☀มงกุฎอัคคี
ตอนที่ ๑ ปฐมบท ต้นเพลิง
https://pantip.com/topic/39253472
ตอนที่ ๒ องค์ชาย
https://pantip.com/topic/39256876
ตอนที่ ๓ นางทาส
https://pantip.com/topic/39259835
ตอนที่ ๔ อามิน
https://pantip.com/topic/39262780
นางทาสขององค์ชาย...กลับกลายเป็นตำแหน่งอันสูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ
บุรุษอย่างเตมันไม่เคยวางผู้ใดไว้ข้างกายมาก่อน นอกจากครูบาหรือท่านราชครูที่สั่งสอนตนมา เขายังไม่เคยไว้ใจใครแม้แต่ผู้เดียว
“องค์เตมัน หากว่านางทาสเป็นไส้ศึกแฝงมา เช่นนั้นท่านจะมิย้อนนึกเสียใจหรือ ภูมิหลังของนางตรวจสอบดีแล้วหรือยัง อันที่จริงเรื่องนี้ข้าควรเป็นผู้ตรวจสอบให้ท่านซ้ำอีกครั้ง”
“นางเป็นเพียงหญิงรับจ้างเร่ร่อนที่ถูกกวาดติดทัพกลับมา โตมาอย่างไม่รู้เผ่าพันธุ์พ่อแม่ว่าตัวเองเป็นใคร” เตมันเอ่ยตอบท่านครูบา “ข้าสืบเรื่องของนางดีพอแล้ว”
“ควรใช้อำนาจตาที่สามตรวจค้นในจิตนาง หรือไม่ก็จับนางเข้า ห้องแห่งความจริง”
“อย่าให้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น นางไม่ใช่นักโทษต้องทัณฑ์หนัก...ส่วนเรื่องใช้ตาที่สามตรวจสอบ ข้าได้ลองทำแล้ว ก็เป็นดังเช่นที่ได้บอกกล่าวกับราชครู อย่างนางคงไม่มีพลังอำพรางพอจะตบตาข้าได้”
ผู้ถูกเรียกขานเป็นครูบาจำต้องหยุด
เพราะเมื่อใดองค์เตมันขานตำแหน่งราชครูเช่นที่ผู้อื่นเรียกเขา แปลว่าได้เกิดความรู้สึกห่างเหินคร้านจะตอบคำขึ้นมาส่วนหนึ่ง
“ข้าถูกใจนางทาสคนนี้ ยิ้มของอามินคือปริศนาที่ข้าต้องการจะหาคำตอบ นางคือมายา...” น้ำเสียงของเตมันกลับเป็นผ่อนคลายลงดังเดิม ผิดจากท่านพ่อเสียแล้ว ก็มีเพียงครูบาทัศยะผู้คอยสั่งสอน ทั้งประสิทธิ์ประสาทเวทวิชาทั้งหลาย ที่ผ่านมาเตมันจึงให้ความเคารพสนิทสนม เชื่อใจเสมอมา
“ใคร่ขอเจรจาประสาบุรุษ” สีหน้าคนพูดเจือรอยอย่างผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน “ไยกล่าวเหมือนท่านยังมิเคยได้ตัวนาง” ในใจราชครูแสนสงสัยนัก จะเป็นไปได้หรือ ก็หญิงผู้นั้นติดตามเป็นดั่งเงาเตมันมาหลายเดือนเข้าแล้ว
“...กับสิ่งที่มีค่าพอ ข้าใจเย็นเสมอ” คนพูดหยักยิ้มมุมปากอย่างมาดหมาย
แม้นางทาสบังอาจถึงขนาดเรียกร้องความสนใจโดยเอามีดจ่อคอหอยม้าสุดที่รักขององค์ชายเป็นตัวประกัน กระนั้นเตมันยังกลับเห็นขันเสียได้ ยิ่งเฝ้าดูราชครูก็ยิ่งได้แต่เลิกคิ้วอย่างหลากใจ น่าสนใจนัก ตัวองค์ชายในแง่มุมนี้เขาเองยังมิเคยได้พบเจอมาก่อน ผู้อาวุโสกว่าถึงกับทอดถอนก่อนจะเผยยิ้มอ่อนระอา บุรุษห้าวหาญน่านิยมเช่นเตมัน สุดท้ายเมื่อมีรักก็ยังอดมิได้ ปล่อยใจคล้อยตามอำนาจรักไปไม่ต่างจากหนุ่มน้อยสักคน...
เขาผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย
จนป่านนี้ยังไม่เคยพลั้งปล่อยใจให้ความรักอันโง่เขลาเช่นนั้น มิมีวัน
แต่ช้าก่อน นางทาสนามอามินอาจมีดียิ่งกว่าที่คิด
มิใช่เพียงราชครู อีกผู้ที่ทนเฉยไม่ได้กับการมีอยู่ของนางข้างกายเตมัน คือองค์หญิงวิชชรีผู้เป็นคู่หมาย วิชชรีถือโอกาสยาตราขบวนมาเยี่ยมเยียนถึงค่ายชายแดน จุดประสงค์เพียงเพื่อเอ่ยคำถามอันคับข้อง
“ไม่เพียงแต่ทุกคราที่น้องแวะมาก็เห็นนาง พักหลังข่าวลือยังหนาหูว่าบัดนี้เจ้าพี่มีนางไว้ข้างกายเสมอ แถมยังมอบอำนาจให้นางทาสนั่นก้าวก่าย เอ่อ...ให้นางดูแลจัดการเรื่องต่างๆ มิใช่น้อย”
เตมันผ่อนลมหายใจ เงยหน้าจากกองหนังสือ ไม่ผิดที่เรียกว่าอยู่ข้างกาย แต่ในฐานะอันใดกันเล่า คนนอกคงยากจะจินตนาการได้ บางทีองค์ชายอย่างเตมันเองยังนึกสงสัย เขาเลี้ยงนางทาสอย่างอามินไว้ดูเล่น หรือนางเห็นเขาเป็นของเล่นชิ้นงามในมือกันแน่
เมื่อใจประหวัดคิดถึงนาง ปากจึงตอบไปด้วยรอยยิ้มโดยมิเกรงใจผู้ฟัง
“ไม่ผิด ข้าพอใจให้นางทาสอยู่ข้างกายข้าจริง”
องค์หญิงกล้ำกลืนเกียรติที่พลุ่งขึ้นจุกลำคอลงไป “เจ้าพี่ไม่เคยมีที่ทางในใจเผื่อไว้ให้ใครมาก่อน...ข้าจึงประหลาดใจเล็กน้อย” นางเชิดคอ พูดต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนมิใช่เรื่องใหญ่ “แต่หากเราสมรสกันแล้ว ท่านจะตบแต่งชายารองสักคน ด้วยฐานะ น้องคงมิอาจขัดข้อง”
ไม่รู้เมื่อไร เตมันได้ลุกขึ้นเงียบเชียบ พริบตาเดียวก็มาปรากฏกายเบื้องหน้าวิชชรีซึ่งกำลังเสมองไปทางอื่น นางพลันเห็นยิ้มเต็มที่จากเขา ยิ้มไร้ข้อกังขา ดูน่าสะพรึงสำหรับวิชชรี
“หากนางมิใช่เพียงเมียรอง ? ”
“ท่านจะให้นางทาสนั่นเป็นเพียงนางบำเรอหรือ แต่...ดูจากความโปรดปรานของเจ้าพี่แล้ว” วิชชรีเอ่ยน้อยอกน้อยใจแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็นสะอึก ตะลึงพรึงเพริด “ไม่นะ เจ้าพี่...”
“จะให้พี่พูดตรงๆ หรือวิชชรี” เจ้าของร่างตระหง่านเอ่ยถามอ่อนโยน ทว่าสิ้นไร้ทางผ่อนปรนให้ผู้ฟัง
“ไม่จริง”
ชายหนุ่มประคองต้นแขนสลักเสลา มิปล่อยให้เจ้าของร่างซวนเซ “ไว้พี่ค่อยเสาะหาองค์ชายแดนอื่นให้เจ้าได้ตบแต่งอย่างสมเกียรติ พี่ไม่อาจฝืนใจตัวเอง”
“แค่นางทาสเพียงคนเดียว ท่านตั้งใจจะยกขึ้นมาเป็น
ราชินีหรือ”
“มีอันใดมิได้ ถ้าข้าต้องการเสียอย่าง”
วิชชรีไม่อาจเอ่ยคำ แววตานางมีเพียงความเจ็บร้าว แต่จะทำเช่นไร...ตลอดมาเตมันเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ บุรุษแห่งแผ่นดินผู้ไม่เคยยอมลงให้ใคร ด้วยไม่จำเป็นต้องลดรา
“เช่นนี้ เช่นนี้ท่านไม่กลัวหรือ ! ผู้หลักผู้ใหญ่จะมีใครเห็นด้วย”
“ข้าไม่ต้องการความเห็นชอบ และยิ่งไม่จำเป็นต้องเหยียบบ่าของขุนพลแม่ทัพคนใดเพื่อให้ตนเองยิ่งใหญ่ ใครที่กล้าพูดว่าข้าต้องทำเช่นนั้นเช่นนี้...ก็ลองส่งมันมาคุยกับข้าดูที” ยามเอ่ย มือแกร่งขยับกุมกระชับด้ามดาบเคียนเอวอย่างไม่รู้ตัว ส่งให้กลิ่นอายไฟอ่อนระอุจุดติดขึ้นในความว่างเปล่าของบรรยากาศเงียบงัน
ปวดแปลบ บีบคั้น กดดัน
วิชชรีทนอยู่เผชิญความรู้สึกนี้ต่อไปไม่ไหว
“เอาเถอะ ! แล้วเจ้าพี่จะต้องเสียใจ”
เตมันมองตามแผ่นหลังของญาติสาว...ที่จากนี้จะเป็นเพียงอดีตคู่หมั้น
ไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากโล่งอกเมื่อได้กล่าวออกไปอย่างใจต้องการ เขายิ้มเมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งบอกวิชชรี ตนยังไม่เคยคิดจะเอ่ยกับตัวนางทาสผู้ฉลาดเฉลียวเลยด้วยซ้ำ มัดมือเท้าอีกฝ่ายมาเคียงกายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยามเงานางกรายมาครั้งใด ผู้เป็นองค์ชายเองกลับไม่อยากหักหาญนางผู้แสนรู้ใจ เข้าใจ เป็นประหนึ่งสหายน้อยผู้ฉลาดเฉลียว จะจัดการรวบหัวรวบหางเอาให้อยู่หมัดจึงยิ่งต้องทุ่มเทพลังกายใจยิ่งกว่าเข้ายึดหัวเมืองใด
☀มงกุฎอัคคี ตอนที่ ๕ ระบำอัคคี .................. {อสิตา}
ตอนที่ ๑ ปฐมบท ต้นเพลิง
https://pantip.com/topic/39253472
ตอนที่ ๒ องค์ชาย
https://pantip.com/topic/39256876
ตอนที่ ๓ นางทาส
https://pantip.com/topic/39259835
ตอนที่ ๔ อามิน
https://pantip.com/topic/39262780
นางทาสขององค์ชาย...กลับกลายเป็นตำแหน่งอันสูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ
บุรุษอย่างเตมันไม่เคยวางผู้ใดไว้ข้างกายมาก่อน นอกจากครูบาหรือท่านราชครูที่สั่งสอนตนมา เขายังไม่เคยไว้ใจใครแม้แต่ผู้เดียว
“องค์เตมัน หากว่านางทาสเป็นไส้ศึกแฝงมา เช่นนั้นท่านจะมิย้อนนึกเสียใจหรือ ภูมิหลังของนางตรวจสอบดีแล้วหรือยัง อันที่จริงเรื่องนี้ข้าควรเป็นผู้ตรวจสอบให้ท่านซ้ำอีกครั้ง”
“นางเป็นเพียงหญิงรับจ้างเร่ร่อนที่ถูกกวาดติดทัพกลับมา โตมาอย่างไม่รู้เผ่าพันธุ์พ่อแม่ว่าตัวเองเป็นใคร” เตมันเอ่ยตอบท่านครูบา “ข้าสืบเรื่องของนางดีพอแล้ว”
“ควรใช้อำนาจตาที่สามตรวจค้นในจิตนาง หรือไม่ก็จับนางเข้า ห้องแห่งความจริง”
“อย่าให้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น นางไม่ใช่นักโทษต้องทัณฑ์หนัก...ส่วนเรื่องใช้ตาที่สามตรวจสอบ ข้าได้ลองทำแล้ว ก็เป็นดังเช่นที่ได้บอกกล่าวกับราชครู อย่างนางคงไม่มีพลังอำพรางพอจะตบตาข้าได้”
ผู้ถูกเรียกขานเป็นครูบาจำต้องหยุด
เพราะเมื่อใดองค์เตมันขานตำแหน่งราชครูเช่นที่ผู้อื่นเรียกเขา แปลว่าได้เกิดความรู้สึกห่างเหินคร้านจะตอบคำขึ้นมาส่วนหนึ่ง
“ข้าถูกใจนางทาสคนนี้ ยิ้มของอามินคือปริศนาที่ข้าต้องการจะหาคำตอบ นางคือมายา...” น้ำเสียงของเตมันกลับเป็นผ่อนคลายลงดังเดิม ผิดจากท่านพ่อเสียแล้ว ก็มีเพียงครูบาทัศยะผู้คอยสั่งสอน ทั้งประสิทธิ์ประสาทเวทวิชาทั้งหลาย ที่ผ่านมาเตมันจึงให้ความเคารพสนิทสนม เชื่อใจเสมอมา
“ใคร่ขอเจรจาประสาบุรุษ” สีหน้าคนพูดเจือรอยอย่างผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน “ไยกล่าวเหมือนท่านยังมิเคยได้ตัวนาง” ในใจราชครูแสนสงสัยนัก จะเป็นไปได้หรือ ก็หญิงผู้นั้นติดตามเป็นดั่งเงาเตมันมาหลายเดือนเข้าแล้ว
“...กับสิ่งที่มีค่าพอ ข้าใจเย็นเสมอ” คนพูดหยักยิ้มมุมปากอย่างมาดหมาย
แม้นางทาสบังอาจถึงขนาดเรียกร้องความสนใจโดยเอามีดจ่อคอหอยม้าสุดที่รักขององค์ชายเป็นตัวประกัน กระนั้นเตมันยังกลับเห็นขันเสียได้ ยิ่งเฝ้าดูราชครูก็ยิ่งได้แต่เลิกคิ้วอย่างหลากใจ น่าสนใจนัก ตัวองค์ชายในแง่มุมนี้เขาเองยังมิเคยได้พบเจอมาก่อน ผู้อาวุโสกว่าถึงกับทอดถอนก่อนจะเผยยิ้มอ่อนระอา บุรุษห้าวหาญน่านิยมเช่นเตมัน สุดท้ายเมื่อมีรักก็ยังอดมิได้ ปล่อยใจคล้อยตามอำนาจรักไปไม่ต่างจากหนุ่มน้อยสักคน...
เขาผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย
จนป่านนี้ยังไม่เคยพลั้งปล่อยใจให้ความรักอันโง่เขลาเช่นนั้น มิมีวัน
แต่ช้าก่อน นางทาสนามอามินอาจมีดียิ่งกว่าที่คิด
มิใช่เพียงราชครู อีกผู้ที่ทนเฉยไม่ได้กับการมีอยู่ของนางข้างกายเตมัน คือองค์หญิงวิชชรีผู้เป็นคู่หมาย วิชชรีถือโอกาสยาตราขบวนมาเยี่ยมเยียนถึงค่ายชายแดน จุดประสงค์เพียงเพื่อเอ่ยคำถามอันคับข้อง
“ไม่เพียงแต่ทุกคราที่น้องแวะมาก็เห็นนาง พักหลังข่าวลือยังหนาหูว่าบัดนี้เจ้าพี่มีนางไว้ข้างกายเสมอ แถมยังมอบอำนาจให้นางทาสนั่นก้าวก่าย เอ่อ...ให้นางดูแลจัดการเรื่องต่างๆ มิใช่น้อย”
เตมันผ่อนลมหายใจ เงยหน้าจากกองหนังสือ ไม่ผิดที่เรียกว่าอยู่ข้างกาย แต่ในฐานะอันใดกันเล่า คนนอกคงยากจะจินตนาการได้ บางทีองค์ชายอย่างเตมันเองยังนึกสงสัย เขาเลี้ยงนางทาสอย่างอามินไว้ดูเล่น หรือนางเห็นเขาเป็นของเล่นชิ้นงามในมือกันแน่
เมื่อใจประหวัดคิดถึงนาง ปากจึงตอบไปด้วยรอยยิ้มโดยมิเกรงใจผู้ฟัง
“ไม่ผิด ข้าพอใจให้นางทาสอยู่ข้างกายข้าจริง”
องค์หญิงกล้ำกลืนเกียรติที่พลุ่งขึ้นจุกลำคอลงไป “เจ้าพี่ไม่เคยมีที่ทางในใจเผื่อไว้ให้ใครมาก่อน...ข้าจึงประหลาดใจเล็กน้อย” นางเชิดคอ พูดต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนมิใช่เรื่องใหญ่ “แต่หากเราสมรสกันแล้ว ท่านจะตบแต่งชายารองสักคน ด้วยฐานะ น้องคงมิอาจขัดข้อง”
ไม่รู้เมื่อไร เตมันได้ลุกขึ้นเงียบเชียบ พริบตาเดียวก็มาปรากฏกายเบื้องหน้าวิชชรีซึ่งกำลังเสมองไปทางอื่น นางพลันเห็นยิ้มเต็มที่จากเขา ยิ้มไร้ข้อกังขา ดูน่าสะพรึงสำหรับวิชชรี
“หากนางมิใช่เพียงเมียรอง ? ”
“ท่านจะให้นางทาสนั่นเป็นเพียงนางบำเรอหรือ แต่...ดูจากความโปรดปรานของเจ้าพี่แล้ว” วิชชรีเอ่ยน้อยอกน้อยใจแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็นสะอึก ตะลึงพรึงเพริด “ไม่นะ เจ้าพี่...”
“จะให้พี่พูดตรงๆ หรือวิชชรี” เจ้าของร่างตระหง่านเอ่ยถามอ่อนโยน ทว่าสิ้นไร้ทางผ่อนปรนให้ผู้ฟัง
“ไม่จริง”
ชายหนุ่มประคองต้นแขนสลักเสลา มิปล่อยให้เจ้าของร่างซวนเซ “ไว้พี่ค่อยเสาะหาองค์ชายแดนอื่นให้เจ้าได้ตบแต่งอย่างสมเกียรติ พี่ไม่อาจฝืนใจตัวเอง”
“แค่นางทาสเพียงคนเดียว ท่านตั้งใจจะยกขึ้นมาเป็นราชินีหรือ”
“มีอันใดมิได้ ถ้าข้าต้องการเสียอย่าง”
วิชชรีไม่อาจเอ่ยคำ แววตานางมีเพียงความเจ็บร้าว แต่จะทำเช่นไร...ตลอดมาเตมันเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ บุรุษแห่งแผ่นดินผู้ไม่เคยยอมลงให้ใคร ด้วยไม่จำเป็นต้องลดรา
“เช่นนี้ เช่นนี้ท่านไม่กลัวหรือ ! ผู้หลักผู้ใหญ่จะมีใครเห็นด้วย”
“ข้าไม่ต้องการความเห็นชอบ และยิ่งไม่จำเป็นต้องเหยียบบ่าของขุนพลแม่ทัพคนใดเพื่อให้ตนเองยิ่งใหญ่ ใครที่กล้าพูดว่าข้าต้องทำเช่นนั้นเช่นนี้...ก็ลองส่งมันมาคุยกับข้าดูที” ยามเอ่ย มือแกร่งขยับกุมกระชับด้ามดาบเคียนเอวอย่างไม่รู้ตัว ส่งให้กลิ่นอายไฟอ่อนระอุจุดติดขึ้นในความว่างเปล่าของบรรยากาศเงียบงัน
ปวดแปลบ บีบคั้น กดดัน
วิชชรีทนอยู่เผชิญความรู้สึกนี้ต่อไปไม่ไหว
“เอาเถอะ ! แล้วเจ้าพี่จะต้องเสียใจ”
เตมันมองตามแผ่นหลังของญาติสาว...ที่จากนี้จะเป็นเพียงอดีตคู่หมั้น
ไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากโล่งอกเมื่อได้กล่าวออกไปอย่างใจต้องการ เขายิ้มเมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งบอกวิชชรี ตนยังไม่เคยคิดจะเอ่ยกับตัวนางทาสผู้ฉลาดเฉลียวเลยด้วยซ้ำ มัดมือเท้าอีกฝ่ายมาเคียงกายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยามเงานางกรายมาครั้งใด ผู้เป็นองค์ชายเองกลับไม่อยากหักหาญนางผู้แสนรู้ใจ เข้าใจ เป็นประหนึ่งสหายน้อยผู้ฉลาดเฉลียว จะจัดการรวบหัวรวบหางเอาให้อยู่หมัดจึงยิ่งต้องทุ่มเทพลังกายใจยิ่งกว่าเข้ายึดหัวเมืองใด