ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจะได้เริ่มลงมือก่อสร้างซะที เพราะแม้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กลุ่มซีพีและพันธมิตรเป็นผู้ลงทุน ภายใต้สัมปทาน 50 ปีไปแล้ว และรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก็ผ่านแล้ว แต่กลับมาติดขั้นตอนการส่งมอบพื้นที่ทำการก่อสร้าง
การรถไฟเจ้าของที่ดินยังไม่สามารถเคลียร์ปัญหาคาราคาซังได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องของปัญหาภายในองค์กรเกี่ยวกับการย้ายส่วนซ่อมบำรุง พวงราง ไปจนถึงปัญหาภายนอกกับผู้บุกรุกที่ไม่ยอมย้ายออก อีกทั้งปัญหาการย้ายสิ่งกีดขวางมากมายในพื้นที่ก่อสร้าง ทำให้โครงการนี้ยังไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ตามกำหนด แต่การรถไฟฯ ก็ทั้งเร่งทั้งบีบเอกชนให้รีบเซ็นสัญญา
ดูเหมือนว่าปัญหาการส่งมอบพื้นที่จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฝ่ายเอกชนผู้ลงทุนที่ต้องคิดหนัก เนื่องจากหากการรถไฟไม่สามารถเคลียร์ปัญหาเองได้ แถมยังมีข้ออ้างมากมายที่จะให้ฝ่ายผู้ลงทุนต้องลงมือเคลียร์ปัญหาเอง ซึ่งนั่นหมายถึงต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก
สรุปปัญหาที่ต้องสะดุด
กรณี
ผู้บุกรุกที่มีจำนวนงอกขึ้นมาใหม่ เช่น
- พื้นที่กรุงเทพฯ มี 400 หลัง กระจุกตัวมากสุดช่วง “พญาไท-หัวลำโพง” เกิน 270 หลัง,
- พื้นที่นอกเมืองมี 600 หลัง กระจุกอยู่โซน “ศรีราชา-พัทยา” ยังไม่นับรวมบางพื้นที่เข้าไปสำรวจไม่ได้อีกต่างหาก เพราะเป็นที่ดินเวนคืน จึงต้องรอ พ.ร.ฎ.เวนคืนประกาศก่อนถึงจะเข้าสำรวจได้ เช่น “ฉะเชิงเทรา” พื้นที่สร้างสถานีใหม่ ศูนย์ซ่อมบำรุงและโรงจอด
- เบื้องต้นมีพื้นที่ติดปัญหา 2,250 ไร่ ทั้งเวนคืน ผู้บุกรุก
- สัญญาเช่า 300 สัญญา
- เสาตอม่อโฮปเวลล์ 200 ต้น ที่ต้องทุบทิ้ง และ
- จุดทับซ้อนกับรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ อุโมงค์คลองแห้งช่วงจิตรลดา ซ้อนทับสายสีแดง ที่เราต้องก่อสร้างให้ไปก่อน 7,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมี
ระบบสาธารณูปโภคกีดขวางแนวเส้นทางมากกว่าเดิม จุดใหญ่ ๆ คือ
- ท่อน้ำมัน/ท่อก๊าซ สายไฟฟ้าแรงสูงทั้งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง รวมกันหลายจุด
- ยังไม่นับอาคารคลองส่งน้ำของสำนักการระบายน้ำ และ
- เสาโทรเลข ของร.ฟ.ท. ตั้งเป็นแนวยาว 77 กม.
(เฮ้ย! จริงดิ่ ประเทศไทยเลิกใช้โทรเลขมาสิบปีแล้ว แต่เสาโทรเลขยังตระหง่านอยู่??? ...อ้อ โอเค เข้าใจได้ เก็บไว้เป็นอนุสรณ์)
ยังดีหน่อยที่การรถไฟบอกว่า ภาระการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะให้เจ้าของระบบสาธารณูปโภคนั้น ๆ ดำเนินการรื้อย้ายเองทั้งหมด

สำหรับ
เป้าหมายการส่งมอบพื้นที่
- ช่วงแรกจะส่งมอบกันภายใน 2 ปี
- ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นพื้นที่พวงรางจะเร่งส่งมอบให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปีนับจากเซ็นสัญญา
(โหหหหหห 5 ปี จะบ้าเหรอ 5 ปีนี่คือโครงการนี้ต้องเสร็จแล้วนะ...อันนี้ไม่น่าจะแฟร์)
นอกจากการติดขัดปัญหาการรื้อและย้ายอะไรต่อมิอะไรแล้ว
เอกชนที่ชนะการประมูลยังต้องสร้างอย่างอื่นในพื้นที่ที่ทำการก่อสร้างด้วย เช่น
- ถนนทางยกระดับตั้งแต่แยกอโศก เชื่อมเข้าแปลงที่ดินที่ได้สัมปทาน เพื่อแก้ปัญหาจราจรแออัดที่กระทบพื้นที่โดยรอบ (รัฐได้ประโยชน์ แต่เอกชนต้องออกค่าใช้จ่ายเอง)
- ทางจักรยาน ทางเดินเท้า ในพื้นที่สีเขียว
- อาคารสำนักงาน เพื่อเป็นสมาร์ทซิตี
- องค์ประกอบอื่น ๆ ในรูปแบบมิกซ์ยูส แล้วแต่เอกชนจะกำหนด

สำหรับ
ด้านความคุ้มค่านั้น
ทางรฟท.ประเมินว่า ระหว่างการให้เอกชนเช่า ด้วยมูลค่า 52,000 ล้านบาท กับการที่รฟท.ลงทุนเอง จะใช้งบใกล้เคียงกัน ดังนั้น ให้เอกชนลงทุนเอง แล้วรฟท.เก็บค่าเช่า คุ้มกว่ากันเห็น ๆ ซึ่งการที่เอกชนเข้ามาพัฒนาพื้นที่กว่า 120 ไร่นั้น จะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 10 ปีถึงจะคุ้มทุน
(อันนี้ตอบคำถามตบหน้าพวกคัดค้านการพัฒนาที่ชอบบอกว่า รฟท.จะได้อะไร เก็บไว้ให้เป็นพื้นที่เน่า ๆ ชั่วลูกชั่วหลานดีกว่า)
ด้านดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาอีอีซี ยังบอกด้วยว่า
โครงการนี้หมดห่วงเรื่องจะเกิดเหตุการณ์ค่าโง่แบบโฮปเวลล์ เพราะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนแบบ PPP ซึ่งเอกชนจะเป็นผู้จ่ายเงินลงทุนไปก่อนทั้งหมด จนเมื่อเปิดบริการปีแรก รัฐบาลถึงจะเริ่มจ่ายเงินให้เอกชนปีละ 10% รวมระยะเวลา 10 ปี แตกต่างจากโครงการโฮปเวลล์ที่รัฐบาลจ่ายเงินให้เอกชนไปและสร้างไป เพราะฉะนั้นโครงการนี้ไม่มีค่าโง่แน่นอน
ดู ๆ แล้ว เหมือนว่างานนี้จะเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่รัฐได้เปรียบหรือจะเรียกว่าเอาเปรียบเอกชนก็ไม่น่าจะผิดนัก ในฐานะประชาชน เมื่อรัฐได้เปรียบ เราก็ยิ้ม แต่พอลองหันไปมองเอกชนก็ให้เห็นใจอยู่ไม่น้อย หืดขึ้นคอกว่าจะได้ทุนคืน ...แต่เอาเถอะ ยังไงก็
เอาใจช่วย ให้โครงการเกิดซะทีเถิด อย่ายืดเยื้อต่อเลย อยากเห็นความสำเร็จและความเจริญอย่างที่รัฐและอีอีซีโม้ไว้เต็มทนแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ข้อมูลจาก
https://www.thairath.co.th/news/business/1629916
https://www.prachachat.net/property/news-355589
https://www.thansettakij.com/content/406105
https://www.prachachat.net/property/news-346702
ไฮโลว์ EEC: ไฮสปีดเชื่อมสนามบิน สะดุดโลว์โพรเซสการรื้อย้าย เอกชนก่ายหน้าผาก ฉายแววงบบานปลาย แถมรัฐปิดทางเสียค่าโง่
การรถไฟเจ้าของที่ดินยังไม่สามารถเคลียร์ปัญหาคาราคาซังได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องของปัญหาภายในองค์กรเกี่ยวกับการย้ายส่วนซ่อมบำรุง พวงราง ไปจนถึงปัญหาภายนอกกับผู้บุกรุกที่ไม่ยอมย้ายออก อีกทั้งปัญหาการย้ายสิ่งกีดขวางมากมายในพื้นที่ก่อสร้าง ทำให้โครงการนี้ยังไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ตามกำหนด แต่การรถไฟฯ ก็ทั้งเร่งทั้งบีบเอกชนให้รีบเซ็นสัญญา
ดูเหมือนว่าปัญหาการส่งมอบพื้นที่จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฝ่ายเอกชนผู้ลงทุนที่ต้องคิดหนัก เนื่องจากหากการรถไฟไม่สามารถเคลียร์ปัญหาเองได้ แถมยังมีข้ออ้างมากมายที่จะให้ฝ่ายผู้ลงทุนต้องลงมือเคลียร์ปัญหาเอง ซึ่งนั่นหมายถึงต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก
สรุปปัญหาที่ต้องสะดุด
กรณีผู้บุกรุกที่มีจำนวนงอกขึ้นมาใหม่ เช่น
- พื้นที่กรุงเทพฯ มี 400 หลัง กระจุกตัวมากสุดช่วง “พญาไท-หัวลำโพง” เกิน 270 หลัง,
- พื้นที่นอกเมืองมี 600 หลัง กระจุกอยู่โซน “ศรีราชา-พัทยา” ยังไม่นับรวมบางพื้นที่เข้าไปสำรวจไม่ได้อีกต่างหาก เพราะเป็นที่ดินเวนคืน จึงต้องรอ พ.ร.ฎ.เวนคืนประกาศก่อนถึงจะเข้าสำรวจได้ เช่น “ฉะเชิงเทรา” พื้นที่สร้างสถานีใหม่ ศูนย์ซ่อมบำรุงและโรงจอด
- เบื้องต้นมีพื้นที่ติดปัญหา 2,250 ไร่ ทั้งเวนคืน ผู้บุกรุก
- สัญญาเช่า 300 สัญญา
- เสาตอม่อโฮปเวลล์ 200 ต้น ที่ต้องทุบทิ้ง และ
- จุดทับซ้อนกับรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ อุโมงค์คลองแห้งช่วงจิตรลดา ซ้อนทับสายสีแดง ที่เราต้องก่อสร้างให้ไปก่อน 7,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีระบบสาธารณูปโภคกีดขวางแนวเส้นทางมากกว่าเดิม จุดใหญ่ ๆ คือ
- ท่อน้ำมัน/ท่อก๊าซ สายไฟฟ้าแรงสูงทั้งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง รวมกันหลายจุด
- ยังไม่นับอาคารคลองส่งน้ำของสำนักการระบายน้ำ และ
- เสาโทรเลข ของร.ฟ.ท. ตั้งเป็นแนวยาว 77 กม.
(เฮ้ย! จริงดิ่ ประเทศไทยเลิกใช้โทรเลขมาสิบปีแล้ว แต่เสาโทรเลขยังตระหง่านอยู่??? ...อ้อ โอเค เข้าใจได้ เก็บไว้เป็นอนุสรณ์)
ยังดีหน่อยที่การรถไฟบอกว่า ภาระการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะให้เจ้าของระบบสาธารณูปโภคนั้น ๆ ดำเนินการรื้อย้ายเองทั้งหมด
สำหรับเป้าหมายการส่งมอบพื้นที่
- ช่วงแรกจะส่งมอบกันภายใน 2 ปี
- ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นพื้นที่พวงรางจะเร่งส่งมอบให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปีนับจากเซ็นสัญญา
(โหหหหหห 5 ปี จะบ้าเหรอ 5 ปีนี่คือโครงการนี้ต้องเสร็จแล้วนะ...อันนี้ไม่น่าจะแฟร์)
นอกจากการติดขัดปัญหาการรื้อและย้ายอะไรต่อมิอะไรแล้ว เอกชนที่ชนะการประมูลยังต้องสร้างอย่างอื่นในพื้นที่ที่ทำการก่อสร้างด้วย เช่น
- ถนนทางยกระดับตั้งแต่แยกอโศก เชื่อมเข้าแปลงที่ดินที่ได้สัมปทาน เพื่อแก้ปัญหาจราจรแออัดที่กระทบพื้นที่โดยรอบ (รัฐได้ประโยชน์ แต่เอกชนต้องออกค่าใช้จ่ายเอง)
- ทางจักรยาน ทางเดินเท้า ในพื้นที่สีเขียว
- อาคารสำนักงาน เพื่อเป็นสมาร์ทซิตี
- องค์ประกอบอื่น ๆ ในรูปแบบมิกซ์ยูส แล้วแต่เอกชนจะกำหนด
สำหรับด้านความคุ้มค่านั้น
ทางรฟท.ประเมินว่า ระหว่างการให้เอกชนเช่า ด้วยมูลค่า 52,000 ล้านบาท กับการที่รฟท.ลงทุนเอง จะใช้งบใกล้เคียงกัน ดังนั้น ให้เอกชนลงทุนเอง แล้วรฟท.เก็บค่าเช่า คุ้มกว่ากันเห็น ๆ ซึ่งการที่เอกชนเข้ามาพัฒนาพื้นที่กว่า 120 ไร่นั้น จะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 10 ปีถึงจะคุ้มทุน
(อันนี้ตอบคำถามตบหน้าพวกคัดค้านการพัฒนาที่ชอบบอกว่า รฟท.จะได้อะไร เก็บไว้ให้เป็นพื้นที่เน่า ๆ ชั่วลูกชั่วหลานดีกว่า)
ด้านดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาอีอีซี ยังบอกด้วยว่า โครงการนี้หมดห่วงเรื่องจะเกิดเหตุการณ์ค่าโง่แบบโฮปเวลล์ เพราะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนแบบ PPP ซึ่งเอกชนจะเป็นผู้จ่ายเงินลงทุนไปก่อนทั้งหมด จนเมื่อเปิดบริการปีแรก รัฐบาลถึงจะเริ่มจ่ายเงินให้เอกชนปีละ 10% รวมระยะเวลา 10 ปี แตกต่างจากโครงการโฮปเวลล์ที่รัฐบาลจ่ายเงินให้เอกชนไปและสร้างไป เพราะฉะนั้นโครงการนี้ไม่มีค่าโง่แน่นอน
ดู ๆ แล้ว เหมือนว่างานนี้จะเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่รัฐได้เปรียบหรือจะเรียกว่าเอาเปรียบเอกชนก็ไม่น่าจะผิดนัก ในฐานะประชาชน เมื่อรัฐได้เปรียบ เราก็ยิ้ม แต่พอลองหันไปมองเอกชนก็ให้เห็นใจอยู่ไม่น้อย หืดขึ้นคอกว่าจะได้ทุนคืน ...แต่เอาเถอะ ยังไงก็เอาใจช่วย ให้โครงการเกิดซะทีเถิด อย่ายืดเยื้อต่อเลย อยากเห็นความสำเร็จและความเจริญอย่างที่รัฐและอีอีซีโม้ไว้เต็มทนแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้