็นห่วง เลยไปปรึกษาเภสัชกร ที่ร้านขายยา ก็ได้ยาพ่นจมูก ยาแก้อักเสบมาให้เขา เราก็ดูแลเท่าที่ดูแลได้ เพราะเขาไม่ยอมไปหาหมอ แต่ก็ไม่ยอมดูแลตัวเองเลย ยังทำตัวปกติเล่นเกม อ่านหนังสือการ์ตูน แต่นอนเร็วขึ้นหน่อย ประมาณ 3-4 ทุ่ม ก็นอนแล้ว
ช่วงที่เขาไม่สบาย เราไม่ก็ดูทีวีไม่อยากรบกวนเขา ละครเรื่องที่เคยดูก็ไม่ดู จนวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา เขาถามว่าไม่ดูทีวีเหรอ ก็เลยเปิดดู แล้วเพลินดูจนถึง 4 ทุ่มก็คิดว่าน่าจะปิดทีวีนอนละ พอปิดทีวีก็ยังไม่ได้เข้าไปนอน เดินดูนั่นนี่รอบห้องก่อน พอล้มตัวลงนอนเท่านั้นแหละ เขาก็พูดขึ้นมาว่า กูให้เวลาอาทิตย์นึงหลังเงินเดือนออก เก็บข้าวของย้ายออกไปเลย เราก็งง และตกใจว่าเราทำไรผิดอีกเนี่ยทำไมต้องไล่กันอีกแล้ว คือเขาไล่เราทุกครั้งเวลาที่เขาไม่พอใจเรา แต่เราไม่ไป เพราะถ้าเราไปเขาก็โกรธ เขาเคยบอกว่าถึงไล่ก็ไม่ต้องไปเดี๋ยวหายโมโหก็ดีเอง แต่คราวนี้เราไม่รู้ว่าเขาไล่จริงหรือเปล่าเพราะวันรุ่งขึ้นเรากลับจากที่ทำงานไปถึงห้อง เขาก็ไม่อยู่แล้ว ขนเสื้อผ้าไปนอนที่อื่น ไม่อยากเจอหน้าเรา พอตอนเช้าเราจะออกไปทำงาน ก็เลยเจอเขาที่ร้านขายข้าวแกง เราก็รีบไปหาเขาถามว่าไปนอนที่ไหนมา เขาก็ไล่เรา ว่าเรา ต่อหน้าคนอื่นและเรียกเราว่า ”ปลิง เกาะกูอยู่ได้ เห็นแก่ตัวกูจะนอนพักผ่อนก็ดูทีวีเสียงดังรบกวน” เราเสียใจมากที่เขาไม่ให้เกียรติเราเลย มีไรก็ไม่ยอมคุยกัน เอาแต่หนีหน้า หนีไปนอนที่อื่น และยังต่อว่าเราต่อหน้าคนอื่น สาเหตุที่เขาต่อว่าเราเพราะเรามีภาระหนี้สินเยอะ เมื่อตอนซื้อคอนโด เขาเคยเตือนแล้วแต่เราไม่ฟัง สุดท้ายเราก็ไม่ได้อยู่คอนโด เพราะถ้าอยู่ต้องแยกกันอยุ่กับเขา ซึ่งต้องดูแลแม่ของเขา เราเลยยอมให้คนเช่าแทน เมื่อมีภาระหนี้สินเยอะ เราทำงานมาก็ใช้หนี้ และซื้อของใช้ตัวเอง เมื่อเงินขาดมือเราก็ขอยืมจากเขา ไม่ได้ขอค่ะ ขอยืมคือจดบัญชีไว้เลยว่าเรายืมวันที่เท่าไร เอาไปทำอะไร กี่บาท ซึ่งก็ยืมเดือนนึงก็ประมาณ 2000-3000 บาท แล้วพอเงินเดือนออกเราก็คืนให้ แต่พอปลายเดือนก็ยืมใหม่วนอยู่แบบนี้ เวลาไปกินอะไร ก็หารกัน หรือถ้าไม่มากมายเขาก็เป็นคนออก แต่เวลาซื้อของมาใช้ด้วยกันเขาก็หาร ซื้อของส่วนตัวเราก็ลงบัญชีหนี้สินไว้ สรุปว่าเราอยู่กันเหมือนไม่ใช่คู่ เพราะเขาคิดกับเราทุกบาททุกสตางค์ค่ะ
เมื่อโดนว่าต่อหน้าคนอื่นๆแบบนั้น เราเลยรีบออกมาทำงาน ร้องไห้มาระหว่างมาทำงาน พอถึงที่ทำงานเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกัน คบกันมาเกือบ 20 ปี และทำงานที่เดียวกันก็สงสัยว่าเราเป็นไรทำไมตาบวมๆ เลยเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ให้กำลังใจ และบอกให้ตัดสินใจดีๆ เพราะเขาทำแบบนี้หลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยทุบตีเราจนเขียวช้ำหลายครั้งและไล่เราบ่อยๆเวลาที่ไม่พอใจเรา และการที่ด่าว่า เราต่อหน้าคนอื่นมันเหมือนไม่ให้เกียรติกันเลย ดังนั้นควรจะอยู่ด้วยกันอีกไหม เพื่อนเราก็บอกให้เราคิด เราก็คิดว่าควรจะออกมาดีกว่าเพราะถึงจะกลับมาดีกัน มันก็คงจะเหมือนเดิมอีกเรื่อยๆ เพื่อนก็เตือนว่าถ้าจะออกมาก็ควรบอกน้องสาวเขา เพราะน้องสาวเป็นคนเช่าตึกถือว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เราอยู่อาศัย ตอนสายวันนั้นเราเลยโทรไปหาน้องสาวเขาเพราะคิดว่าน้องสาวเขาคงพอจะเข้าใจเรา เพราะรู้ว่าพี่ชายตัวเองเป็นยังไง ก็โทรไปคุยด้วย แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยพูดเรื่องทีวีขึ้นมา
เรา : ทีวีอะ พี่ว่าจะขอซื้อต่อได้ป่าว
น้องสาว : แล้วยังไงอะ
เรา : คือว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เลยจะขอซื้อทีวี แล้วก็บอกจะเธอด้วยว่าจะย้ายออกนะ เพราะเธอเป็นเจ้าของบ้านเลยต้องบอกเธอก่อน (น้องสาวเขาเช่าตึกทำเป็นร้านข้าวแกงให้พี่ชายช่วยขายให้)
น้องสาว : ไม่ขายหรอกจะให้พี่ชายดู
เรา : พี่ชายเธอจะดูเหรอ ไหนบอกว่าต้องพักผ่อน
น้องสาว : เสาร์ อาทิตย์ ว่างๆ ก็ดูได้ คนเรานะไม่สบายต้องพักผ่อน แล้วพี่มาดูทีวีเสียงดังรบกวนแบบนี้ แล้วพี่ชายจะหายได้ยังไง ถ้าอยากได้ก็ไปหาซื้อใหม่เถอะ แล้วถ้าจะออกก็ออกไปเลย แค่นี้นะ
เรา : ….
เราได้ยินแบบนี้รู้สึกว่าครอบครัวเขาไม่ต้อนรับเราอีกแล้ว และทำให้เราตัดสินใจได้ว่าต้องรีบออกมาให้เร็วที่สุด วันนั้นเราตัดสินใจลางานช่วงบ่าย ไปดูหอพักและติดต่อรถขนของ เราไปถึงที่ตึกที่พักตอนสี่โมงเย็น เขายังอยู่ที่ร้านแต่ไม่ได้พูดอะไรกัน เราเดินขึ้นไปเก็บของที่ชั้น 3 พอรถขนของมาถึง เขาก็ไม่อยู่แล้ว ถามเด็กในร้านบอกว่าออกไปแล้วเอาของไปเยอะแยะเลย ก็เลยไม่ได้ลากันเลยสักคำ
ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ก็รู้สึกเศร้าใจนะ เพราะไม่ได้พูดคุยกันเลย นึกถึงวันก่อนที่เราจะย้ายออกมา เรายังเล่นกันอยู่เลย เขาบอกว่ายืนขายของนานเมื่อย ให้เราเลยนวดขา และเกาหลังให้ ยังหยอกล้อกันเล่นอยู่เลย ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงแค่ไม่พอใจที่เราดูทีวีก็ไล่เราละ รู้สึกว่ามันเร็วจังเลยความรู้สึกของคนเราเนี่ย หรือเขาไม่เคยรักเราถึงได้เปลี่ยนไป มาได้เร็วขนาดนี้
ทุกวันนี้เราก็คิดนะ ว่าถ้าวันนั้น เราไม่คุยกับน้องสาวเขา เราก็ยังคงอยู่ที่นั่น ไม่ออกไปไหน ตามที่เขาเคยบอกไว้ พอได้คุยกับน้องสาวเขาแล้วเราไม่อยากอยู่ที่นั่นเลย
ย้ายออกมาอยู่ที่ใหม่คนเดียวก็เหงาบ้างแต่ไม่ร้องไห้เลย รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะปกติเราเป็นคนที่ขี้แย อะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้ แต่เหตุการณ์คราวนี้ไม่ร้องไห้เลย รู้สึกแต่เจ็บใจเรื่องเดียว คือเรื่องที่น้องสาวเขาไล่เรา และคิดถึงเขาบ้างเป็นบางครั้ง
ตอนนี้รู้สึกว่าทำใจได้ในระดับหนึ่ง พอคิดถึงเขาก็เศร้า และหลอกตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเขายังรักเรา เดี๋ยวเค้าก็โทรมาหา หรือมาง้อเรา แต่ด้วยนิสัยของเขา คงไม่มีวันนั้นสำหรับเราหรอก ตอนนี้ได้แต่พยายามระงับความคิดถึง บอกตัวเองให้นึกถึงแม่ นึกถึงหลาน ครอบครัวเราที่รักและห่วงใยเราตลอดเวลา เราจะไม่ทำให้ครอบครัวเราเป็นห่วง พอคิดถึงแม่แล้วทำให้มีกำลังใจและหายเศร้า รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยล่ะ
เคยถามตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งเราลืมเขาได้แล้ว เขากลับมาง้อ เราจะยอมคืนดีกับเขามั้ย ตอนนี้ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่น้องสาวเขาพูดกับเรา เรารู้สึกว่ามันแรงนะ เรารับไม่ได้กับตรงนั้น น้องสาวเขาทำเหมือนเราไม่มีตัวตนไม่ได้เป็นคนในครอบครัวเขาแบบว่า ถ้าออกไปจากชีวิตพี่ชายเขาได้จะดีมากๆ เลย ประมาณนั้นแหละ มันทำให้เราตัดสินใจว่าเราไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว ไม่อยากรู้จักหรือยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวนี้แล้ว คือถ้าเขาเป็นคนไล่เราเองเหมือนทุกครั้งเราจะไม่ออกมาหรอก เพราะถ้าเราออกมาเขาจะยิ่งโกรธ แต่คราวนี้น้องสาวเขาพูดแบบนั้นมา มันเลยเป็นจุดที่ทำให้เราไม่อยากอยู่ต่อไป ยอมไปลำบากดีกว่าอยู่ใกล้คนที่คิดกับเราแบบนี้
แบบนี้เรียกว่า โง่หนัก เลยใช่ม่ั้ยคะ
วันที่บันทึก 07/04/57
เราสองคนอยู่ด้วยกันมาเกือบ 6 ปีแล้ว เคยเลิกกันและกลับมาคืนดีกันครั้งนึง ทะเลาะกันบ่อยๆ เขาเคยลงไม้ลงมือทุบตีเราก็หลายครั้ง จนเราบอกว่าอย่าตีเราอีกเลยเวลาทะเลาะกัน เราเจ็บและเกิดมาพ่อแม่ก็ไม่เคยทุบตีเราหรือทำร้ายให้เราเจ็บเนื้อเจ็บตัวขนาดนี้เลย ที่เราทนอยู่เพราะรัก ตอนหลังๆ มาเขาเลยพยายามไม่ทุบตีหรือทำร้ายเรา เวลาโมโห เขาจะไม่อยู่ในห้องเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ลืมตัวทำร้ายเรา เวลาดี เขาก็เป็นผู้ชายที่น่ารักชอบหยอกล้อ แต่เวลาโมโห เป็นผู้ชายที่อารมณ์ร้ายมากๆ
เราอยู่ด้วยกันแต่ทำงานคนละอย่าง ก่อนหน้านี้เขาช่วยน้องสาวดูแลร้านไอศกรีมและให้เช่าหนังสือ ต่อมากิจการไม่ดีเลยเปลี่ยนมาขายข้าวแกงเมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา เขาต้องตื่นมาช่วยทอดไข่ดาวและขายข้าวแกงตอนตีห้าทุกวัน ส่วนเราทำงานประจำ ตื่นหกโมงครึ่ง บางวันนอนดึกก็ตื่นเกือบเจ็ดโมง แล้วออกจากบ้านไปทำงานตอนเจ็ดโมงครึ่งทุกวัน
ด้วยความที่เขาไม่ชินกับการนอนตื่นเช้าทำให้เขาไม่สบายเป็นไซนัส เพราะนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ คือเขาต้องตื่นตี 5 มาช่วยที่ร้านขายข้าวแกงตอนเช้า และเก็บร้านตอนบ่ายสองทุกวัน หลังเก็บร้านเขาไม่ได้นอนพักผ่อน เพราะเล่นเกมและไปตกปลาบ้าง อ่านการ์ตูนบ้าง จะนอนอีกทีก็เมื่อเรากลับมาจากทำงานแล้ว บางวันก็นอน 4-5 ทุ่ม จนตัวเองเป็นไซนัส เขาก็บอกว่าต้องรีบนอนเร็วๆ พักผ่อนเยอะๆ เราก็เป็นห่วง เลยไปปรึกษาเภสัชกร ที่ร้านขายยา ก็ได้ยาพ่นจมูก ยาแก้อักเสบมาให้เขา เราก็ดูแลเท่าที่ดูแลได้ เพราะเขาไม่ยอมไปหาหมอ แต่ก็ไม่ยอมดูแลตัวเองเลย ยังทำตัวปกติเล่นเกม อ่านหนังสือการ์ตูน แต่นอนเร็วขึ้นหน่อย ประมาณ 3-4 ทุ่ม ก็นอนแล้ว
ช่วงที่เขาไม่สบาย เราไม่ก็ดูทีวีไม่อยากรบกวนเขา ละครเรื่องที่เคยดูก็ไม่ดู จนวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา เขาถามว่าไม่ดูทีวีเหรอ ก็เลยเปิดดู แล้วเพลินดูจนถึง 4 ทุ่มก็คิดว่าน่าจะปิดทีวีนอนละ พอปิดทีวีก็ยังไม่ได้เข้าไปนอน เดินดูนั่นนี่รอบห้องก่อน พอล้มตัวลงนอนเท่านั้นแหละ เขาก็พูดขึ้นมาว่า กูให้เวลาอาทิตย์นึงหลังเงินเดือนออก เก็บข้าวของย้ายออกไปเลย เราก็งง และตกใจว่าเราทำไรผิดอีกเนี่ยทำไมต้องไล่กันอีกแล้ว คือเขาไล่เราทุกครั้งเวลาที่เขาไม่พอใจเรา แต่เราไม่ไป เพราะถ้าเราไปเขาก็โกรธ เขาเคยบอกว่าถึงไล่ก็ไม่ต้องไปเดี๋ยวหายโมโหก็ดีเอง แต่คราวนี้เราไม่รู้ว่าเขาไล่จริงหรือเปล่าเพราะวันรุ่งขึ้นเรากลับจากที่ทำงานไปถึงห้อง เขาก็ไม่อยู่แล้ว ขนเสื้อผ้าไปนอนที่อื่น ไม่อยากเจอหน้าเรา พอตอนเช้าเราจะออกไปทำงาน ก็เลยเจอเขาที่ร้านขายข้าวแกง เราก็รีบไปหาเขาถามว่าไปนอนที่ไหนมา เขาก็ไล่เรา ว่าเรา ต่อหน้าคนอื่นและเรียกเราว่า ”ปลิง เกาะกูอยู่ได้ เห็นแก่ตัวกูจะนอนพักผ่อนก็ดูทีวีเสียงดังรบกวน” เราเสียใจมากที่เขาไม่ให้เกียรติเราเลย มีไรก็ไม่ยอมคุยกัน เอาแต่หนีหน้า หนีไปนอนที่อื่น และยังต่อว่าเราต่อหน้าคนอื่น สาเหตุที่เขาต่อว่าเราเพราะเรามีภาระหนี้สินเยอะ เมื่อตอนซื้อคอนโด เขาเคยเตือนแล้วแต่เราไม่ฟัง สุดท้ายเราก็ไม่ได้อยู่คอนโด เพราะถ้าอยู่ต้องแยกกันอยุ่กับเขา ซึ่งต้องดูแลแม่ของเขา เราเลยยอมให้คนเช่าแทน เมื่อมีภาระหนี้สินเยอะ เราทำงานมาก็ใช้หนี้ และซื้อของใช้ตัวเอง เมื่อเงินขาดมือเราก็ขอยืมจากเขา ไม่ได้ขอค่ะ ขอยืมคือจดบัญชีไว้เลยว่าเรายืมวันที่เท่าไร เอาไปทำอะไร กี่บาท ซึ่งก็ยืมเดือนนึงก็ประมาณ 2000-3000 บาท แล้วพอเงินเดือนออกเราก็คืนให้ แต่พอปลายเดือนก็ยืมใหม่วนอยู่แบบนี้ เวลาไปกินอะไร ก็หารกัน หรือถ้าไม่มากมายเขาก็เป็นคนออก แต่เวลาซื้อของมาใช้ด้วยกันเขาก็หาร ซื้อของส่วนตัวเราก็ลงบัญชีหนี้สินไว้ สรุปว่าเราอยู่กันเหมือนไม่ใช่คู่ เพราะเขาคิดกับเราทุกบาททุกสตางค์ค่ะ
เมื่อโดนว่าต่อหน้าคนอื่นๆแบบนั้น เราเลยรีบออกมาทำงาน ร้องไห้มาระหว่างมาทำงาน พอถึงที่ทำงานเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกัน คบกันมาเกือบ 20 ปี และทำงานที่เดียวกันก็สงสัยว่าเราเป็นไรทำไมตาบวมๆ เลยเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ให้กำลังใจ และบอกให้ตัดสินใจดีๆ เพราะเขาทำแบบนี้หลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยทุบตีเราจนเขียวช้ำหลายครั้งและไล่เราบ่อยๆเวลาที่ไม่พอใจเรา และการที่ด่าว่า เราต่อหน้าคนอื่นมันเหมือนไม่ให้เกียรติกันเลย ดังนั้นควรจะอยู่ด้วยกันอีกไหม เพื่อนเราก็บอกให้เราคิด เราก็คิดว่าควรจะออกมาดีกว่าเพราะถึงจะกลับมาดีกัน มันก็คงจะเหมือนเดิมอีกเรื่อยๆ เพื่อนก็เตือนว่าถ้าจะออกมาก็ควรบอกน้องสาวเขา เพราะน้องสาวเป็นคนเช่าตึกถือว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เราอยู่อาศัย ตอนสายวันนั้นเราเลยโทรไปหาน้องสาวเขาเพราะคิดว่าน้องสาวเขาคงพอจะเข้าใจเรา เพราะรู้ว่าพี่ชายตัวเองเป็นยังไง ก็โทรไปคุยด้วย แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยพูดเรื่องทีวีขึ้นมา
เรา : ทีวีอะ พี่ว่าจะขอซื้อต่อได้ป่าว
น้องสาว : แล้วยังไงอะ
เรา : คือว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เลยจะขอซื้อทีวี แล้วก็บอกจะเธอด้วยว่าจะย้ายออกนะ เพราะเธอเป็นเจ้าของบ้านเลยต้องบอกเธอก่อน (น้องสาวเขาเช่าตึกทำเป็นร้านข้าวแกงให้พี่ชายช่วยขายให้)
น้องสาว : ไม่ขายหรอกจะให้พี่ชายดู
เรา : พี่ชายเธอจะดูเหรอ ไหนบอกว่าต้องพักผ่อน
น้องสาว : เสาร์ อาทิตย์ ว่างๆ ก็ดูได้ คนเรานะไม่สบายต้องพักผ่อน แล้วพี่มาดูทีวีเสียงดังรบกวนแบบนี้ แล้วพี่ชายจะหายได้ยังไง ถ้าอยากได้ก็ไปหาซื้อใหม่เถอะ แล้วถ้าจะออกก็ออกไปเลย แค่นี้นะ
เรา : ….
เราได้ยินแบบนี้รู้สึกว่าครอบครัวเขาไม่ต้อนรับเราอีกแล้ว และทำให้เราตัดสินใจได้ว่าต้องรีบออกมาให้เร็วที่สุด วันนั้นเราตัดสินใจลางานช่วงบ่าย ไปดูหอพักและติดต่อรถขนของ เราไปถึงที่ตึกที่พักตอนสี่โมงเย็น เขายังอยู่ที่ร้านแต่ไม่ได้พูดอะไรกัน เราเดินขึ้นไปเก็บของที่ชั้น 3 พอรถขนของมาถึง เขาก็ไม่อยู่แล้ว ถามเด็กในร้านบอกว่าออกไปแล้วเอาของไปเยอะแยะเลย ก็เลยไม่ได้ลากันเลยสักคำ
ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ก็รู้สึกเศร้าใจนะ เพราะไม่ได้พูดคุยกันเลย นึกถึงวันก่อนที่เราจะย้ายออกมา เรายังเล่นกันอยู่เลย เขาบอกว่ายืนขายของนานเมื่อย ให้เราเลยนวดขา และเกาหลังให้ ยังหยอกล้อกันเล่นอยู่เลย ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงแค่ไม่พอใจที่เราดูทีวีก็ไล่เราละ รู้สึกว่ามันเร็วจังเลยความรู้สึกของคนเราเนี่ย หรือเขาไม่เคยรักเราถึงได้เปลี่ยนไป มาได้เร็วขนาดนี้
ทุกวันนี้เราก็คิดนะ ว่าถ้าวันนั้น เราไม่คุยกับน้องสาวเขา เราก็ยังคงอยู่ที่นั่น ไม่ออกไปไหน ตามที่เขาเคยบอกไว้ พอได้คุยกับน้องสาวเขาแล้วเราไม่อยากอยู่ที่นั่นเลย
ย้ายออกมาอยู่ที่ใหม่คนเดียวก็เหงาบ้างแต่ไม่ร้องไห้เลย รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะปกติเราเป็นคนที่ขี้แย อะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้ แต่เหตุการณ์คราวนี้ไม่ร้องไห้เลย รู้สึกแต่เจ็บใจเรื่องเดียว คือเรื่องที่น้องสาวเขาไล่เรา และคิดถึงเขาบ้างเป็นบางครั้ง
ตอนนี้รู้สึกว่าทำใจได้ในระดับหนึ่ง พอคิดถึงเขาก็เศร้า และหลอกตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเขายังรักเรา เดี๋ยวเค้าก็โทรมาหา หรือมาง้อเรา แต่ด้วยนิสัยของเขา คงไม่มีวันนั้นสำหรับเราหรอก ตอนนี้ได้แต่พยายามระงับความคิดถึง บอกตัวเองให้นึกถึงแม่ นึกถึงหลาน ครอบครัวเราที่รักและห่วงใยเราตลอดเวลา เราจะไม่ทำให้ครอบครัวเราเป็นห่วง พอคิดถึงแม่แล้วทำให้มีกำลังใจและหายเศร้า รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยล่ะ
เคยถามตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งเราลืมเขาได้แล้ว เขากลับมาง้อ เราจะยอมคืนดีกับเขามั้ย ตอนนี้ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่น้องสาวเขาพูดกับเรา เรารู้สึกว่ามันแรงนะ เรารับไม่ได้กับตรงนั้น น้องสาวเขาทำเหมือนเราไม่มีตัวตนไม่ได้เป็นคนในครอบครัวเขาแบบว่า ถ้าออกไปจากชีวิตพี่ชายเขาได้จะดีมากๆ เลย ประมาณนั้นแหละ มันทำให้เราตัดสินใจว่าเราไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว ไม่อยากรู้จักหรือยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวนี้แล้ว คือถ้าเขาเป็นคนไล่เราเองเหมือนทุกครั้งเราจะไม่ออกมาหรอก เพราะถ้าเราออกมาเขาจะยิ่งโกรธ แต่คราวนี้น้องสาวเขาพูดแบบนั้นมา มันเลยเป็นจุดที่ทำให้เราไม่อยากอยู่ต่อไป ยอมไปลำบากดีกว่าอยู่ใกล้คนที่คิดกับเราแบบนี้