27 มิถุนายน 2019
ผมรู้ตัวเองดีว่าปัญหาต่างๆมันกำลังรุมเข้ามาหาผม ผมเครียด นอนไม่หลับมาเป็นเวลาหลายคืน และครั้งนี้มันทำให้ผมรู้ตัวเองจริงๆว่าเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน จึงๆผมมีความรู้สึกนี้มาแล้วช่วงเวลาหนึ่ง อาจนับได้ว่า2-3ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นผมไม่รู้อะไรเลย เหมือนกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้ ช่วงปีที่แล้วที่บ้านโทรมาถามไถ่ผม ผมก็บอกไปแค่ว่าไม่สบาย เขาก็ถามว่าเป็นอะไรมากมั้ย ให้นอนพัก เงินก็ไม่ค่อยมีจะรักษาอะไร ต้องดูแลตัวเอง ผมก็ได้แค่ตอบไปว่าผมไม่เป็นไรมาก นอนพัก็หาย เพื่อแค่ให้ที่บ้านสบายใจ จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมกำลังจะเป็นเหมือนคนบ้า ผมตัดสินใจไปหาหมอเอง ผมรู้สึกกล้าๆกลัวๆ พอถึงจุดคัดกรอง พยาบาลถามผมว่าเป็นอะไรมา ต่อหน้าสายตาผู้คนนับร้อยนับพันที่อยู่ที่นั่น ผมไม่กล้าบอกว่าผมเป็นโรคซึมเศร้า ผมจึงตอบไปว่าแค่มาพบจิตแพทย์ ผมใช้เวลาเกือนทั้งวันจนผมได้เข้าพบหมอ แต่ก็ยังไม่ใช่จิตแพทย์ เป็นหมอเวชศาสตร์ทั่วไป หมอถามไถ่ผมว่าเป็นอะไรยังไงบ้าง เล่าให้หมอฟัง ผมก็แค่ตอบไปว่าผมเครียดจนนอนไม่หลับมาหลายคืน แน่นอนครับว่าเขาอย่ารู้เรื่องราวของผม แต่หมอเขาก็บอกว่าหมอเข้าใจว่าเรายังไม่สนิทอะไรกันมาก แต่เรื่องแบบี้ทุกอย่างต้องเริ่มปรับจากความคิดเรา ประโยคนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกจมลง แต่ผมเข้าใจเจตนาของหมอ ผมมีปัญหา ผมรู้สึกอยากหายไป อยากไร้ตัวตน ผมไม่อยากกินอะไร ไม่อยาดทำอะไร ใช่ครับ ผมทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่ผมไม่กล้าบอกบอกเรื่องกรีดข้อมือ หรืออื่นๆ เพราะผมแค่อยากให้มันผ่านไปเร็วๆ ผมตอบไปแค่ว่าผมต่อยกำแพง สุดท้ายหมอบอกว่าผมเป็นโรคซึมเศร้าปานกลางถึงขั้นรุนแรงและผมก็ได้ยากลับมา เป็นยาคอยปรับสารเคมีต่างๆในร่างกาย พอผมกลับมาถึงห้องตอนช่วงเย็น ผมก็กินยาแล้วก็นอน เมื่อผมตื่นขึ้น ความรู้สึกทุกอย่างมันเปลี่ยนไป มันมีความสุขดี แต่พอผ่านไปสักพัก ความรู้สึกต่างๆก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ยาตัวนี้หมอให้กินตอนเช้า มันทำให้ผมรู้ว่า สุดท้ายเราก็เก็บความทุกข์ทรมานไว้กับตัวเอง อยู่คนเดียว เพื่อไม่ให้คนอื่นคิดมาก เพื่อไม่ให้คนอื่นจมอยู่กับเรา สุดท้ายผมก็รู้ว่ามันเป็นความสุขไม่แท้ที่ยานั้นได้สร้างขึ้น และผมก็ไม่รู้เลยว่าการไปเผชิญหน้ากับหมอครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่...
เมื่อผมเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
ผมรู้ตัวเองดีว่าปัญหาต่างๆมันกำลังรุมเข้ามาหาผม ผมเครียด นอนไม่หลับมาเป็นเวลาหลายคืน และครั้งนี้มันทำให้ผมรู้ตัวเองจริงๆว่าเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน จึงๆผมมีความรู้สึกนี้มาแล้วช่วงเวลาหนึ่ง อาจนับได้ว่า2-3ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นผมไม่รู้อะไรเลย เหมือนกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้ ช่วงปีที่แล้วที่บ้านโทรมาถามไถ่ผม ผมก็บอกไปแค่ว่าไม่สบาย เขาก็ถามว่าเป็นอะไรมากมั้ย ให้นอนพัก เงินก็ไม่ค่อยมีจะรักษาอะไร ต้องดูแลตัวเอง ผมก็ได้แค่ตอบไปว่าผมไม่เป็นไรมาก นอนพัก็หาย เพื่อแค่ให้ที่บ้านสบายใจ จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมกำลังจะเป็นเหมือนคนบ้า ผมตัดสินใจไปหาหมอเอง ผมรู้สึกกล้าๆกลัวๆ พอถึงจุดคัดกรอง พยาบาลถามผมว่าเป็นอะไรมา ต่อหน้าสายตาผู้คนนับร้อยนับพันที่อยู่ที่นั่น ผมไม่กล้าบอกว่าผมเป็นโรคซึมเศร้า ผมจึงตอบไปว่าแค่มาพบจิตแพทย์ ผมใช้เวลาเกือนทั้งวันจนผมได้เข้าพบหมอ แต่ก็ยังไม่ใช่จิตแพทย์ เป็นหมอเวชศาสตร์ทั่วไป หมอถามไถ่ผมว่าเป็นอะไรยังไงบ้าง เล่าให้หมอฟัง ผมก็แค่ตอบไปว่าผมเครียดจนนอนไม่หลับมาหลายคืน แน่นอนครับว่าเขาอย่ารู้เรื่องราวของผม แต่หมอเขาก็บอกว่าหมอเข้าใจว่าเรายังไม่สนิทอะไรกันมาก แต่เรื่องแบบี้ทุกอย่างต้องเริ่มปรับจากความคิดเรา ประโยคนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกจมลง แต่ผมเข้าใจเจตนาของหมอ ผมมีปัญหา ผมรู้สึกอยากหายไป อยากไร้ตัวตน ผมไม่อยากกินอะไร ไม่อยาดทำอะไร ใช่ครับ ผมทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่ผมไม่กล้าบอกบอกเรื่องกรีดข้อมือ หรืออื่นๆ เพราะผมแค่อยากให้มันผ่านไปเร็วๆ ผมตอบไปแค่ว่าผมต่อยกำแพง สุดท้ายหมอบอกว่าผมเป็นโรคซึมเศร้าปานกลางถึงขั้นรุนแรงและผมก็ได้ยากลับมา เป็นยาคอยปรับสารเคมีต่างๆในร่างกาย พอผมกลับมาถึงห้องตอนช่วงเย็น ผมก็กินยาแล้วก็นอน เมื่อผมตื่นขึ้น ความรู้สึกทุกอย่างมันเปลี่ยนไป มันมีความสุขดี แต่พอผ่านไปสักพัก ความรู้สึกต่างๆก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ยาตัวนี้หมอให้กินตอนเช้า มันทำให้ผมรู้ว่า สุดท้ายเราก็เก็บความทุกข์ทรมานไว้กับตัวเอง อยู่คนเดียว เพื่อไม่ให้คนอื่นคิดมาก เพื่อไม่ให้คนอื่นจมอยู่กับเรา สุดท้ายผมก็รู้ว่ามันเป็นความสุขไม่แท้ที่ยานั้นได้สร้างขึ้น และผมก็ไม่รู้เลยว่าการไปเผชิญหน้ากับหมอครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่...