อเมริกัน เวสท์ 3 “บทสุดท้ายของชาวเผ่าอินเดียน”
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/0ZhpjSrHwqk

หลังจากที่ “นายพลวิลเลียม ที. เชอร์แมน” ใช้วิธีบีบให้ชาวอินเดียนนั้น ต้องทนทุกข์กับสภาวะความอดอยาก จากการฆ่าควายป่าไปหลายล้านตัว ผ่านมาสี่ปีที่ “ซิตติงบูลล์” ได้แยกกับ “เครซีฮอร์ส” และเพื่อหาหนทางรอดจากความอดอยากให้กับคนของเขา “ซิตติงบูลล์” ได้อพยบขึ้นไปทางตอนเหนือในแคนาดากับชนเผ่า “ซูซ์” จำนวนหนึ่ง และเมื่อ “เครซีฮอร์ส” ได้ตายไป จากน้ำมือของทหารอเมริกัน “ซิตติงบูลล์” จึงเป็นหนึ่งในผู้นำที่เหลืออยู่ไม่กี่คนของชนชาว “เผ่าลาโคทา ซูซ์”

และกับฤดูหนาวอันแสนจะโหดร้ายในแคนาดา “ซิตติงบูลล์” กับของของเขาที่เหลืออยู่ ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติความอดอยากเพิ่มมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ทำให้คนในเผ่าต่างก็อ่อนแอและเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถ ที่เดินทางขึ้นเหนือต่อไปได้ เมื่อสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ เพื่อความอยู่รอดของชนเผ่า “ซิตติงบูลล์” จึงตัดสินใจที่จะกลับไปถิ่นฐานเดิมที่อเมริกา และยินยอมรับข้อเสนอ กับการที่จะเข้าไปอยู่ในเขตสงวน
เมื่อ “ซิตติงบูลล์” นั้น เดินทางกลับมาถึงอเมริกา สถานการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกับชาวอินเดียนคนอื่นๆหลายพันคน ซึ่งต่างก็ถูกบีบให้ยอมจำนน และต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบของคนผิวขาว ทำให้ “ซิตติงบูลล์” และชาวลาโคทาทั้งหลายไม่สามารถใช้ในวิถีชีวิตแบบเดิมๆได้ แต่เพื่อที่จะรักษาความเป็นตัวตนของชาว “เผ่าซูซ์” ให้คงอยู่ “ซิตติงบูลล์” จึงมีแนวคิดที่จะหาทางออก เพื่ออยู่ร่วมกับคนผิวขาว
ปี 1885 “ซิตติงบูลล์” ออกจากเขตสงวน เพื่อไปเข้าร่วมกับคณะโชว์ที่โด่งดังของ “บัฟฟาโล บิลล์โคดี้” ซึ่งกับการแสดง “ไวล์ด เวสท์ โชว์” (Wild West Show) ของ “บัฟฟาโล บิลล์” นี้ ซึ่งถือเป็นการแสดงโชว์ที่โด่ง ดังมากในสมัยนั้น โดยการนำเอาชาวอินเดียนแดงตัวจริงมาเข้าร่วมแสดง ในการจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น และจึงเป็นทางเลือกที่ “ซิตติงบูลล์” คิดว่าจะเป็นทางที่ช่วยให้รักษาวัฒนธรรมของ “ชาวเผ่าลาโคทา ซูซ์” ไว้ได้

แต่ในขณะที่ “ซิตติงบูลล์” นั้น ได้ตระเวนแสดงไปทั่วทั้งอเมริกา นานกว่าสี่เดือน และได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่อยู่ในสังคมของชาวอเมริกันผิวขาว “ซิตติงบูลล์” จึงได้เห็นการปฎิบัติต่อชาวอินเดียนของคนผิวขาว จึงทำให้ “ซิตติงบูลล์” นั้นเกิดความรู้สึกท้อแท้ที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป เขาได้ตัดสินใจที่จะเดินทางกลับบ้านที่เขตสงวน
เมื่อ “ซิตติงบูลล์” กลับมาถึงที่เขตสงวน เขาจึงได้พบบางอย่างที่ไม่คาดคิด ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่พวกชาวอินเดียนเชื่อว่าจะสามารถฟื้นฟูเผ่าลาโคทาให้กลับสู่ชีวิตแบบดั้งเดิมได้ และจะช่วยให้สามารถย้อนเวลาได้ ซึ่งจะทำให้คนขาวนั้นหายไป ควายป่าจะกลับมาดั่งเดิม และชาวอินเดียนจะฟื้นคืนชีพในร่างเดิมของพวกเขา แต่เมื่อมีการรวมตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เจ้าหน้าที่เขตสงวนคิดว่า อาจจะมีการปลุกระดม และก่อความรุนแรงขึ้นได้ รวมถึงการกลับมาของ “ซิตติงบูลล์” นั้น ก็อาจจะนำไปสู่การก่อปฏิวัติได้ด้วยเช่นกัน
ในเดือนธันวาคม ปี 1890 รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งทหารติดอาวุธจำนวน 40 คน เข้าไปในเขตสงวนของชาวอินเดียน เพื่อไปพาตัว “ซิตติงบูลล์” ออกจากที่พักของเขา แต่เหล่าผู้ติดตามของ “ซิตติงบูลล์” นั้น ต่างก็ต้อง การที่จะปกป้องผู้นำของเขา จึงได้ขัดขวางไว้ โดยในช่วงที่ชุลมุนกันอยู่นั้น เกิดมีเสียงปืนดังขึ้น ซึ่งไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นฝ่ายใดที่เริ่มก่อน และหลังจากความโกลาหลจบลง “ซิตติงบูลล์” หัวหน้าเผ่าลาโคทา ซูซ์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องวิถีชีวิตคนของเขา มานาน กว่า 30 ปี ถูกยิงเสียชีวิตในวัย 59 ปี
ซึ่งกับการตายของ “ซิตติงบูลล์” นั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นจุดจบของความพยามที่จะรักษาวัฒนธรรมของชาวอินเดียนไว้ ซึ่งสำหรับชาวเผ่าลาโคทา ซูซ์ แล้ว “ซิตติงบูลล์” ถือได้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้วิถีชีวิตของชาวอินเดียนนั้น กลับมาเป็นเช่นดั่งเดิม และสำหรับการจากไปของ “ซิตติงบูลล์” จึงทำให้ความศรัทธาสำหรับชาวอินเดียนทั้งหลาย ที่จะกลับไปสู่วิถีแห่ง “เผ่าซูซ์” ก็จบลงไปด้วย
ต่อมา เมื่อชนพื้นเมืองชาวอินเดียน ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของ “ซิตติงบูลล์” ต่างก็พากันหนีออกจากเขตสงวนไป ซึ่งได้ไปตั้งค่ายพักชั่วคราวใน รัฐเซาท์ดาโคตา อยู่ที่ “วูนเด็ดนี” (Wounded Knee) และกับความหวาดกลัวว่าชาวอินเดียนนั้น จะรวมตัวกันก่อปฏิวัติ รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้ส่งกำลังทหารไปเพื่อกำจัดชาวอินเดียน ที่หนีออกจากเขตสงวนทั้งหมด



สองสัปดาห์หลังจากที่ “ซิตติงบูลล์” ถูกฆ่า “พลเอกเจมส์ ดับเบิ้ลยู. ฟอร์สไซส์” (General Jame W. Forsyth) ได้นำหน่วยทหารม้าที่เจ็ด (The 7th Cavalry) โจมตีค่ายของชาวอินเดียนที่ “วูนเด็ดนี” (Wounded Knee) โดยในขณะนั้น ทหารชาวอเมริกัน ต่างก็ระดมยิงปืนเข้าไปในค่ายของชาวอินเดียนเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่สนใจว่า ชาวเผ่าอินเดียนนั้นจะเป็นใคร ซึ่งกองทัพสหรัฐฯเองก็ได้คิดว่า สำหรับชาวอินเดียนที่ได้หนีออกจากเขตสงวน ถือได้ว่าเป็นศัตรูที่เป็นภัยต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งหมด ทำให้ชนชาว “เผ่าลาโคทา ซูซ์” มากกว่า 200 คน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กๆ ถูกฆ่าตาย
กับเวลาหลายสิบปี ที่ชาวอินเดียนนั้น ได้ต่อสู้เพียงเพื่อรักษาพื้นที่ของตนเองในฝั่งตะวันตกไว้ และหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ “วูนเด็ดนี” (Wounded Knee) ประชากรชาวอินเดียนจากที่เคยมีมากกว่า 300,000 คน ลดลงเหลือไม่ถึงครึ่ง และคนอย่าง “ซิตติงบูลล์” และ “เครซีฮอร์ส” ได้ยืนหยัดต่อสู้กับการคุกคามในครั้งนี้ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ซึ่งทำให้เราได้รับรู้ถึงการต่อสู้เพียงพื่อรักษาความเป็นตัวตนของตนเองนั้นให้คงอยู่ และหวังว่าการต่อสู้และตายเพื่อรักษาวิถีชีวิตของตนเองในครั้งนี้ จะคงอยู่เพื่อเป็นเกียรติให้กับ “ซิตติงบูลล์” และ “เครซีฮอร์ส” นักรบชาวอินเดียนผู้ยิ่งใหญ่ต่อไป
ในตอนหน้าเราจะมาคุยกันต่อกับ อเมริกัน เวสท์ ตอนที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องราวของ อาชญากรที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง ในยุค “ไวล์ด เวสท์ (Wild West)"
อเมริกัน เวสท์ 3 “บทสุดท้ายของชาวเผ่าอินเดียน”
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/0ZhpjSrHwqk
เมื่อ “ซิตติงบูลล์” นั้น เดินทางกลับมาถึงอเมริกา สถานการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกับชาวอินเดียนคนอื่นๆหลายพันคน ซึ่งต่างก็ถูกบีบให้ยอมจำนน และต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบของคนผิวขาว ทำให้ “ซิตติงบูลล์” และชาวลาโคทาทั้งหลายไม่สามารถใช้ในวิถีชีวิตแบบเดิมๆได้ แต่เพื่อที่จะรักษาความเป็นตัวตนของชาว “เผ่าซูซ์” ให้คงอยู่ “ซิตติงบูลล์” จึงมีแนวคิดที่จะหาทางออก เพื่ออยู่ร่วมกับคนผิวขาว
ปี 1885 “ซิตติงบูลล์” ออกจากเขตสงวน เพื่อไปเข้าร่วมกับคณะโชว์ที่โด่งดังของ “บัฟฟาโล บิลล์โคดี้” ซึ่งกับการแสดง “ไวล์ด เวสท์ โชว์” (Wild West Show) ของ “บัฟฟาโล บิลล์” นี้ ซึ่งถือเป็นการแสดงโชว์ที่โด่ง ดังมากในสมัยนั้น โดยการนำเอาชาวอินเดียนแดงตัวจริงมาเข้าร่วมแสดง ในการจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น และจึงเป็นทางเลือกที่ “ซิตติงบูลล์” คิดว่าจะเป็นทางที่ช่วยให้รักษาวัฒนธรรมของ “ชาวเผ่าลาโคทา ซูซ์” ไว้ได้
เมื่อ “ซิตติงบูลล์” กลับมาถึงที่เขตสงวน เขาจึงได้พบบางอย่างที่ไม่คาดคิด ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่พวกชาวอินเดียนเชื่อว่าจะสามารถฟื้นฟูเผ่าลาโคทาให้กลับสู่ชีวิตแบบดั้งเดิมได้ และจะช่วยให้สามารถย้อนเวลาได้ ซึ่งจะทำให้คนขาวนั้นหายไป ควายป่าจะกลับมาดั่งเดิม และชาวอินเดียนจะฟื้นคืนชีพในร่างเดิมของพวกเขา แต่เมื่อมีการรวมตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เจ้าหน้าที่เขตสงวนคิดว่า อาจจะมีการปลุกระดม และก่อความรุนแรงขึ้นได้ รวมถึงการกลับมาของ “ซิตติงบูลล์” นั้น ก็อาจจะนำไปสู่การก่อปฏิวัติได้ด้วยเช่นกัน
ในเดือนธันวาคม ปี 1890 รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งทหารติดอาวุธจำนวน 40 คน เข้าไปในเขตสงวนของชาวอินเดียน เพื่อไปพาตัว “ซิตติงบูลล์” ออกจากที่พักของเขา แต่เหล่าผู้ติดตามของ “ซิตติงบูลล์” นั้น ต่างก็ต้อง การที่จะปกป้องผู้นำของเขา จึงได้ขัดขวางไว้ โดยในช่วงที่ชุลมุนกันอยู่นั้น เกิดมีเสียงปืนดังขึ้น ซึ่งไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นฝ่ายใดที่เริ่มก่อน และหลังจากความโกลาหลจบลง “ซิตติงบูลล์” หัวหน้าเผ่าลาโคทา ซูซ์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องวิถีชีวิตคนของเขา มานาน กว่า 30 ปี ถูกยิงเสียชีวิตในวัย 59 ปี
ซึ่งกับการตายของ “ซิตติงบูลล์” นั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นจุดจบของความพยามที่จะรักษาวัฒนธรรมของชาวอินเดียนไว้ ซึ่งสำหรับชาวเผ่าลาโคทา ซูซ์ แล้ว “ซิตติงบูลล์” ถือได้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้วิถีชีวิตของชาวอินเดียนนั้น กลับมาเป็นเช่นดั่งเดิม และสำหรับการจากไปของ “ซิตติงบูลล์” จึงทำให้ความศรัทธาสำหรับชาวอินเดียนทั้งหลาย ที่จะกลับไปสู่วิถีแห่ง “เผ่าซูซ์” ก็จบลงไปด้วย
ต่อมา เมื่อชนพื้นเมืองชาวอินเดียน ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของ “ซิตติงบูลล์” ต่างก็พากันหนีออกจากเขตสงวนไป ซึ่งได้ไปตั้งค่ายพักชั่วคราวใน รัฐเซาท์ดาโคตา อยู่ที่ “วูนเด็ดนี” (Wounded Knee) และกับความหวาดกลัวว่าชาวอินเดียนนั้น จะรวมตัวกันก่อปฏิวัติ รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้ส่งกำลังทหารไปเพื่อกำจัดชาวอินเดียน ที่หนีออกจากเขตสงวนทั้งหมด
กับเวลาหลายสิบปี ที่ชาวอินเดียนนั้น ได้ต่อสู้เพียงเพื่อรักษาพื้นที่ของตนเองในฝั่งตะวันตกไว้ และหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ “วูนเด็ดนี” (Wounded Knee) ประชากรชาวอินเดียนจากที่เคยมีมากกว่า 300,000 คน ลดลงเหลือไม่ถึงครึ่ง และคนอย่าง “ซิตติงบูลล์” และ “เครซีฮอร์ส” ได้ยืนหยัดต่อสู้กับการคุกคามในครั้งนี้ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ในตอนหน้าเราจะมาคุยกันต่อกับ อเมริกัน เวสท์ ตอนที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องราวของ อาชญากรที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง ในยุค “ไวล์ด เวสท์ (Wild West)"