จากกระทู้ที่แล้ว ที่ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์การไปพบจิตแพทย์และการใช้ชีวิตอยู่กับโรคซึมเศร้าไว้ใน Part 1
https://pantip.com/topic/36846166
วันนี้ก็เลยมีเรื่องมาเล่าต่อใน Part 2 เพราะมีประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมจากการไปพบจิตแพทย์มาให้แบ่งปันให้ฟังกันค่ะ
สำหรับท่านที่อยากติดตามข้อมูลดีๆ เรื่องโรคซึมเศร้า สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ เพจนี้หมีไม่เศร้า
https://www.facebook.com/notbluesbear นะคะ
มาต่อกันเลยค่ะ
19. มาบำบัดจิตหรือมาเรียนธรรมะกันล่ะเนี่ย
เมื่อถึงวันนัดพบหมออีกครั้งของเดือนนี้เพื่อติดตามอาการและรับยา คุณหมอยังคงถามไถ่เราเหมือนเดิม ว่าเดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรบ้าง แล้วเราทำอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น คิด รู้สึก และตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไร
สำหรับเดือนนี้ เรายังคงมีเรื่องให้เครียดบ้างอยู่เป็นระยะๆ แต่ช่วงเวลาที่เก็บมาคิดนั้นสั้นขึ้น จากเดิมที่เคยคิดวนอยู่ที่เดิม ก็เริ่มมีสติพอที่จะตัดสิ่งที่รบกวนอยู่ในใจให้ออกไปได้ภายในเวลา 2-3 วัน รอบนี้คุณหมอได้ชวนให้เราสังเกตหลายๆ อย่างรอบๆ ตัว สังเกตตัวเอง สังเกตคนรอบข้าง สังเกตอารมณ์ และความรู้สึก คุณหมอบอกว่า มันคือการฝึกสติ
เพราะ “สติ” จะช่วยให้เราตั้งตัว ตั้งใจได้เร็วขึ้น ที่จะไม่หมกมุ่นอยู่กับความคิดลบๆ มากเกินไป พยายามฝึกให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ตั้งใจ ให้ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ
การเรียนฝึกสติกับคุณหมอในครั้งนี้ ทำให้เรานึกย้อนไปถึงช่วงที่เราเคยไปปฏิบัติธรรมอยู่ 3 วัน กับโปรแกรมของออฟฟิศ แล้วได้เจอพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งถูกจริตกับเรามาก และที่สำคัญคือตรงกับการฝึกของหมอในวันนี้ นั่นคือการฝึกสติของตัวเองให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ในวันหนึ่งเราอาจจะเผลอคิดไปเรื่องอื่น ใจวอกแวกออกจากสิ่งที่ทำอยู่หลายครั้ง พอรู้ตัวก็ให้ดึงตัวเองกลับมา ว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
จะว่าไป การบำบัดทางจิตเวช ก็ดูไม่ต่างจากการฝึกสติ และทำสมาธิสักเท่าไร เราเลยถามหมอไปว่า ตอนนี้ เราสามารถไปปฏิบัติธรรมได้มั้ย เพราะเคยมีข้อห้ามอยู่ว่า ผู้ป่วยทางจิตเวช ไม่ควรไปปฏิบัติธรรม เพราะจะทำให้อาการหนักขึ้น และเพ่งมองความทุกข์ในใจมากเกินไป คุณหมอบอกว่า สามารถไปได้ แต่ถ้าถามหมอ หมอว่าไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร เราก็สามารถฝึกสติได้ตลอดเวลา ในทุกการกระทำ และทุกกิจวัตรของเรา
ขอแค่รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ และตั้งสมาธิอยู่กับสิ่งนั้น นั่นก็เพียงพอแล้ว....
เมื่อวันที่ฉันต้องอยู่กับเพื่อนที่ชื่อว่า "โรคซึมเศร้า" Part 2
https://pantip.com/topic/36846166
วันนี้ก็เลยมีเรื่องมาเล่าต่อใน Part 2 เพราะมีประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมจากการไปพบจิตแพทย์มาให้แบ่งปันให้ฟังกันค่ะ
สำหรับท่านที่อยากติดตามข้อมูลดีๆ เรื่องโรคซึมเศร้า สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ เพจนี้หมีไม่เศร้า https://www.facebook.com/notbluesbear นะคะ
มาต่อกันเลยค่ะ
19. มาบำบัดจิตหรือมาเรียนธรรมะกันล่ะเนี่ย
เมื่อถึงวันนัดพบหมออีกครั้งของเดือนนี้เพื่อติดตามอาการและรับยา คุณหมอยังคงถามไถ่เราเหมือนเดิม ว่าเดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรบ้าง แล้วเราทำอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น คิด รู้สึก และตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไร
สำหรับเดือนนี้ เรายังคงมีเรื่องให้เครียดบ้างอยู่เป็นระยะๆ แต่ช่วงเวลาที่เก็บมาคิดนั้นสั้นขึ้น จากเดิมที่เคยคิดวนอยู่ที่เดิม ก็เริ่มมีสติพอที่จะตัดสิ่งที่รบกวนอยู่ในใจให้ออกไปได้ภายในเวลา 2-3 วัน รอบนี้คุณหมอได้ชวนให้เราสังเกตหลายๆ อย่างรอบๆ ตัว สังเกตตัวเอง สังเกตคนรอบข้าง สังเกตอารมณ์ และความรู้สึก คุณหมอบอกว่า มันคือการฝึกสติ
เพราะ “สติ” จะช่วยให้เราตั้งตัว ตั้งใจได้เร็วขึ้น ที่จะไม่หมกมุ่นอยู่กับความคิดลบๆ มากเกินไป พยายามฝึกให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ตั้งใจ ให้ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ
การเรียนฝึกสติกับคุณหมอในครั้งนี้ ทำให้เรานึกย้อนไปถึงช่วงที่เราเคยไปปฏิบัติธรรมอยู่ 3 วัน กับโปรแกรมของออฟฟิศ แล้วได้เจอพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งถูกจริตกับเรามาก และที่สำคัญคือตรงกับการฝึกของหมอในวันนี้ นั่นคือการฝึกสติของตัวเองให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ในวันหนึ่งเราอาจจะเผลอคิดไปเรื่องอื่น ใจวอกแวกออกจากสิ่งที่ทำอยู่หลายครั้ง พอรู้ตัวก็ให้ดึงตัวเองกลับมา ว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
จะว่าไป การบำบัดทางจิตเวช ก็ดูไม่ต่างจากการฝึกสติ และทำสมาธิสักเท่าไร เราเลยถามหมอไปว่า ตอนนี้ เราสามารถไปปฏิบัติธรรมได้มั้ย เพราะเคยมีข้อห้ามอยู่ว่า ผู้ป่วยทางจิตเวช ไม่ควรไปปฏิบัติธรรม เพราะจะทำให้อาการหนักขึ้น และเพ่งมองความทุกข์ในใจมากเกินไป คุณหมอบอกว่า สามารถไปได้ แต่ถ้าถามหมอ หมอว่าไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร เราก็สามารถฝึกสติได้ตลอดเวลา ในทุกการกระทำ และทุกกิจวัตรของเรา
ขอแค่รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ และตั้งสมาธิอยู่กับสิ่งนั้น นั่นก็เพียงพอแล้ว....