(2 สาวเพื่อนซี้) Expedition Everest 6 วัน Rapid Ascent + แผ่นดินไหว + ระเบิดที่ Kathmandu


#traveldoubleXebc
ทริปนี้วางแผนมา 4 ปี ตั้งแต่แผ่นดินไหวเมื่อปี 2015 ตอนนั้นจะไป everest base camp (ebc) ฝั่ง Tibet แต่เจอ earthquake เข้าไปเลยอดเลย หลังจากนั้นก็ตั้งใจไว้ว่า ยังไงก็ต้องไปให้ถึง Everest สักครั้งในชีวิต แล้วปีนี้ก็ได้ไป 

เราจ้างไกด์ private นะคะ ยอมจ่ายเพิ่มดีกว่าไปกับกลุ่มใหญ่ ต้องมาเสียเวลาเดิน pace เดียวกับคนที่เดินช้าที่สุด แล้วยังต้องมาลุ้นว่าจะมีใครป่วยแล้วต้องลงเขารึป่าวอีก ไปสองคนดีกว่า ใครไม่มั่นใจในมิตรภาพ/ความสัมพันธ์อาจจะต้องคิดดีๆนะคะ กลับมาอาจจะเลิกคบกันได้ ถ้ารักกันไม่มากพอ 555+ มันลำบากอยู่นะ เราสองคนเป็นเพื่อนกันมา 19 ปี ไปกันมาเยอะแล้ว เลยแน่ใจว่าจะพากันรอด เขาอื่นก็ลากๆกันขึ้นไป ยังไงก็ come out stronger แน่นอน

เราอยู่เนปาล 15 วัน Kathmandu ก่อน/หลัง trek อย่างละ 2 คืน ไม่ว่าคุณจะเดินป่ากี่วัน ก็แนะให้มี 2 คืนก่อน/หลัง ไม่งั้นถ้าอากาศไม่ดีหรือป่วยอาจจะต้องเลื่อนตั๋วกลับ
Everest Expedition เรา 10 วัน บินเข้า Lukla วันที่ 1 ออกวันที่ 11 ถึง EBC วันที่ 6 เลยเป็นทริป rapid ascent ขึ้นแบบไม่มีการ acclimatize ก็จะเสี่ยงหน่อยๆ แต่เราก็มีแผนสำรองนะ ถ้าไม่ไหวสามารถเพิ่มวันเดินขึ้น แล้วก็ลดวันเดินลงได้ หรือถ้าสุดจริงๆ ก็เลื่อนวันออกจาก Lukla ก็จะเป็นทริปความยาวปกติเหมือนทัวร์ทั่วไปที่จัดเป็น 12-14 วัน

เตรียมร่างกาย getting fit
พัง! ไปเล่นสกีเมื่อเดือนมีนาคม แล้วดันเจ็บเข่า กว่าจะกลับมา cardio เบาๆได้ก็เมษา เราเล่น cardio แค่วันละ 1ชม อาทิตย์ละ 3-6 วัน ที่จริงควรจะเล่น 2-3 ชม ยังดีที่เราออกกำลังกายมาตลอด แล้วปกติก็เดินได้วันละ 20กม อยู่แล้ว เลยไม่กังวลมาก

เรื่องของความสูง ไม่มีใครรู้ว่าจะป่วยไหม แต่เพราะเคยไปทิเบต ขึ้น altitude ได้ถึง 4800m โดยไม่รู้สึกอะไร เลยคิดว่าครั้งนี้น่าจะโอเค บวกกับการไปเล่นสกีในยุโรป แล้วก็ปีนเขาต่างๆ เช่น Kinabalu, Rinjani ได้ เลยมั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องไปได้ถึง 4800m ถึงตอนนั้นป่วยก็อัดยาเอา อีกแค่วันเดียว ยังไงก็ถึง base camp 

เอาจริงๆ ที่กลัวกว่าความสูง ก็ความยากของเส้นทางนี่แหละ มันไม่ใช่ทางราบอะ ที่จะเดินกันง่ายๆ ทางทั้งหมดเป็นเขา ขึ้นๆลงๆไปเรื่อย เตรียมใจยังไงก็ไม่พร้อมหรอก ถึงวันไปก็ทำใจเอาละกัน ยังไงก็ถอยไม่ได้ (ต้องคิดแบบนี้ มันอยู่ที่ mentality เยอะมากๆ 555+) 
 ไปยังไง how to get there?
International flight
จาก กทม มี 2 สายการบินที่บินตรง ถ้าจากลอนดอนเราเลือกการบินไทยแล้วก็ Air India  
Domestic flight
ไกด์จองของ Sita Air ที่นั่นมีหลายสายการบินแหละ เรายังไงก็ได้ ขอแค่ออกจาก Kathmandu ก็พอ ช่วงที่ไปสนามบินปิดซ้อม runway บางสายการบินไปออกจาก Ramechap ต้องนั่งรถไป 4 ชม ออกจากในเมืองตั้งแต่ตี 3 คือไม่ไหวอะ เราบอกไกด์เลย คือยังไงก็ขอออกจาก KTM เวลาสายหน่อยก็ได้ แล้วค่อยปรับแผนการเดินสองวันแรกก็ได้ 

Kathmandu
แนะนำให้พักที่ Bodhi hotel อยู่กลาง Thamel ซึ่งเป็นย่านนักท่องเที่ยว รร ใหม่ สะอาด พนักงานดี อาหารเช้าอร่อย เดินไปไม่ไกลมีร้านอาหารไทย Wok up ราคาถูก แล้วก็รสจัดด้วย 

อีกร้านที่แนะนำคือ Fire and Ice เป็นร้าน pizza ที่อร่อยที่สุดในเนปาล มีสาขาที่ Kolkata, India ด้วย อร่อยจริงๆนะ คราวก่อนมาเนปาลก็กิน ครั้งนี้ก็ไปทั้งขาไป/กลับ pastaเฉยๆ กาแฟเย็นดี ว่างๆก็ไปเดินเล่น นั่งเล่นชิลๆ ที่ Garden of Dreams มันเป็นสวนสไตล์ neo-classical มีร้านกาแฟด้วย เป็น sanctuary away from all the chaos จริงๆ เงียบ สงบ ตัดขาดจากความวุ่นวายข้างนอก ใครขาดของอะไรก็หาซื้อได้ใน Thamel ว่างเราก็เดินซื้อผ้า cashmere แล้วก็ครีม Himalaya
EBC Trek
Day 1: Lukla - Monjo
วันแรกบินแต่เช้าเลย เราออกจากโรงแรมในเมืองกันประมาณ 6 โมงตรง แล้วได้บินประมาณ 8 โมง บินไม่นานก็ถึงสนามบิน Tenzing-Hillary ที่ Lukla สนามบินนี่ติดท็อป 5 สนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก runway ก็สั้น อยู่บนเขาแล้วก็ต้องบินระหว่างช่องแคบภูเขา กว่าจะถึงสนุกสนานมาก >.< เครื่องเล็ก นั่งได้ไม่ถึง 20 คน ใครกลัวเครื่องบินก็เตรียมใจไว้ดีๆนะ นั่งสวดมนต์ไปเลย 555+
พอถึงไกด์ก็ให้เวลาพัก 15 นาที เข้าห้องน้ำ เตรียมของให้เรียบร้อย กระเป๋าเรามากันแบบน้ำหนักเกิน นี่ขนาดทิ้งของบางส่วนไว้ที่ รร นะ ยังต้องจ่ายเพิ่มเลย สายการบินให้น้ำหนัก 10โล ในกระเป๋าใหญ่ แล้วเป้ 5โล เราเกินกันคนละ 2-3โลได้ สงสารคนแบกอยู่เหมือนกัน แบกคนเดียวสองใบเลย แข็งแรงมาก 
            
วันแรกเดินเบาๆ 4 ชม 14กม พักครึ่งทาง แวะกินเที่ยงก่อนที่จะเดินต่อไปนอนที่ Monjo เส้นทางยังไม่ยากมาก เพราะเดินลงเยอะเหมือนกัน แต่คิดดูดิ ขากลับต้องกลับทางนี้ไง แล้วมันจะกลายเป็นเดินขึ้น ตอนกลับหนักอยู่
อากาศตรงนี้ยังไม่หนาว ใส่เสื้อยืดตัวเดียวเดินได้ค่ะ แต่ต้องพก waterproof windbreaker กันไว้นะคะ กลางคืนอุณหภูมิลดลงเยอะเหมือนกัน เหลือ 10กว่า องศา ห้องพัก basic มีห้องน้ำแล้วก็น้ำร้อน สบายๆค่ะ เผื่อความสะอาดและสบายใจ เราเริ่มใช้ถุงนอนตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ
Day 2: Monjo - Namche Bazar
วันที่ 2 เริ่มกัน 8โมงกว่า เดินรวดเดียว 4 ชม 10กม เดินขึ้นจาก 2855m ไปถึง 3440m ที่ Namche เหนื่อยมากเดินขึ้นไม่หยุดประมาณ 2 ชม ความชันระดับ (incline) 12 มีเดินข้าม 3 สะพาน หนึ่งในนั้นมีสะพานที่สูงที่สุดของเส้นทางด้วย ทุกๆครั้งที่เห็นสะพานจะแอบท้อเพราะต้องเดินลงไปที่สะพาน ข้าม แล้วก็เดินขึ้นเขาอีกลูก
ที่ Namche เราไม่ชอบที่พักเลย ถ้าไปใหม่จะยอมจ่ายแพง แล้วนอนดีๆไปเลย เพราะที่หมู่บ้านนี้มีตัวเลือกเยอะ ส่วนอาหาร มีร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยเลยอะ ข้าวก็เป็นข้าวญี่ปุ่น ฟินมาก มีร้านขนมหลายร้านด้วยนะ นั่งเล่นสบายๆเลยตอนบ่าย ใครลืมอะไรที่ namche จะเป็นจุดสุดท้ายที่หาซื้อได้
 คนที่ไปทริปยาวจะนอนที่นี่ 2 คืน เผื่อที่จะได้ปรับตัวกับความสูง แต่เราจะมุ่งหน้าขึ้นไปต่อเลยค่ะ พักปรับตัวครึ่งวันก็โอเคแล้ว ยังไม่ได้รู้สึกถึงความสูง รู้แค่ว่าเหนื่อยกับความชัน อากาศยังเหมือนเดิม ใส่เสื้อยืดเดินได้ เราใส่เป็นเสื้อในกีฬาแล้วก็เสื้อคลุมกันแดดบางๆ
Day 3: Namche - Tengboche
วันที่ 3 เป็นอีกวันที่เริ่มเดินประมาณ 8 โมง เดินทั้งหมด 5 ชม กว่า ระยะทาง 12 กม ขี้นไปถึงความสูง 3800m ทางเดินวันนี้ก็เรื่อยๆ เลาะเขามา วิวเริ่มสวยแล้ว เราชอบวันนี้นะ เห็น Ama Dablam แล้วก็เริ่มเห็น Everest ไกลๆ 
     
ที่ Tengboche มีวัดทิเบตให้เที่ยวด้วยนะ เราไม่ได้เข้า ไม่อยากตื่นเช้า ไปวัดที่ทิเบตมาเยอะมากแล้วนั่งพักสบายๆดีกว่า 
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ได้อาบน้ำสำหรับขาขึ้น ห้องอาบน้ำอยู่ข้างนอก ต้องรีบอาบตอนไปถึงเลยเพราะอากาศเย็นลงเร็วมาก ตอนเย็นๆเหลือประมาณ 6°C หลังจากนี้เช็ดตัวยาวๆไป
ที่พักที่นี่ดีเลย อาหารอร่อยด้วย เพราะอากาศที่เย็นลง (กลางวันเราใส่เสื้อแขนยาวบางๆตัวเดียว) เราเริ่มใช้ sleeping bag liner เพิ่มความอุ่นแล้ว เขามีผ้าห่มให้ทุกที่นะ เราสองคน คนที่ขี่ร้อนแทบไม่ใช้ผ้าห่มเลย อีกคนแทบจะใส่เสื้อผ้า 3 ชั้น เข้าไปก่อน ถ้าใครเห็นก็จะงง เหมือนนอนอยู่คนละที่ 55+
Day 4: Tengboche - Dingboche
วันที่ 4 อากาศเริ่มเย็นแล้วเลยใส่เสื้อแขนยาวหนาหน่อยเดิน ของเราเป็นเสื้อที่ไว้ใส่วิ่งหน้าหนาว/เล่นสกี  ตัวเดียวอยู่ ถ้าพอลมแรงๆก็ใส่ windbreaker ทับ
12กม อีกแล้วจ้า นี่ตื่นมาไม่ปวดขาแล้วนะ เดินจนชิน วันนี้จะเป็นวันแรกที่เกิน 4000เมตร เราจะไปนอนกันที่ Dingboche ที่ความสูง 4440m อากาศกลางคืนเหลือ 0 องศา ล้างหน้า แปลงฟัน น้ำเย็นแบบน้ำแข็งเลย ต้องเริ่มทำใจเพราะจะเป็นแบบนี้ไปอีกหลายวัน มีแต่จะหนาวขึ้น 
 
ที่พักก็เหมือนเดิม ที่เปลี่ยนไปคือไม่มีไฟฟ้าแล้ว ใช้เป็น solar power นอกจากนั้นแล้วก็ยังไม่มีสัญญาณมือถือแล้วด้วย เราเลยซื้อ wifi card กัน คืออยู่ไม่ได้จริงๆ ไม่มีเน็ตเนี่ย พวกเราเดินเร็ว บ่ายๆก็ว่างทุกวัน นั่งเล่นเน็ตยาวไป 
ชีวิตมี routine มาก พอบ่ายถึงที่พัก พวกเราจะรีบอาบน้ำ/เช็ดตัวก่อนเลย แล้วก็ไปนั่งดื่มชา/น้ำเยอะๆ เล่นเน็ต รอกินข้าวเย็นตอน 6โมง ครึ่ง พอ 2ทุ่ม ไกด์จะมา brief เส้นทางวันรุ่งขึ้น 3ทุ่มเตรียมนอน 4ทุ่ม-6/7โมงเช้า เป็นเวลานอน เรื่องนอนเรื่องใหญ่นะ ต้องนอนให้ได้ ไกด์ห้ามพวกเรานอนกลางวันเด็ดขาด เดียวกลางคืนไม่หลับแล้วจะยุ่ง ป่วยแล้วจะลำบาก 
 
วันที่ 3-4 เนี่ย เริ่มมีคนป่วยให้เห็นแล้ว และหลังจากนี่ก็เจอทุกวัน เป็นมากน้อย แล้วแต่คน บางคนก็ต้องเรียก ฮ มารับ หรือเดินลงอดไปต่อ เห็นแล้วก็สงสาร พวกเราโชคดีที่ไม่เป็นไร พอถึงวันนี้ได้กินอิ่ม นอนหลับทุกวัน (ไกด์จะดูว่ากินอาหารหมดทุกมื้อไหม) ไกด์ก็ happy สบายใจแล้ว บอกว่ารอดแล้ว เราเลยกลายเป็นเด็กสมบูรณ์ 2 คนบนเขา กินเยอะมาก บางวันก็สั่งอาหารมาเพิ่มตอนบ่าย

เดี๋ยวมาเล่าต่อ..
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่