คือจากสังคมไทยและสังคมโลกทุกวันนี้ที่มีการแข่งขันกันสูงท่ามกลางสังคมแบบทุนนิยมสังคมวัตถุที่ใครมีทุนมีเงินเยอะเท่ากับมีโอกาสจนบางคนถึงกับสนใจเรื่องพวกนี้มากกว่าจิตใจตัวเอง จนบางครั้งะเลยสุขภาพจิตใจตัวเอง บางคนถึงกับกดดันตัวเอง เวลาพักผ่อนก็ไม่ปล่อยความกังวล คิดกระสับกระส่ายว้าวุ่นใจ แย่ขึ้นมาก็ป่วยทางจิต เป็นโรคเครียด เป็น ซึมเศร้า หนักสุดก็ฆ่าตัวตาย(พบได้จากหลายตัวอย่างทั้งในสังคมไทยและต่างประเทศ แต่ต่างประเทศจะเห็นบ่อย) เป็นบ้า เสียสติ จขกทเลยอยากความคิดเห็นทุกๆท่านว่าเราสามารถเอาหลักการฝึกสติ การบริหารจัดการจิตใจ การฝึกฝนควบคุมจิตใจตามแบบพุทธมาดูแล เยียวยา รักษาสุขภาพจิตให้แข็งแรงได้หรือไม่ครับแบบที่เขาไม่รู้ว่านี่คือหลักพุทธ ที่พูดมาแบบนี้เพราะอะไร เพราะ1.บางคนไม่ได้นับถือพุทธ 2.บางคนนับถือแค่ในทะเบียนบ้านและหลายคนจะเป็นพวกเรียนศาสตร์ทางโลกมามากจนต่อต้านศาสนาพอพูดเรื่องศาสนาเรื่องพุทธจะยี้ (แนวคนแอนตี้ความงมงายมีอีโก้มีทิฐิแนวนักวิทยาศาสตร์สูง)3.ข้อนี้คล้ายข้อ2คือคนรุ่นใหม่นอกจากจะคิดว่าศาสนารวมถึงพุทธเป็นเรื่องงมงายล้าสมัยแล้วยังมองว่าน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจขวางโลกขวางยุคสมัย เราจะใช้หลักการจิตวิทยาแบบพุทธมาดูแลสุขภาพจิตยังไงให้เขาไม่มองเป็นเรื่องศาสนาอันน่าเบื่อล้าสมัยให้ อยากให้เขามองว่ามันก็เหมือนการที่เราดูแลสุขภาพกายแต่นี่คือสุขภาพจิตแทน ให้เขามองว่าเป็นศาสตร์เป็นปรัชญาที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น(เพื่อนจขกทพอพูดถึงเรื่องการดูแลจิตใจในเชิงธรรมะมันรีบหนีทันที)
ปล.ก็ตามที่บอกแหละสังคมทุกวันนี้คิดทำงานหนักอบบสุดโต่งแล้วจะดีจนเผลอกดดันตัวเองหลายต่อหลายครั้งจนเครียด เราสามารถใช้คำแบบทั่วไปที่ไม่ได้ผูกขาดศาสนาแบบที่หลวงปู่ติชนัทฮันที่เป็นพระเซนชื่อดังคนเวียดนามแห่งหมู่บ้านพลัมได้หรือไม่ครับ
ปล.2คุ้นๆว่าทุกวันนี้ทางวงการสุขภาพจิต จิพแพทย์รับเอาหลักการฝึกสติแบบพุทธมาใช้กับการบำบัดสุขภาพจิตเยอะขึ้นมาก เราสามารถเอามาใช้ในวงกว้างได้ไหมครับ ใช้ให้คนที่อคติกับศาสนาและการยึดเหนี่ยวจิตใจเขามองข้ามและคิดว่ามันเป็นปรัชญาการใช้ชีวิต เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ใช้ได้จริงสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์
ปล.สุดท้าย ที่จขกทเอามาตั้งเพราะมีเหตุจูงใจจากกรณีแฟนเก่าและกรณีพี่เหมที่เป็นดาราืจริงๆสนใจประเด็นนี้นานแล้ว แต่พอมีข่าวพี่เหมผูกคอตายเลยทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการตั้งกระทู้ประเด็นนี้
เราสามารถปรับใช้หลักการฝึกสติของพระพุทธศาสนาหรือพุทธปรัชญามาใช้กับสังคมวงกว้างที่กำลังตึงเครียดจากการงานและวัตถุได้ไหม?
ปล.ก็ตามที่บอกแหละสังคมทุกวันนี้คิดทำงานหนักอบบสุดโต่งแล้วจะดีจนเผลอกดดันตัวเองหลายต่อหลายครั้งจนเครียด เราสามารถใช้คำแบบทั่วไปที่ไม่ได้ผูกขาดศาสนาแบบที่หลวงปู่ติชนัทฮันที่เป็นพระเซนชื่อดังคนเวียดนามแห่งหมู่บ้านพลัมได้หรือไม่ครับ
ปล.2คุ้นๆว่าทุกวันนี้ทางวงการสุขภาพจิต จิพแพทย์รับเอาหลักการฝึกสติแบบพุทธมาใช้กับการบำบัดสุขภาพจิตเยอะขึ้นมาก เราสามารถเอามาใช้ในวงกว้างได้ไหมครับ ใช้ให้คนที่อคติกับศาสนาและการยึดเหนี่ยวจิตใจเขามองข้ามและคิดว่ามันเป็นปรัชญาการใช้ชีวิต เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ใช้ได้จริงสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์
ปล.สุดท้าย ที่จขกทเอามาตั้งเพราะมีเหตุจูงใจจากกรณีแฟนเก่าและกรณีพี่เหมที่เป็นดาราืจริงๆสนใจประเด็นนี้นานแล้ว แต่พอมีข่าวพี่เหมผูกคอตายเลยทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการตั้งกระทู้ประเด็นนี้