อเมริกัน เวสท์ 2 (ทองคำที่แบล็คฮิลล์/สมรภูมิลิตเติ้ลบิ๊กฮอร์น)

อเมริกัน เวสท์ 2 (ทองคำที่แบล็คฮิลล์/สมรภูมิลิตเติ้ลบิ๊กฮอร์น)
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังนะครับ
https://youtu.be/MI4ZccFvSuM
ปี 1876 เข้าสู่วาระที่สองของ “ประธานาธิบดีแกรนต์” ที่พยามผลักดันการแก้ปัญหาความรุนแรงทางฝั่งตะวันตกมาโดยตลอด แต่ต้องมาหยุดชะงักด้วยปัญหาวิกฤติทางการเงิน ซึ่งกับปัญหานี้ “แกรนต์” ได้พบวิธีแก้ไข นั่นคือ “ทองคำในแบล็กฮิลล์” ที่รัฐเซาต์ดาโคตา แต่มีเพียงปัญหาเดียว คือ พื้นที่นี้ “แกรนต์” ได้ยกให้กับ “เผ่าลาโคทา ซูซ์” เมื่อเก้าปีก่อน 

การรักษาความสัมพันธ์เพื่อสร้างความสงบสุขกับชาวอินเดียน ซึ่งเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ภาคภูมิใจของ “แกรนต์” ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง แต่เพื่อกับการแก้ไขปัญหาวิกฤษเศรษฐกิจของอเมริกา “แกรนต์” จึงใช้ ความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการทำสงครามกับชาวเผ่าอินเดียนในครั้งนี้ “แกรนต์” เสนอข้อตกลงเพื่อขอซื้อ “แบล็กฮิลล์” ให้กับ “เผ่าลาโคทา ซูซ์” ในราคาหกล้านเหรียญ หรือประมาณ 100 ล้านเหรียญหากเทียบกับเงินปัจจุบัน 

ซึ่งสำหรับ “เผ่าซูซ์”แล้ว “แบล็กฮิลล์” นั้น มีค่ามากกว่าทองคำ และเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัยและพื้นที่ล่าสัตว์ “ซิงติงบูลล์” จึงได้ปฏิเสธข้อเสนอของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ความหวังที่จะสร้างความสงบสุขของ “แกรนต์” ก็ได้หายไปด้วย หลังจากหลายปีที่พยายามสร้างสันติภาพกับชาวอินเดียน “แกรนต์” ได้ยื่นคำขาดให้กับ “เผ่าซูซ์” ย้ายออกไปจากเขตสงวนทันที แต่ “ซิตติงบลูล์” และ “เครซี่ฮอร์ส” ก็ปฏิเสธอีกครั้ง และครั้งนี้นั้นจึงไม่อาจ หลีกเลี่ยงการเกิดสงครามได้
“แกรนต์” สั่งให้ “นายพลวิลเลียม ที. เชอร์แมน” ระดมกองทัพสหรัฐฯ ไปทางฝั่งตะวันตก เพื่อเตรียมพร้อมโจมตีชาวอินเดียน แต่การโจมตีครั้งนี้จะไม่มี “จอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์” หลังจากที่ “คัสเตอร์” นั้น ได้ประกาศเรื่องทองคำใน “แบล็กฮิลล์” ต่อสาธารณะชน

ซึ่งในขณะนั้น ใกล้หมดวาระที่สองของ “ประธานาธิบดีแกรนต์” “คัสเตอร์” มองเห็นโอกาส เส้นทางที่จะก้าวไปสู่ความทะเยอทะยานทางการเมือง โดยใช้ชื่อเสียงของเขา โดย “คัสเตอร์” เริ่มเข้าพบกับนักการเมืองที่มีอิทธิพลในวอชิงตัน สร้างพันธมิตรที่มีอำนาจ ที่จะสามารถช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมาย ของการได้เป็นประธานาธบดีให้ได้ 
แต่ “คัสเตอร์” เชื่อว่าหากเขาต้องการที่จะได้รับการเสนอชื่อ เพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้เขาจำเป็นต้องได้รับชัยชนะทางการทหารที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง  และด้วยความช่วยเหลือจากเส้นสายทางการเมือง “จอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์” ได้เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้

ส่วนฝั่งทางด้าน “ซิตติงบูลล์” หลังปฏิเสธการย้ายออกจากพื้นที่สงวน ซึ่ง “ซิตติงบูลล์”เอง ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่า จะต้องเกิดสงครามกับรัฐบาลสหรัฐฯ เขาจึงแจ้งข่าวและรวบรวมเหล่านักรบจากเผ่าต่างๆ ทั่วฝั่งตะวันตก จนสามารถสร้างกองทัพได้มากกว่า 4,000 คน จากทั้งเผ่าไชแอนและอาราพาโฮ โดยมารวมตัวกันอยู่ที่ “แม่น้ำลิตเติลบิ๊กฮอร์น” ซึ่งเป็นกองกำลังของนักรบอินเดียนที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่กองทัพสหรัฐฯเคยพบเจอมา

และเมื่อ “คัสเตอร์” มาถึงดาโคทา แทนที่จะรอกำลังเสริมที่สองจากกองทัพมาถึง ด้วยความทะเยอทะยานของ “คัสเตอร์” เขาสั่งให้กองกำลังของเขา ซี่งมีทหารไม่ถึง 500 นายเคลื่อนพล เพื่อเอาชนะ “ซิตติงบูลล์และเครซีฮอร์ส” โดย “คัสเตอร์” เชื่อว่าการเอาชนะ “ซิตติงบลูล์” ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในสายอาชีพทางการารเมืองของเขา และจะสามารถกรุยทางไปสู่ทำเนียบขาวได้ 

“คัสเตอร์” ตัดสินใจใช้ยุทธวิธีที่เขาเคยใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อแปดปีก่อนที่ “สมรภูมิวาชิตะ” โดยการแบ่งกำลังพลออกเป็นสองหน่วยย่อย ให้รองผู้บังคับหน่วย “พันตรีมาร์คัส รีโน” โจมตีทางปีกซ้ายก่อน แล้วจาก นั้น “คัสเตอร์” โจมตีทางปีกขวา เพื่อโอบล้อมและกระจายกำลังของเผ่าซูซ์ออกจากกัน
แต่กลับไม่เป็นไปตามแผน “พันตรีรีโน” ไม่สามารถต้านนักรบเผ่าซูซ์ได้ จนทำให้กองทหารของ “รีโน” นั้นแตกพ่าย ส่วน “คัสเตอร์” ไปถึงสมรภูมิรบ โดยไม่รู้ถึงสถานการณ์ของฝ่าย “รีโน” ว่าตอนนี้ล่าถอยไปแล้ว จึงตกอยู่ในวงล้อมของนักรบชาวอินเดียนกว่าพันคน และในวันที่ 25 มิถุนายน ปี 1876 “จอร์จ อาร์มสตอง คัสเตอร์” และกองกำลังของเขามากกว่า 250 นาย เสียชีวิตใน “สมรภูมิลิตเติลบิ๊กฮอร์น” 
ข่าวเรื่องการพ่ายแพ้ แพร่สะพัดไปถึงวอชิงตันอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต่างรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก และเรียกร้องให้มีการตอบโต้อย่างรุนแรง ด้วยเวลาเหลืออีกไม่กี่เดือนในตำแหน่ง ของ “ประธานาธิบดีแกรนต์” กับความล้มเหลวที่ไม่สามารถครอบครอง “แบล็คฮิลล์” ได้

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 1877 สามเดือนหลังจากการเลือกตั้งจบลง ชาวอเมริกันมากกว่าแปดล้านคนได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ท้ายที่สุด ตำแหน่งประธานาธิบดีก็ถูกตัดสินโดยคนเพียงแค่ 15 คนในการทำข้อตกลงแบบลับๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “ข้อแลกเปลี่ยนอันฉ้อฉล” (Corrupt Bargain) และคนที่เข้ามาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่เแทน “แกรนต์” ก็คือ “รัทเทอร์ฟอร์ด บี. เฮย์ส” ซึ่งประชาชนมากกว่าครึ่งประเทศ ต่างก็ถกเถียงไม่เห็นด้วยที่เขาป็นประธานาธิบดีในครั้งนี้

หลังจากความพ่ายแพ้น่าอับอายของกองทัพที่ “สมรภูมิลิตเติลบิ๊กฮอร์น” “เฮย์ส” ถูกกดดันให้เร่งจัดการเรื่องชาวอินเดียนให้เร็วที่สุด และ “นายพลวิลเลียม ที. เชอร์แมน” มองเห็นโอกาส จึงเสนอให้กำจัดชาวอินเดียนให้ราบคาบ 
โดยยุทธวิธีของ “เชอร์แมน” นั้นแสนจะโหดเหี้ยม และเป็นยุทธวิธีเดียวกันกับที่เขาเคยใช้ในสงครามกลางเมืองมาก่อน คือยุทธวิธีที่เรียกกว่า “สงความเบ็ดเสร็จ” (Total Warfare) โดยการเผาทำลายฐานที่มั่น และแหล่งอาหารต่างๆ ของกองทัพและพลเรือนในระหว่างทางกว่า 300 ไมล์ เพื่อให้ทหารฝ่ายศัตรูนั้นอดตาย และแม้ว่ายุทธวิธีนี้ จะทำให้ชนะสงครามกลางเมือง แต่ก็พูดได้ว่ามันช่างเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก จึงอาจ เรียก “เชอร์แมน” ผู้นี้ได้ว่าเป็น “นายพลจอมอำมหิต” ก็ว่าได้ ซึ่ง “เชอร์แมน” รู้ดีว่ายุทธวิธีเดียวกันนี้ สามารถปราบพวกอินเดียนได้ โดยการทำลายบางสิ่งที่มีจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพวกอินเดียน นั้นก็คือ “ควายป่า”

ซึ่งควายป่าในขณะนั้น มีจำนวนมากกว่าสิบล้านตัว นับตั้งแต่แคนาดาไปจนถึงนิวเม็กซิโก สำหรับชนเผ่าอินเดียนแล้ว ควายป่า มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก โดยส่วนต่างๆ ของควายป่านั้นสามารถ นำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด ตั้งแต่กระดูก หนัง รวมถึงเครื่องในก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันได้ และแน่นอนเนื้อของควายป่า ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญสำหรับชาวชนเผ่าอินเดียน ดังนั้นตามแนวทางของ “เชอร์แมน” รัฐบาลสหรัฐฯ จึงสนับสนุนให้นายพรานจากฝั่งตะวันออก เดินทางไปฝั่งตกวันตกเพื่อล่าควายป่า เป้าหมายเพื่อให้ชาวอินเดียนนั้นอดอยาก 

และสำหรับนโยบายนี้ บางคนก็ได้กลายเป็นคนให้มีชื่อเสียง จากจำนวนควายป่าที่เขาได้สังหารไป หนึ่งในนั้นคือ พรานชื่อ “วิลเลียม โคดี” เขาได้ฆ่าควายป่าไปถึง 4,000 ตัว ภายใน 18 เดือน จนได้รับฉายาว่า “บัฟฟาโล บิลล์” และในปี 1877 ควายป่าที่เคยมีถึง 60 ล้านตัว ลดลงเหลือไม่ถึง 2,000 ตัว และกับความอด อยากครั้งนี้ “ซิตติงบูลล์” และ “เครซีฮอร์ส” ต้องตัดสินใจที่จะเลือกอยู่ต่อในดินแดนศักดิ์สิทธิ๋นี้หรือย้ายหนีไปเพื่อหาที่อยู่ใหม่ 
หลังจากได้รับชัยชนะที่ลิตเติลบิ๊กฮอร์น นักรบลาโคทาโดยการนำของ “เครซีฮอร์ส” ยังคงต่อสู้เพื่อดินแดนของพวกเขาต่อไป แต่ด้วยกลยุทธของ “นายพลวิลเลียม ที. เชอร์แมน” ในการฆ่าควายป่า ทำให้ชาวอินเดียนต้องเผชิญหน้ากับความอดอยากมากขึ้น ผู้นำเผ่า “ลาโคทา” อย่าง “ซิตติงบูลล์” ตัดสินใจนำชาวอินเดียน 5,000 คน อพยบไปทางตอนเหนือของแคนาดา ในขณะที่ “เครซีฮอร์ส” ยังคงอยู่ที่เดิมพร้อมกับนักรบไม่ถึง 1,000 คน และตั้งใจแน่วแน่ว่า จะปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาต่อ และเมื่อกำลังชาวอินเดียนลดน้อยลง รัฐบาลสหรัฐฯ ก็เคลื่อนกองกำลังไปยังแบล็กฮิลส์ เพื่อเข้าขุดหาแร่ทองคำ 

โดยในช่วงระหว่างยุค1880 มีการขุดพบแร่ทองคำและแร่เงินมูลค่ามากกว่าเจ็ดล้านดอลลาร์ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 170 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ทำให้ทองคำไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของอเมริกา จึงสามารถพาตัวเองออกจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ 

และกับ “เครซีฮอร์ส” หลังจากการล้มตายของควายป่า ก็ทำให้คนของเขาหิวโหยเป็นอย่างมาก ตอนนี้ “เครซีฮอร์ส” หมดหนทางเลือก สถานการณ์บีบให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะทำมากก่อน ในวันที่ 6 พฤษภาคม ปี 1877 “เครซีฮอร์ส” ชายผู้นำที่ชนะกองทัพอเมริกันได้ที่ “ลิตเติลบิ๊กฮอร์น” ยอมจำนน จึงหยุดตำนาน การต่อสู้กว่า 17 ปี เพื่อไม่ให้คนของเขาต้องทุกข์ทนกับความหิวโหย แต่การย้ายเข้าสู่เขตสงวน อาจช่วยเหลือเรื่องความอดอยากได้ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังบังคับจะให้ชาวอินเดียน เปลี่ยนวัฒนธรรมการดำรงค์ชีวิตใหม่ ด้วยการซึมซับวัฒนธรรมของชาวอเมริกันเข้าไป
ด้วย “นโยบายซึมซับวัฒนธรรม” นี้ “เครซีฮอร์ส” กลัวว่าคนของเขาจะเสียความเป็นตัวตน จนทำให้ “เครซีฮอร์ส” ต้องเข้าไปเรียกร้องเพื่อขอการดำรงค์ชีวิตในแบบเดิมของอินเดียน แต่ก็ไม่เป็นผล ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธการร้องขอครั้งนี้

แต่ “เครซีฮอร์ส” ก็ยังดึงดันการร้องขออิสระให้กับคนของเขา จึงได้ตัดสินใจขอเข้าพบเจ้าหน้าที่ดูแลเขตสงวนอีกครั้ง เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของ “เผ่าซูซ์” คืนมา แต่ครั้งนี้ แทนที่ “เครซีฮอร์ส” จะได้พบกับผู้ดูแลเขตสงวน กลับถูกจับตัวไว้ ด้วยความหวาดกลัวว่า “เครซีฮอร์ส” อาจจะปลุกระดมเหล่านักรบลาโคทา ก่อจราจล แต่ “เครซีฮอร์ส” นั้นขัดขืนจึงถูกทหารยามใช้ดาบปลายปืนแทงจนถึงแก่ความตาย 
วันที่ 5 กันยายน ปี 1877 ชายผู้ต่อสู้เพื่อปกป้องคนของเขามาชั่วชีวิต และสามารถนำนักรบชนะกอง กำลังสหรัฐฯ ครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกฆ่าตาย ซึ่ง “เครซีฮอร์ส” คือหนึ่งในไม่กี่คน ของผู้นำชาวอินเดียน ที่เป็นที่รู้จัก และกับความทุ่มเทที่จะปกป้องความเป็นตัวตนของชาวอินเดียนของเขา “เครซีฮอร์ส” จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญที่สามารถลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากการจากไปของ “เครซีฮอร์ส” ชนเผ่าซูซ์” จะเป็นอย่างไรต่อ พบกันในตอนหน้ากับ อเมริกัน เวสท์ ตอนที่ 3 อินเดียนแดงกับละครสัตว์ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่