☀มงกุฎอัคคี  ตอนที่ ๔ อามิน .................. {อสิตา}

กระทู้สนทนา
☀มงกุฎอัคคี  
ตอนที่ ๑ ปฐมบท ต้นเพลิง 
https://pantip.com/topic/39253472
ตอนที่ ๒ องค์ชาย 
https://pantip.com/topic/39256876
ตอนที่ ๓ นางทาส
https://pantip.com/topic/39259835

คุณ zionzany 
- 55ภาพตัดเร็วนิดนึงค่ะ เดี๋ยวกลับมาเดินเรื่องแบบปกติละ


เขามิเคยให้ความใส่ใจชีวิตใดมานานแล้ว นับแต่วันที่ชีวิตคนสำคัญที่สุดหลุดลอยพ้นมือ

ความโศกเศร้าทำให้ลืมเลือนอีกสัมผัสหนึ่งยามต้องธนูบาดเจ็บ น้ำเสียงหนึ่งนั้นที่ต้องตรึงในจิต จนตั้งใจว่าจักตามหา ทว่าด้วยความตายของอนัค ฤทธิ์ของหยาดน้ำตาตกใน...ดุจหยาดฝนกรดกร่อนกลืนความต้องการส่วนตัวใดๆ ทั้งมวลจนมลายหาย

แต่ที่แท้ สัมผัสแลสุ้มเสียงนั้นไม่เคยหายไปจริงดั่งว่า มันซ่อนตัว เร้นลึกอยู่ในอก
จนวันที่เจ้าร้องเรียกชื่อของข้า วันนี้เอง...

นางอยู่ในชุดนุ่งน้อย เปิดเปลือยผิวเนื้อส่วนอื่นเสียสิ้น เว้นเสียแต่ช่วงอกยังมีผ้าแถบขะมุกขะมอมคล้ายเศษหนังเสือดาวเก่าคร่ำคร่ารัดพัน ช่วงล่างเป็นผ้ายาวพลิ้วรุ่งริ่งแทบจะหลุดเป็นชิ้นๆ ปกปิดสิ่งใดมิได้กี่มากน้อย แต่เตมันรู้สึก...ยังมีสิ่งละอันพันละน้อยอีกนับหมื่นแสนซ่อนในดวงตานางให้ได้ค้นหา สตรีผู้นี้คือ ‘มายา’ ชวนลุ่มหลงอันปรากฏต่อหน้า นางมิได้สวยจัด แต่กลับโฉบเฉี่ยวจับตาตรึงใจ เหมือนกรงเล็บที่ยื่นคว้ามาขยุ้มวิญญาณนักล่าที่ดุร้ายของเขาเอาไว้ได้ ในชุดสกปรกมอมแมม...ยังงามสง่ายิ่งกว่าวิชชรี องค์หญิงอันดับหนึ่งแห่งคามา

มีด้วยหรือ ความปฏิพัทธ์พิศวาสที่กรากเข้าเกาะกุมใจแต่แรกพบ เตมันมิเคยเชื่อ จนเวลานี้ ที่นางมาตะโกนเกรี้ยวกราด ขานนามเขาต่อหน้าเหล่าทาสบรรณาการศึก...วูบหนึ่ง เขามิอยากให้ใครได้แตะต้องหรือสัมผัสนางแม้เพียงด้วยสายตา ไม่คาด เจ้าหน้าที่ตีตราทาสกลับทำการอุกอาจกระแทกตราเหล็กเผาไฟใส่ร่างนางเสือสาวผู้อ่อนล้าจนล้มลงหมอบคลุกฝุ่น

“ขออภัยองค์ชาย ข้าบังอาจปล่อยนางทาสชั้นต่ำหลุดมาทางท่าน”

“เจ้า...” เตมันเผยอคำกระซิบยามก้าวไปถึง “ช่างบังอาจมากจริงๆ ”
สิ้นคำ ดาบที่สะพายเคียนเอวถูกชักตวัดฟันชายเคราะห์ร้ายจนร่างขาดสะพายแล่ง...

ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริด องค์ชายมิเอ่ยคำใดนอกจากก้มลงช้อนร่างปวกเปียกของนางเสือดาวขึ้นพาดบ่าง่ายๆ ดุจนางคือเหยื่อที่ตนล่าได้ และกำลังจะแบกกลับไปชำแหละเนื้อเถือหนัง

แม้มีเวียงวังโอฬารแนบข้างภูผาหิน แต่ชีวิตของคามานั้นเคยชินกับการตั้งค่ายย้ายกระโจมรอนแรมทำการรบ โดยเฉพาะชีวิตขององค์ชายชาญศึก น้อยนักจะได้อยู่ใต้วังรโหฐาน แต่ค่ายพักนี้ก็ดูงดงามสมเกียรติด้วยศิลปะอันผสานเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกับธรรมชาติ

ณ กระโจมหลังใหญ่ที่สุด ลาดปูพื้นด้วยแผ่นหนังกวางเนื้อนิ่มให้เหยียบย่ำ 

ตกค่ำลงแล้ว...นางยังไม่ฟื้น เมื่อรัชทายาทผู้ยิ่งยงก้าวเท้ากลับไปยังกระโจม จึงได้เห็นร่างเพรียวระหงสมส่วนนอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอนของเขา ฟูกสูงๆ ต่ำๆ ลดหลั่น ทอดปูด้วยหนังสัตว์นุ่มหนากองพะเนินขึ้นไปจากพื้น สอดรับกับกลางคืนของที่นี่ซึ่งอากาศกำลังเย็นลงทุกขณะ แสงจากคบไฟเต้นระริก ทอดทอลงจับผิวนวลเนียนดุจเนื้อทรายที่ยามนี้ได้เกิดรอยตำหนิขึ้นแล้ว 

เตมันยิ้มมุมปาก จากที่ได้ยลไปบ้าง...ร่างนางมีกล้ามเนื้องามสมส่วน แต่ไร้รอยแผล ชะรอยคงทำงานหนักมาก่อน ครั้นหมอยาเข้ามาถอดผ้าแถบพันอกของนางเพื่อรักษาแผล พร้อมเหล่านางรับใช้จำนวนหนึ่งซึ่งเข้ามาช่วยทำความสะอาดร่างกาย เขากลับเมินมองไปทางอื่นอย่างจงใจ

อาจเพราะนางไม่เหมือนหญิงใดที่เคยผ่าน อาจเพราะเสือสาวตัวนี้มีท่าทีองอาจผยองนัก เตมันอยากใช้เวลาวิ่งไล่จับให้เนิ่นนานสักหน่อย จึงค่อยจ้วงแทงด้วยอาวุธร้ายอย่างอ่อนหวานในท้ายที่สุด

นางยังไม่ยอมตื่น ท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าในท่านอนคว่ำหน้า เขาเดินเข้าไป หย่อนกายลงนั่งบนกองขนสัตว์สูงเหนือกายนาง ปล่อยให้ร่างแน่งน้อยที่อยู่ในอาการหลับใหลฟุบหมอบใกล้กับตักตน...มือใหญ่ค่อยๆ เอื้อมเข้าหา แตะไล้บนผิวสีสวยดั่งทรายย้อมสีทองของแดดกล้า

กลิ่นนี้แหละ เหมือนที่ข้าเคยได้สัมผัสในความฝัน 
นัยน์ตาที่รุ่มร้อนปรากฏแววอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน สตรีตรงหน้านี้อาจไม่ใช่นางในฝันซึ่งเคยหมายใจจะตามหา แต่มีเพียงนางที่กระตุ้นเตือนให้หวนระลึกถึงอดีตอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้

ร่างน้อยพลันเขยื้อนไหวสะดุ้งกาย แต่ยังมิทันผวาผละจากก็ถูกมือใหญ่กดลงไว้กับที่อย่างอ่อนโยน

“จุ๊ อย่าขยับ” หางเสียงแฝงรอยเอื้อเอ็นดูปนขบขัน

“ท่าน ต้องการอะไร” เสียงแหบพร่ายังคล้ายคำราม ไม่ต่างจากยามเผชิญหน้าเมื่อตอนกลางวัน

“ข้า...ต้องการถาม เหตุใดเจ้าจึงกล้าดีเอ่ยนามข้าได้เต็มปากเต็มคำเช่นนั้น นางทาส” องค์ชายกระซิบแผ่ว “น่าเสียดายผิวเนื้อสวยๆ แต่ไม่ต้องห่วง คนผู้บังอาจลงรอยประทับนี้แก่เจ้า ข้าบั่นหัวมันไปแล้วด้วยมือของข้าเอง”

ผู้ฟังแค่นเสียงเฮอะออกมาคำหนึ่ง “เขาผิดรึ”

“ว่ากระไรนะ” เตมันนิ่วหน้าเล็กน้อย

“ก็ในเมื่อทาสที่จับมาคือสมบัติท่าน สัญลักษณ์คามาในมือเขาก็ของท่าน...แล้วคนถือเหล็กเผาไฟนั่นผิดอะไร” ผิดอะไร ก็แค่ข้าทาสบริวารผู้ไร้อำนาจต่อกรในทุกทาง ไม่ว่าจะการกระทำหรือกระทั่งความคิด

“อืม” คนฟังหัวเราะเบาๆ “จะว่าไปก็จริง...แต่ข้ายั้งดาบไม่ทันตอนเห็นมันลงมือกับเจ้า ไม่รู้ว่าทำไม” 
สิ้นคำ ผู้ยิ่งยงแห่งคามาจึงยื่นนิ้วลงไปม้วนพันเส้นผมนางเล่นอย่างหยอกเอิน 
“แล้วที่ว่า มาทวงชีวิตคนอย่างเตมันคนนี้ หมายความเช่นไร” คนถามเลิกคิ้วสูง จับจ้องราวกับจะกลืนร่างตรงหน้าเข้าไป

หญิงสาวหลับตาลงหนีภาพใบหน้างดงามราวเทวะขององค์ชายอย่างอ่อนล้า นางยังไม่พร้อมจะต่อตาหรือโต้ตอบเขาในเวลานี้ เวลาที่มือซึ่งเคยแต่สังหารเข่นฆ่ากลับค่อยๆ เคลื่อนไหวเนิบช้า ยื่นเข้ามาเปลี่ยนยาและผ้าปิดแผลให้สตรีอ่อนแอเพียงคนหนึ่ง ผู้ถูกปรนนิบัติได้แต่ทอดถอนใจ หวนนึกถึงช่วงเวลาซึ่งตนเคยเป็นฝ่ายดูแลเขาในกระโจมเล็กห่างไกลจากสายตาผู้ใด

“ถือเสียว่าท่านกำลังตอบแทนข้า...”

“หืม”

“ยังจำได้หรือไม่...ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” คนที่ยังฟุบกายพูดแผ่ว “ช่างเถอะ ข้าว่าท่านคงลืมไปแล้ว แต่ตัวข้านั้นเคยช่วยชีวิตชายผู้ก้าวร้าวคนหนึ่งเอาไว้ ไม่คาด มือโสมมนั่นช่างบังอาจจาบจ้วงข้านัก เขาเลยโดนข้าถีบเสียตกแคร่”

เจ้าของมือใหญ่ชะงักค้าง เรื่องที่นางเอ่ยเขาไม่เคยลืม และยิ่งไม่เคยเล่าต่อผู้ใด
“เป็นเจ้า...” นี่มันช่าง...เหลือเชื่อ

คนฟังหลับตา ประเสริฐ...เขายังไม่ลืม นางยอมรับ เมื่อนานนมมาแล้ว ยามนั้นสายใยอ่อนบางเชื่อมโยงนางและเขา ทำเอาตัวอามินเองยังใฝ่ฝัน หวั่นไหว ทั้งยังนึกถึงองค์ชายผู้นี้ไม่คลายเมื่อต้องแยกจาก

แต่เวลานี้ ใจข้าหาได้มีสิ่งใดเหมือนเดิม แม้เพียงนิด...

ก่อนที่เหตุการณ์ในกระโจมจะดำเนินไปไกลกว่านั้น เสียงหนึ่งกลับแว่วเข้าหู ไม่ดัง และไม่ค่อย

“องค์เตมัน” ไม่เพียงเสียงเรียก เจ้าตัวยังแหวกผ้ากระโจมเข้ามาอย่างอุกอาจ “ข้ามีเรื่อง...เอ่อ ขออภัย”

หางเสียงมีแววขอลุแก่โทษ แต่มิได้มีความเสียใจที่พรวดพราดเข้ามา อามินพลันรู้สึกถึงผ้าห่มขนสัตว์ที่ถูกตวัดขึ้นคลุมร่างนางอย่างว่องไว มิยอมให้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางต้องสายตาผู้ใด

“ท่านครูบามีธุระใด”

แม้สุ้มเสียงเตมันจะบ่งชัดว่าขัดเคืองที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็เปี่ยมแววเคารพเชื่อมั่นในตัวผู้มาใหม่ จนนางที่ถูกอำพรางไว้ใต้ผ้าห่มยังต้องพยายามเอี้ยวตัวไปมอง

“ธุระสำคัญ ต้องขอเชิญที่กระโจมข้า ไม่สะดวกให้คนนอกได้ยิน”

แล้วนางก็ได้เห็น...ชายผู้หนึ่ง กิริยาค้อมกายสำรวมดูภักดียิ่ง จากความภูมิฐาน คาดว่าคงอายุราวสี่สิบไปแล้ว เค้าหน้ายังหนุ่มแน่นงดงาม แต่เห็นริ้วรอยกดลึกตรงมุมปาก ที่โดดเด่นคือศิราภรณ์เขากวางทรงสง่า คงเป็นกวางตัวผู้ที่งดงามเป็นหนึ่งในพงไพร แต่เจ้าตัวเชื่องลงให้องค์ชายเสมือนดังเช่นสมันน้อยในกำมือ...ถัดลงมา บนใบหน้ามีผ้าสีน้ำตาลปิดพันช่วงตาไว้ ตาบอดหรือ แต่ไยกลับเคลื่อนไหวไม่เงอะงะเหมือนคนตาดี น่าแปลก ทั้งตอนนี้ที่ถูกนางเหลียวหันจับจ้อง เขายังทำทีเหมือนกำลังทอดตามาสบตานางเช่นกัน

“นางคือ ? ”

เตมันส่งเสียงในลำคอคล้ายพึงใจ ก่อนตอบ 
“นางทาสคนใหม่ของข้าเอง...”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่