อเมริกัน เวสท์ (American West) ตอนที่ 1 (เครซีฮอร์ส นักรบอินเดียนผู้ต่อต้านอเมริกา)

อเมริกัน เวสท์ (American West) ตอนที่ 1
(เครซีฮอร์ส นักรบอินเดียนผู้ต่อต้านอเมริกา)
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/NYVBLzCCvqc
หลังจากสงครามกลางเมืองจบลง “นายพลยูลีซิล เอส. แกรนด์” ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำที่ชัยชนะ โดยใช้ยุทธวิธีการเจรจามากกว่าการใช้ความรุนแรง และเพื่อให้ชาวอเมริกันกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้น ตามแนวทางความคิดของ “อับราฮัม ลินคอล์น” ดังนั้น “นายพลแกรนต์” จึงวางแผนที่จะขยายความเจริญ โดยการให้ชาวอเมริกันไปตั้งรกรากทางฝั่งตะวันตก ซึ่งขอบเขตเกือบ 500 ล้านตารางไมล์ และเพื่อให้คนจำนวนมาก สามารถอพยบไปได้อย่างเร็วที่สุด รัฐบาลสหรัฐฯจึงใช้วิธีการเร่งสร้างทางรถไฟ โดยทางรัฐบาลสหรัฐนั้น เสนอเงื่อนไขให้กับเหล่าบริษัทรถไฟ ก็คือ โดยทุกไมล์ที่รางรถไฟถูกสร้างขึ้น รัฐบาลสหรัฐฯ จะมอบ ที่ดินฝั่งใดก็ได้ของรางรถไฟให้กับบริษัท

กับแนวคิดนี้ ทำให้ที่ดินกว่า 175 ล้านเอเคอร์ ถูกมอบให้กับเหล่าบริษัทรถไฟ ซึ่งจำนวนที่ดินทั้งหมดรวมกันแล้ว มีขนาดที่ใหญ่กว่ารัฐเทกซัสทั้งรัฐเสียอีก และเมื่อสามารถสร้างรางรถไฟแล้วได้ที่ดินฟรี เหล่าบริษัทรถไฟทั้งหลาย จึงขายที่ดินให้กับผู้คนที่คิดจะเข้าไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ทำให้ชาวอเมริกันจึงมีโอกาส ที่จะสามารถมองหาอนาคตใหม่ให้กับตนเองได้ แต่ที่ดินนี้ ใช่ว่าจะไม่มีเจ้าของ

ในช่วงปี 1865 มีชาวพื้นเมืองกว่า 300,000 คน ใช้ชีวิตอยู่แถบฝั่งตะวันตก และกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด คือ เผ่า “ลาโคทา ซูซ์” ซึ่งกับการถูกคุกคามในครั้งนี้ “เผ่าซูซ์” จึงได้ต่อต้านชาวอเมริกันกับการอพยบมาในครั้งนี้ ซึ่งนำโดยนักรบหนุ่มของเผ่า “ซูซ์” นามว่า “เครซีฮอร์ส”
โดยในเวลาเพียงแค่หกเดือน มีชาวอเมริกันถูกฆ่าตายนับสิบคน ดังนั้นนโยบายการขยายเขตแดน ของรัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้ถูกขัดขวางไม่สามารถไปต่อได้ เมื่อข่าวความรุนแรงของฝั่งตะวันตกไปถึง วอชิงตัน ดี.ซี ฝ่ายรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จึงยอมไม่ได้กับเรื่องนี้ ทำให้นายพลชื่อดังในสงครามกลางเมืองคนนึง ชื่อ “วิลเลียม ที. เชอร์แมน” จึงเสนอความเห็นต่อ “นายพลแกรนต์” ให้ส่งกำลังทหารเข้าจัดการเผ่า “ลาโคทา ซูซ์” และกับ ความเชื่อมั่นในหน้าที่รักษาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ “เครซีฮอร์ส” แสดงความกล้าหาญ โดยการใช้วิธีให้ตัวเองเป็นเหยื่อ เพื่อล่อให้กองทหารอเมริกัน ออกมาอยู่ในที่โล่งไร้ซึ่งสิ่งป้องกัน และ “เครซีฮอร์ส” นั้นได้ซุ่มกำลังเอาไว้ วันที่ 21 ธค.1866 “เครซี่ฮอร์ส” ได้รับชัยชนะต่อกองทหารอเมริกัน โดยการสังหารทหารชาวเอมริกันไปมากว่า 100 นาย ซึ่งรู้จักกันดีในสงครามที่ชื่อว่า “สงคราม 100 ศพ” (The Battle of a Hundred Slain)
เมื่อข่าวไปถึง วอชิงตัน ดี.ซี. “นายพลแกรนต์” รู้ดีว่าการที่จะเอาชนะชาวอินเดียนในครั้งนี้ได้นั้น จำเป็นต้องส่งนายพลมือดีที่สุดไป “นายพลแกรนต์” จึงมอบหมายให้ชายผู้ที่มีชื่อเสียงเรื่องการปราบปราม เมื่อครั้งในสงครามกลางเมือง ชื่อเขาคือ “จอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์”
แม้ว่า “คัสเตอร์” จะมีความสามารถมาก แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และมักจะมี ความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาเสมอ จึงทำให้ “คัสเตอร์” ถูกสั่งให้ไปประจำอยู่ที่ชายแดนห่างไกลความเจริญ และเมื่อ “นายพลแกรนต์” ให้โอกาสกับ “คัสเตอร์” กับภาระกิจในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ “คัสเตอร์” ในการกอบกู้ชื่อเสียงและสร้างความก้าวหน้าให้กับตนเอง ดังนั้นในปี 1868 “นายพลยูลีซิส เอส. แกรนต์” ส่งหนึ่งในวีรบุรุษของสงครามกลางเมือง “จอร์จ อาร์มสตอง คัสเตอร์” ไปตะวันตกเพื่อสะสางปัญหาชาวอินเดียน และกับการตามล่าหาชนพื้นเผ่าเมืองอยู่หลายเดือน ในที่สุดโชคก็เข้าข้าง “คัสเตอร์” ได้พบกับชนพื้นเมือง “เผ่าไชแอน” กับความโหยหาโอกาสให้กับตนเอง “นายพลคัสเตอร์” เตรียมตัวเข้าโจมตีแบบสายฟ้าแลบ
วันที่ 27 พฤศจิกายน ปี 1868 “จอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์” นำกำลังพลเข้าจู่โจมค่ายชาวอินเดียน ใกล้แม่น้ำวาชิตะ ทำให้ “ชนพื้นเมืองเผ่าไชแอน” กว่า 150 คนเสียชีวิต และหมู่บ้านถูกเผาเหลือแต่เศษซาก ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ภายหลังรู้จักกันในชื่อว่า “เหตุสังหารหมู่ที่วาชิตะ” (The Washita Massacre)
สื่อต่างๆ ในอเมริกา ต่างก็ยกย่องกับความสำเร็จในการจู่โจมครั้งนี้ และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับ “คัสเตอร์” ผู้ที่กำลังโหยหาความสำเร็จให้กับตัวเอง ได้เป็นอย่างมาก แต่กับความรุนแรงในครั้งนี้ “นายพลแกรนต์” กลับคิดว่ามันอาจจะบานปลายจนทำให้ อเมริกานั้นจะต้องเผชิญกับสงครามครั้งใหม่ก็เป็นได้
ซึ่งในขณะนั้นหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ “นายพลยูลีซิส เอส. แกรนต์” ได้รับการเลือกให้เป็นประธานาธิบดี และเพื่อสร้างความสงบสุขให้กับอเมริการ คำสั่งแรกของเขา ก็คือการยุติความรุนแรง กับชาวอินเดียน ซึ่งต่างกับความเห็นของผู้นำกองทัพอีกคนอย่าง “วิลเลียม เทคัมเซห์ เชอร์แมน” ที่เสนอการจัดการกับชาวอินเดียนทั้งหมด ด้วยวิธีความรุนแรง

วิธีการของ “แกรนต์” นั้น เสนอให้สร้างเขตสงวนให้กับชนเผ่าพื้นเมือง โดยมีพื้นที่กว่า 40,000 ตารางไมล์ ซึ่งมีขนานเท่ากับรัฐโอไฮโอ และทางรัฐบายสหรัฐฯนั้น ให้คำมั่นว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขตแดนใหม่ของชาวอินเดียน ซึ่งกับนโยบายนี้ ชาวอินเดียนส่วนใหญ่เห็นด้วยและรับข้อเสนอ จึงยินยอมย้ายเข้าไปอยู่ในเขตสงวน ในขณะที่ชาวอินเดียนหลายพันคน เข้าไปอาศัยในเขตสงวน แต่นักรบอย่าง “เครซีฮอร์ส” ก็ยังไม่ยอมละทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิมไป และเมื่อนักรบหนุ่มอย่าง “เครซีฮอร์ส” นั้นไม่ยอมจำนน เขาจึงได้รับการนับถือในความกล้าจากชนชาวเผ่าลาโคทาเป็นอย่างมาก และหนึ่งในนั้นก็คือ หัวหน้าเผ่า ซึ่งเป็นผู้นำในเรื่องจิตวิญญาณ ชื่อเขาคือ “ซิตติ้งบูลล์”
ถึงแม้ “ซิตติ้งบลูล์” และ “เครซีฮอร์ส”จะไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้และเข้าปะทะ เพื่อก่อให้เกิดสันติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้
ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้ดำเนินนโยบายการตั้งรกรากในฝั่งตกวันตกต่อ และเพื่อลดความรุนแรง จึงหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินการกิจกรรมใดๆ ใกล้กับเขตสงวนของชาวอินเดียน ซึ่งพร้อมกันนั้น ก็เป็นเวลาที่ อเมริกาจะได้รู้จักกับนักธุรกิจคนหนึ่ง ซึ่งเป็นประธานบริษัทยูเนียน แปซิฟิก เรลโรด “โทมัส ดูแรนต์” ผู้ที่มองเห็นว่าในดินแดนตะวันตกนี้ เป็นโอกาสที่จะทำเงินได้มหาศาล และกับการหาผลประโยชน์ในครั้งนี้ “ดูแลนต์” เร่งสร้างรางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างฝั่งตะวันออกกับตะวันตก และทางรถไฟกว่า 2,000 ไมล์ ตัดผ่านหุบเหว แนวเขาหินนอกเขตแดนสงวนของชาวเผ่าอินเดียน
10 พฤษภาคม 1869 เมื่อหมุดรางรถไฟตัวสุดท้ายได้ตอกลง อเมริกาก็ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ สายโทรเลขกับรางรถไฟเชื่อมต่อกับสถานีต่างๆ จากยูท่าห์ไถึงวอชิงตัน ดี.ซี. เปลี่ยนจากชายแดนที่ว่างเปล่าในแผนที่ กลับกลายเป็นอารยธรรมความเจริญเข้ามาแทน เหล่ากิจการใหญ่น้อยในฝั่งตะวันออกก็เริ่มลงทุนในฝั่งตะวันตกมากเพื่อขึ้น ทำให้เศรษฐกิจของอเมริกานั้น เจริญเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ทุกคนต่างตื้นเต้นกับการลงทุนในบริษัทรถไฟ แต่เมื่อข่าวฉาวได้ปะทุขึ้น ในวันที่ 4 พย.1872 มีการสืบสวนพบว่า “โทมัส ดูแรนต์” ประธานบริษัทยูเนียน แปซิฟิก ได้ยักยอกเงินนับล้านดอลลาร์ จากข้อเสนอ ลงทุนสร้างทางรถไฟให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเขากอบโกยเงินภาษีไปมากกว่า 16.5 ล้านเหรียญ และยังมีการทุจริตโดยการจ่ายเงินใต้โต๊ะปิดปากนักการเมืองอีกด้วย นักลงทุนพากันแตกตื่น และเทขายหุ้นบริษัทรถไฟเป็นอย่างมาก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นอยู่ในจุดเสี่ยง ทำให้หนึ่งในสามของบริษัทรถไฟ ที่มีอยู่ 360 บริษัทในประเทศล้มละลาย จนเศรษฐกิจพังไม่เป็นท่า วิกฤติครั้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม “ความตื่นตระหนกในปี 1873” (The Panic of 1873)
ซึ่งกับวิกฤติในครั้งนี้ ทำให้ระบบการเงินของอเมริกาล้มครืนลงมา ตลาดหุ้นปิดตัวไปถึงสิบวัน ทำให้ อเมริกาเข้าสู่สภาวะซบเซา หนี้ของประเทศนั้นติดลบเกือบสองล้านดอลลาร์ กิจการมากกว่า 20,000 รายปิดตัวลง และมีคนตกงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็เป็นช่วงใกล้หมดวาระแรกของ “ประธานาธิบดีแกรนต์” อีกด้วย
ในขณะที่ “แกรนต์” นั้น กำลังจนปัญญาที่จะดึงอเมริกาให้พ้นจากวิกฤติในครั้งนี้ ห่างไป 1,600 ไมล์จาก วอชิงตัน ดี.ซี. มีข่าวลือเรื่องทองคำที่ “แบล็กฮิลล์” ในดาโคตา เริ่มแพร่สะพัดมากขึ้น และเพื่อที่จะนำทองคำมาแก้ไขปัญหาวิกฤต “แกรนต์” จึงคิดจะส่งทีมสำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงในครั้งนี้ แต่ปัญหาเดียวก็คือ “แบล็กฮิลล์” นั้น อยู่ในเขตสงวนของชาวอินเดียน ที่ซึ่ง “แกรนต์” เอง เคยได้ให้คำมั่นกับเผ่าลาโคทาไว้ว่าจะไม่มีการแตะต้องดินแดนนั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งอีกครั้งกับชาวเผ่าอินเดียน “แกรนต์และนายพลเชอร์แมน” จัดตั้งคณะสำรวจลับๆ โดยการตั้งแม่ทัพคนนึงเพื่อเป็นผู้นำภาระกิจ “จอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์” แต่ “คัสเตอร์” นั้น กลับมองว่าภาระกิจสำรวจทองคำในครั้งนี้ มันคือโอกาสที่จะเป็นฮีโร่ในการแก้ไขปัญหาการเงินให้กับอเมริกาได้ ด้วยทองคำมหาศาล
ปี 1874 กับการสำรวจครั้งนี้ของ “คัสเตอร์” ได้พบสินแร่ทองคำเป็นจำนวนมาก “คัสเตอร์” จึงได้ส่งราย งานกลับไปที่ วอชิงตัน ดี.ซี. แต่ “คัสเตอร์” นั้น กลับไม่ได้ส่งข่าวนี้เพียงแค่วอชิงตัน “คัสเตอร์”ได้แจ้งข่าวนี้ให้กับหนังสือพิมพ์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อกระจายชื่อเสียงของตนเอง “คัสเตอร์” ประกาศการค้นพบทองคำของเขาแก่สื่อทั่วประเทศ จนทำให้เหล่านักขุดทองหลายพันคน แห่กันมาที่ “แบล็กฮิลล์” สร้างความสั่นคลอนให้กับสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับชนเผ่าอินเดียนเป็นอย่างมาก และหลังจากนี้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร พบกันตอนหน้า กับ “อเมริกัน เวสท์” ตอนที่ 2 ทองคำที่แบล็กฮิลล์ ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่