สัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน

กระทู้สนทนา
ผมได้ฟังคำสอนจากอาจารย์ในยูตู๊บมาอย่างนี้ว่า
-สัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ เป็น กองแห่งปัญญา 
-สัมมาทิฏฐิ เป็น สิ่งที่ควรรู้ นั่นก็คือ ปัญญารู้อะไรนั่นเองครับ ปัญญารู้ในอริยสัจจะ ๔ อย่าง ส่วนท่านเข้าถึงปัญญานี้ในฐานะสุตตะมะยะปัญญา ท่านรู้ท่านศึกษาวันนี้รู้ว่า ทุกข์ควรรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรแจ้ง อริยมรรคมีองค์ ๘ ควรทำให้เจริญ ในฐานะปัญญาระดับที่ ๑ ก็คือ สุตตะ บางครั้งมีการปฏิบัติอาศัยจินตามยปัญญา คือ ปัญญาเข้าไปพิจารณาด้วย เพื่อเป็นอาหารแก่ภาวนามยปัญญา เพื่อที่จะเข้ารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เข้าถึงแล้วจริง รู้แล้วจริงในสัจจะ๓ อย่าง ที่พระองค์ทรงแสดงไว้คือ สัจจญาน กิจจญาน และ กตญาน ด้วย สัจจะ๔ ด้วยอาการ ๑๒ อย่างนั่นเอง
-สัมมาสังกัปปะ เป็น ความดำริชอบ ความดำริชอบนี้ท่านต้องดูนะครับว่า คราวใดยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ คราวนั้นถ้าท่านยังปรุงแต่ง ด้วยความชอบและไม่ชอบอยู่ คราวนั้นเป็น มิจฉาสังกัปปะ เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉนั้นวันหนึ่งๆ ของพวกท่านทั้งหลาย เป็น มิจฉาสังกัปปะ หรือ สัมมาสังกัปปะ เป็นมิจฉาสังกัปปะทั้งวันเลยใช่หรือเปล่า จะมีคราวใดไหมที่จะรู้ถึง อภิชฌา และโทมนัส ฉนั้น เรามาฟังว่า สัมมาสังกัปปะ ทำไมต้องกำลังพระอนาคามีถึงประหานได้
-ความดำริชอบ ท่านว่าต้องปราศจาก อภิชฌา อันมี โลภะเป็นมูล ต้องปราศจาก พยาบาท อันมี โทสะ เป็นมูล และต้องปราศจากทั้งอภิชฌาและโทมนัสอันมี โมหะเป็นมูล
-การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์คราวหนึ่งเป็นเรื่องยากครับ ที่จะปราศจากใน อภิชฌาและโทมนัส งั้นท่านจะรู้ได้คือต้องมีสติตามระลึกรู้ ในความชอบหรือไม่ชอบ ในความสุขหรือความทุกข์ให้ได้ อันนี้ก็คือ การมีสติเข้าไประลึกรู้นั่นเอง จึงจะมีโอกาสที่จะรู้ทันใน อภิชฌา และโทมนัส อันนี้คือ สัมมาสังกัปปะ
------------------------------------------------------
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=DiQr2a-d42I
-------------------------------------------------------
ที่ผมยกขึ้นมาก็เพราะว่าเรียนมาถึงตรงนี้พอดี เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่ว่า มิจฉาทิฏฐิ กับ สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิมีรายละเอียดในพรหมชาลสูตร
ส่วนสัมมาทิฏฐิ ย่อๆก็คือ ปัญญารู้ในอริยสัจจะ๔ แค่นี้เองนะครับ
แค่เรื่องทุกข์อย่างเดียวนี่ เรียนธรรม๖๐ประการ(มีอยู่ในกระทู้ก่อนๆของผมครับ)
และที่เรียนทั้งหมดในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ก็คือ เรียนเรื่องอริยสัจจะ ๔ เรื่องเดียวนี้แหละ
ที่ยก สัมมาสังกัปปะ มาอีกอันหนึ่งก็เพราะ เป็นความดำริชอบ 
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากนำมาใช้ อริยมรรคมีองค์ ๘ ควรทำให้เจริญ เพราะฉนั้น ความดำริชอบ จึงสำคัญ
-------------------------------------------------------
ไม่มีใครหรอกที่จะรู้ศัพท์ยากๆมาก่อนทั้งนั้น แต่ศัพท์ดังกล่าวในพระธรรมเป็นการยากที่จะยกศัพท์ภาษาอังกฤษหรือภาษาใดๆให้มีความหมายตรงเป๊ะ ไม่มีเลย จึงต้องใช้ศัพท์บาลี แล้วด้วยการศึกษาทำความเข้าใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงเป็นคำ ประโยค ที่สามารถสื่อให้เข้าใจสภาวะได้
-คงยากที่จะเข้าใจตามที่หลายท่านเคยบ่นให้ผมฟังในกระทู้ ก็เป็นไปตาม เหตุ ตาม ปัจจัย นะครับ
-ยกตัวอย่าง ความเข้าใจเรื่อง กัมมสกตาญาน กับ ปฏิจจสมุปบาท อย่างง่ายๆเลยนะครับ 
-ปัจจุบัน ท่านเกิดมาเป็นคนไทย เป็นชาวพุทธ ชาวอิสลาม ชาวคริสต์ มีปัจจุบันผลคือ วิญญาน นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
-ปัจจุบันผลที่ต้องได้รับ ก็มีเหตุมาจาก อวิชชา สังขาร ในภพก่อนๆ
-เป็นมนุษย์แล้ว มี ตัณหา มีอุปทาน และได้สร้าง กัมมภวะ คือมีเจตนากระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ อันนี้เป็น กัมมภวะ ( สังขาร ในภพก่อนๆก็แบบนี้มีเจตนาในการกระทำ)เมื่อมีเจตนาปรากฏแล้วอุปปัตติภวะก็ไปสร้างภพชาติรอไว้แล้ว
-อนาคตผล คือ ชาติ ชรามรณะ ก็รอท่านแล้วในภพต่อๆไป
-ต่อไปเป็นการอนุมาน ถึง อนาคต
-เช่น ชาตินี้เกิดมาเป็นคนไทยนับถือพุทธ ชาติหน้าอาจจะเกิดเป็นคนนับถือศาสนาอื่น
-ดั้งนั้น ความเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา จึงเกิดขึ้น
-ในการโยนิโสมนสิการ ต่อ สิ่งที่ได้รับวันนี้ มีเวทนา ว่าเพราะก่อนๆได้กระทำกรรมไว้ปัจจุบันนี้จึงต้องยินดีรับ (เข้าใจในเรื่องของกรรม) 
-สิ่งที่มากระทบทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ หากไม่ปรุงแต่ง คิด ก็จะไม่มีอะไร แต่ปุถุชนย่อมมีตลอด จึงต้องใช้การโยนิโสมนสิการ เพื่อให้จิตเกิดกุศลจิต ตามที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า พึงละอกุศลที่ไม่มีไม่ให้เกิด พึงละอกุศลที่มีอยู่ให้หมดไป พึงสร้างกุศลที่ไม่มีให้เกิด พึงสร้างกุศลที่มีแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น
-ด้วยเหตุนี้ จึงระมัดระวัง กาย วาจา ใจ ไม่ให้เกิดทุจริต ครับ(ไม่ใช่เกิดจากการไม่ใช่ชาวพุทธหรือไม่ได้ศึกษาหรือไม่มีศีล๕ ครับ ตรงกันข้ามครับ เพราะศึกษาพระธรรมมามาก มานาน ลองผิดลองถูกมาเยอะและนานครับ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน)
ขอบพระคุณที่อ่านมาจนจบครับ จขกท อยากให้คนอ่านเกิดกุศลจิตเท่านั้นครับ 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่