ทำไมเราจึงผิดหวังในเรื่องความรัก
ทำไมเราเจอแต่ความรักที่ไม่จริงใจ
รักแท้อยู่หนใด
เมื่อไหร่เราจะได้เจอคนที่ใช่เสียที
.
เหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้คนเราไม่สมหวังในความรัก คือ
เราเข้าหาความรักด้วยความรู้สึกว่า
.
“ขาดแคลน” ความรัก และอยากแสวงหาจากคนรักมาเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดนั้น
.
เราเชื่อไปเองว่า ถ้าได้รับความรักจากใครสักคน จะทำให้ชีวิตเราเต็มเปี่ยมด้วยความสุข ความสดชื่น และอิสรภาพ
.
แต่สิ่งที่เรา “รู้สึก” คือความจริงของเรา และสิ่งที่เป็นความจริงของเรา เมื่อถูกขยายให้เข้มข้นผ่าน คิด พูด และทำ จะกลายเป็นความจริงในประสบการณ์ของคนเราเสมอ
.
ความรู้สึกในที่นี้ คือความกลัวของอัตตา ที่เกิดจากความไม่รู้ความจริงว่า ตัวเองคือจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด
.
จิตวิญญาณมี ความรัก ความงดงาม ความสมบูรณ์ทุกเรื่องอยู่แล้ว เพียงแค่แบ่งปันสิ่งที่มีออกไปให้คนอื่น
.
แต่เมื่อเรา “เลือก” ให้ตัวเองมาอยู่ในคราบอัตตา เราจึงถูกอัตตานำพาเราไปในทางของมัน
.
นั่นคือ ความกลัว ซึ่งเกิดจากความไม่รู้จักจิตวิญญาณ และเมื่อไม่รู้จักตัวเอง ก็กลัวจะไม่มีตัวตน
.
ความขาดแคลนจึงเกิดขึ้น จึงต้องหาใครสักคนมาเติมเต็มความรู้สึกขาดนั้น ด้วยการโหยหาจากคนอื่น
.
เมื่อเราได้เจอคนที่คิดว่า “ใช่” แล้ว แรกๆทุกอย่างเหมือนจะดูดี
เราหรือเขา ต่างกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆออกมา ให้เขาได้ทำตามสิ่งที่เรากำหนด หรือ ให้เราทำตามที่เขากำหนด
.
การกำหนดนี้ เกิดจากความคาดหวังของอัตตา
ที่อยากให้เป็นไปตามที่ต้องการ
.
หากฝ่ายใดละเมิดมัน ความขุ่นเคืองจะเกิดในทันที และอาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ความรักที่พร้อมจะขาดสะบั้นลง
.
เพราะอัตตาต้องการ การแสดงอำนาจเหนือว่า เขาเหนือกว่า ต้องการควบคุมให้เราเป็นไปตามเขา
.
หรือเราอยากเหนือกว่าเขาโดยให้เขาเป็นไปตามอำนาจเรา
เราแสดงด้านที่ดีให้เขาได้เห็นด้วยการยอมเดินตามกฎหรือความคาดหวังของเขา หรือให้เขาเดินตามกฎหรือความคาดหวังของเรา
.
เช่น
เขาชอบดูฟุตบอล แต่เราไม่ชอบ แต่เขาอยากให้เราไปดูบอลกับเขา เพื่อที่เขาจะได้รักเราตลอดไป
.
เราจึงยอมไปกับเขา แต่เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบเพื่อเขา ทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง
.
หรือ เราอยากไปช้อปปิ้ง แต่อยากให้เขาไปกับเรา เรารู้ว่าเขาไม่ขอบ แต่เราอยากให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการ เขายอมมากับเราและทนฝืนความไม่ชอบนั้นเอาไว้ โดยไม่ปริปากบอกเรา
.
เราเห็นเขาทำสิ่งนี้เพื่อเราได้ เราจึงมอบรักให้เขา และเชื่อว่า ทุกๆครั้งที่เรามาช้อปปิ้ง เขาจะมากับเราด้วยความเต็มใจของเราเหมือนที่แล้วๆมา
.
สิ่งที่ต่างฝ่ายได้ทนฝืนที่จะทำในสิ่งที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองนี้ ก็เพื่อจะให้ความรักนั้นไปต่อได้
.
แต่จริงๆคือ ต่างฝ่ายทำเพื่อให้แน่ใจว่า ความกลัว จะสูญเสียตัวตนของอัตตา จะถูกปกปิดลงได้
.
และกลบความรู้สึกที่แท้จริงที่เป็นตัวของตัวเองแต่ละคนเอาไว้เบื้องหลัง
.
ความสัมพันธ์นั้นแรกๆ อาจเป็นไปอย่างหวานชื่น
.
แต่ที่เราทำเช่นนี้ ไม่ใช่ ความรัก แต่เป็น
“ความกลัว”
กลัวว่า ถ้าเราไม่ทำตามที่เขาต้องการ สถานภาพความรักของเราจะสั่นคลอน
.
เราจึงยอมไม่เป็นตัวของตัวเอง ด้วยการพยายามเป็นตัวตนที่เขาอยากให้เราเป็น
.
เราจำยอมไปเรื่อยๆ และผลที่ตามมา คือ เราขาดความเป็นตัวของตัวเอง
.
เราทำอะไรได้น้อยลง มีอิสรภาพในตัวเองน้อยลง ความคิดสร้างสรรค์น้อยลง ไม่เหมือนตอนอยู่กับเพื่อนเรา หรือ กับครอบครัวเรา ที่เราได้เป็นตัวของตัวเอง
.
เราสับสนว่า เราต้องการความรักเพื่อมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดแคลน แต่เรากลับรู้สึกว่า เราขาดแคลนยิ่งกว่าเดิม
.
การไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต่างจากการเป็นทาสดีๆนี่เอง เพราะเราขาดอิสรภาพในตัวเองเพื่อสร้างมาตัวตนที่เราไม่ได้เป็น เพื่อหวังว่าความรักจะได้ยั่งยืน
.
สุดท้าย เราไม่อาจฝืนความจริงของตัวเราเองได้
.
เราเลือกจะเป็นตัวเอง มากกว่าจะเป็นทาสความรู้สึกให้คนอื่น
.
เรายอมปล่อยความรักนั้น แลกกับอิสรภาพซึ่งเป็น ตัวตนของเราจริงๆ คือจิตวิญญาณของเราที่มี free will หรือ อิสรภาพในการเลือกจะเป็นตัวเอง
.
เมื่อเราไม่อาจทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนของเราได้อีกต่อไป และหันกลับมาเป็นตัวเองแล้ว
.
คนรักของเราคนนั้นได้เห็นสิ่งที่เราทำไม่ตรงตามที่เขาคาดหวังไว้ เขาบอกเราว่า
“เธอเปลี่ยนไปแล้ว”
.
จริงๆเราไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เรากำลังกลับเข้าหาตัวตนของเราจริงๆ
ที่เราทนฝืนเดินออกห่างตัวเองมานาน
.
และจบลงด้วยการที่เราบอกเลิกเขา หรือ เขาเป็นฝ่ายบอกเลิกเรา
.
นั่นไม่ใช่สำคัญว่า ใครจะบอกเลิกใคร
.
แต่ความจริงคือ สิ่งที่เราทำให้เขา หรือ เขาทำให้เรา ไม่ใช่เรียกว่า
“ความรัก” แต่เป็น “ความกลัว” ต่างหาก
.
เราบอกเลิกคนรัก คือเรากำลังบอกเลิกความกลัว หรือ รักปลอมๆนี้ ที่ไม่ได้ทำให้เราเติมเต็มในใจเราอย่างแท้จริง
.
เราเคยทำสิ่งดีๆให้กับเขามากมายเป็นร้อยครั้ง แต่ต้องจบลงเพียงแค่เราทำสิ่งที่ไม่ตรงกับที่เขาคาดหวังไว้ครั้งเดียว
หรือ เขาทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราแค่ครั้งเดียว
.
นี่คือสิ่งที่หลายคนเคยเรียกว่า รักแท้
.
.
เรามักโทษเขาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้รักของเราต้องจบลง
.
แต่ๆๆ
สาเหตุไม่ใช่เพราะเขา
.
แต่เป็นที่เรา
.
เพราะการที่เราเริ่มต้นด้วยความรู้สึกว่า “ขาดรัก” หรือขาดคนที่มารักเรา หรือ ขาดคนที่เราจะรักเขา จักรวาลจะตีความหมายว่า
.
“เราเลือกจะไม่มีความสุขกับความรักในตัวเองตอนนี้”
หรือ
เราเลือก จะไม่มีความรักตอนนี้
.
และเราหลงทางอัตตาด้วยการแก้ไขมันด้วยความ “อยาก” มีความรัก
.
แต่ คำว่า “อยาก” คือ การที่เรารู้สึกว่า เราไม่มีมันตอนนี้ เราขาดแคลนความรัก
.
จักรวาล ซึ่งเป็นกล้องถ่ายรูปความคิด และความรู้สึกของเราออกมาให้ปรากฏในประสบการณ์ชีวิตจริงที่ทำตามคำสั่ง จากความคิดและความรู้สึกเราอย่างซื่อตรงที่สุด จะน้อมนำมาให้
.
จักรวาลจะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามต้นขั้วเสมอ
.
นั่นคือทำให้เรา รู้สึกขาดแคลนเช่นนั้นต่อไป ไม่ว่าเราจะเจอคนที่รัก หรือ คนที่มารักเรากี่คนก็ตาม
.
เมื่อเราผิดหวังกับความรัก เราจะรีบมองหารักครั้งใหม่ จากคนใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เราต้องจมอยู่กับความว้าเหว่เดียวดาย
ซึ่งเป็นอาการของอัตตาในเรา
.
แต่หากไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเรา และทำให้เราต้องจมกับภาวะเดียวดายนั้น
.
เราจะมองความรักด้วยความเกลียดชัง
.
เราจะไม่อยากเห็นคนรักกันคู่อื่นเดินจับมือกันต่อหน้าเรา
เราไม่อยากอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆเราที่มีแฟนกันหมดที่ทำให้เราโดดเดี่ยวคนเดียว
.
ถ้าเราจะอยู่ เราจะฝืนทนเก็บความรู้สึกเกลียดชังนั้นในใจ และพยายามทำเหมือนว่าเรารู้สึกดีเมื่อเห็นเพื่อนเรากับแฟนหวานชื่นกัน
.
เราทำเข่นนี้ได้แค่สักพัก แล้วเราจะเริ่มเหนื่อย และหาทางหนีจากเพื่อนเราขณะที่เขาอยู่กับแฟน
.
เราต้องไปงานแต่งงานคนอื่น เพื่อตอกย้ำความบอบช้ำของเรายิ่งขึ้น
.
เราอาจจะสะใจลึกๆเมื่อเห็นข่าวคนรักทะเลาะและจะเลิกกัน เรารู้สึกว่า เรามีแนวร่วมที่จะได้เป็นแบบเรา ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจเล็กๆที่เราจะมีคนที่ไร้คู่แบบเราแล้ว
.
เมื่อถึงวันวาเลนไลน์ วันแห่งความรักของคู่รักที่จะแสดงออกถึงความรักของเขาอย่างหวานชื่น
.
แต่มันกลับกลายเป็นวันฮาโลวีนของเราที่อยากให้ผ่านภาพหลอนนั้นไปเร็วๆ
.
ทุกสิ่งที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นหรือเติมเต็มความรักขึ้นมาเลย
.
แต่กลับตอกย้ำความกลัวของเราให้แน่นหนาขึ้น และจักรวาลจะยิ่งน้อมนำให้เราได้พบประสบการณ์ขาดรักแบบฝังลึกยิ่งขึ้น
.
จนเรารู้สึกเหมือนเฉยๆกับการไม่มีคู่แล้ว แต่จริงๆมันเป็นการตายด้านทางความรัก
.
วิธีแก้ไข คือ
เปลี่ยนจากความรู้สึก “กลัว” ให้เป็น
“ความรักที่แท้จริง”
.
ความรักที่แท้จริง ไม่ใช่การเริ่มต้นด้วยความรู้สึกขาดแคลนรัก แล้วออกหาด้วยความอยากมาเติมเต็ม
.
นั่นคือทางอัตตา
.
แต่ความรัก คือการแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองมีให้คนอื่นผ่าน คิด พูด และทำ เพื่อให้ตัวเราได้กลับเข้าหาตัวตนภายในเรา คือ จิตวิญญาณ ที่เป็นบ่อเกิดความรักที่แท้จริง
.
เมื่อเราได้กลับเข้าหาตัวเอง เราจะเป็นตัวของตัวเอง คือ เป็นภาวะแห่งจิตวิญญาณ ที่ส่งความรักตัวเองให้คนอื่น ด้วยการแสดงออกในความเป็นตัวของเราเองด้วยความร่าเริงและเบิกบาน
.
เราเริ่มต้นจากตัวเราที่ไม่ขาดแคลนสิ่งใด เพราะเราคือจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมในตัวเองเหมือน ดวงอาทิตย์ที่มีแสงสว่าง และความร้อนในตัวเองที่ไม่ต้องอาศัยจากใคร
.
และดวงอาทิตย์นี้ มีแสงมากพอที่จะแบ่งปันให้ดาวดวงอื่นได้สัมผัส
.
เรารักตัวเอง และไม่ขาดแคลนในความเป็นเราและแสดงออกให้คนอื่นได้สัมผัสถึงตัวตนของเรา และหนึ่งในคนที่ได้สัมผัสนั้น เขาได้เห็นความร่าเริง และความมีชีวิตชีวาในเรา
.
สิ่งนั้นก็เกิดในใจเขาเช่นกัน และเขาอยากจะสัมผัสถึงภาวะจิตวิญญาณนั้นในตัวเขาผ่านเรา
.
เขาจึงแสดงด้านที่เป็นตัวของตัวเองออกมา ให้เราได้สัมผัสถึง ความมีชีวิตชีวาในแบบของเขา
และสิ่งนั้นก็เกิดในตัวเราผ่านทางเขาเช่นกัน
.
และแล้วความรักที่แท้จริงแห่งจิตวิญญาณของคนสองคนได้เบ่งบานในหัวใจของทั้งสองคนอย่างสดใส
.
รักแท้ที่ไม่ต้องเสแสร้ง และสร้างตัวตนที่ไม่ใช่เราอีกต่อไป
เพราะเราเจอรักในตัวเองแต่แรกโดยไม่มีเขาก่อนแล้ว
.
และเขาเข้ามาเพื่อ “รับการแบ่งปัน” รักแท้ที่เรามอบให้เราเองผ่านทางเขา
เพื่อให้เราได้ เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเองยิ่งขึ้น
.
ทำให้เราได้เข้าใกล้จิตวิญญาณของเรา ที่เต็มเปี่ยมด้วยรักบริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น
ยิ่งเราแสดงออกถึงความรักที่เต็มเปี่ยมในตัวเราเองผ่าน การแสดงออกในแบบที่เราเป็นมากเท่าไหร่ เรายิ่งเข้าใกล้จิตวิญญาณมากขึ้น
.
ส่วนเขาก็เช่นกัน ได้เข้าหาจิตวิญญาณตัวเอง ผ่านการแบ่งปันสิ่งดีๆที่เขามีจริงๆ ให้ตัวเขาเองผ่านทางเรา
.
เราไม่ต้องตั้งกรอบกฎเกณฑ์ หรือการคาดหวังใดๆมากมาย เพื่อให้ใครทำตามใคร เพื่อให้อัตตาได้อุ่นใจ
.
แต่ให้แต่ละคนได้ทำตามความจริงในตัวเอง คือ ความรักในตัวเองและส่งมอบให้เราผ่านทางเขา
.
เช่น เมื่อเรานัดเขา แล้วเรามาตรงเวลา และเขามาสาย เราไม่ต้องโกรธเขาและตั้งกฎเกณฑ์ และความคาดหวังให้เขาห้ามมาสาย
.
แต่ เราบอกตัวเองว่า เราจะมาตรงเวลาที่นัดกับเขา เพื่อให้เราได้เป็นความจริงในสัจจะตัวเอง
.
และไม่ต้องสนว่าเขาจะมาสายหรือไม่
เราใส่ใจแค่ว่า เราทำในส่วนของเราให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง
.
ถ้าเราได้ทำแล้ว เขาจะทำอย่างไร นั่นเป็นส่วนของเขา เราไม่ต้องคาดหวังให้เขาทำแบบเรา แต่เราทำส่วนของเราให้เขาได้เห็น
.
แล้วเขาจะเห็นความตรงต่อเวลาในตัวเขาโดยมีเราเป็นแบบอย่าง
.
แล้วเขาจะเปลี่ยนตัวเขาเองในที่สุด เพราะเขาจะละอายใจเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกต้องในการตรงเวลาของเรา
.
แสงอาทิตย์สองดวงที่ส่องสว่างให้กันและกัน ความมืดมิดที่ว้าเหว่ก็ไม่อาจสถิตได้ในรัศมีแสงแห่งรักที่ส่องอำไพให้แก่กันและกันได้
.
และสองดวงอาทิตย์จะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้เรากับเขาเหมือนคนเดียวกัน จากภาวะความเป็นหนึ่งเดียวของจิตวิญญาณ
.
เราพูดกับเขาด้วยความจริงทุกเรื่องเหมือนที่เราพูดกับตัวเอง
.
รักแท้ ไม่ใช่การได้เจอคนที่ใช่ ที่สามารถให้เขาทำตามความคาดหวังของเราได้ทุกเรื่องเพื่อปกปิดความกลัวสูญเสียตัวเอง
.
แต่คือการเจอตัวตนที่แท้จริงของเรา และนำออกมาให้กับคนที่เราเลือกให้เขาได้รับการแบ่งปันความเป็นเราจริงๆนั้น เพื่อให้เราได้เติบโต เป็นอิสระ สร้างสรรค์ เบิกบาน ยิ่งๆขึ้นไป โดยไม่ต้องคาดหวังสิ่งใดจากเขา
.
เมื่อความคาดหวังไม่เกิด ความผิดหวังก็เกิดไม่ได้ ความทุกข์เกิดไม่ได้
และอัตตาของเราที่เป็นต้นเหตุแห่งรักร้าวก็เกิดไม่ได้เช่นกัน
.
เพราะเราได้เจอรักแท้ในตัวตนของเราที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุข ความเบิกบาน จนไม่เหลืออะไรให้ขาดแคลน จนต้องไปคาดหวังเอากับคนอื่น
.
นี่คือความรักที่แท้จริงที่ยั่งยืน เป็นอิสระจากการคาดหวัง แต่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
.
“รักแท้ ไม่ใช่ การหาใครสักคนมาเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด
แต่คือ การหาใครสักคนมารับการแบ่งปันในสิ่งที่เรามี”
.
หากคุณได้พบเจอกับใครสักคนที่คุณคิดว่าเขาคือคนที่จะมาร่วมรับการแบ่งปันความรักจากจิตวิญญาณในตัวคุณเอง
.
ไม่ใช่อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือเราไป
.
แต่อย่าปล่อยให้เราพลาดโอกาสที่จะเพิ่มพูนความรักในตัวเรายิ่งๆขึ้นผ่านทางเขาให้หลุดมือไป
รักแท้อยู่หนใด ทำไมเราไม่สมหวังในความรัก
ทำไมเราเจอแต่ความรักที่ไม่จริงใจ
รักแท้อยู่หนใด
เมื่อไหร่เราจะได้เจอคนที่ใช่เสียที
.
เหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้คนเราไม่สมหวังในความรัก คือ
เราเข้าหาความรักด้วยความรู้สึกว่า
.
“ขาดแคลน” ความรัก และอยากแสวงหาจากคนรักมาเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดนั้น
.
เราเชื่อไปเองว่า ถ้าได้รับความรักจากใครสักคน จะทำให้ชีวิตเราเต็มเปี่ยมด้วยความสุข ความสดชื่น และอิสรภาพ
.
แต่สิ่งที่เรา “รู้สึก” คือความจริงของเรา และสิ่งที่เป็นความจริงของเรา เมื่อถูกขยายให้เข้มข้นผ่าน คิด พูด และทำ จะกลายเป็นความจริงในประสบการณ์ของคนเราเสมอ
.
ความรู้สึกในที่นี้ คือความกลัวของอัตตา ที่เกิดจากความไม่รู้ความจริงว่า ตัวเองคือจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด
.
จิตวิญญาณมี ความรัก ความงดงาม ความสมบูรณ์ทุกเรื่องอยู่แล้ว เพียงแค่แบ่งปันสิ่งที่มีออกไปให้คนอื่น
.
แต่เมื่อเรา “เลือก” ให้ตัวเองมาอยู่ในคราบอัตตา เราจึงถูกอัตตานำพาเราไปในทางของมัน
.
นั่นคือ ความกลัว ซึ่งเกิดจากความไม่รู้จักจิตวิญญาณ และเมื่อไม่รู้จักตัวเอง ก็กลัวจะไม่มีตัวตน
.
ความขาดแคลนจึงเกิดขึ้น จึงต้องหาใครสักคนมาเติมเต็มความรู้สึกขาดนั้น ด้วยการโหยหาจากคนอื่น
.
เมื่อเราได้เจอคนที่คิดว่า “ใช่” แล้ว แรกๆทุกอย่างเหมือนจะดูดี
เราหรือเขา ต่างกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆออกมา ให้เขาได้ทำตามสิ่งที่เรากำหนด หรือ ให้เราทำตามที่เขากำหนด
.
การกำหนดนี้ เกิดจากความคาดหวังของอัตตา
ที่อยากให้เป็นไปตามที่ต้องการ
.
หากฝ่ายใดละเมิดมัน ความขุ่นเคืองจะเกิดในทันที และอาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ความรักที่พร้อมจะขาดสะบั้นลง
.
เพราะอัตตาต้องการ การแสดงอำนาจเหนือว่า เขาเหนือกว่า ต้องการควบคุมให้เราเป็นไปตามเขา
.
หรือเราอยากเหนือกว่าเขาโดยให้เขาเป็นไปตามอำนาจเรา
เราแสดงด้านที่ดีให้เขาได้เห็นด้วยการยอมเดินตามกฎหรือความคาดหวังของเขา หรือให้เขาเดินตามกฎหรือความคาดหวังของเรา
.
เช่น
เขาชอบดูฟุตบอล แต่เราไม่ชอบ แต่เขาอยากให้เราไปดูบอลกับเขา เพื่อที่เขาจะได้รักเราตลอดไป
.
เราจึงยอมไปกับเขา แต่เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบเพื่อเขา ทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง
.
หรือ เราอยากไปช้อปปิ้ง แต่อยากให้เขาไปกับเรา เรารู้ว่าเขาไม่ขอบ แต่เราอยากให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการ เขายอมมากับเราและทนฝืนความไม่ชอบนั้นเอาไว้ โดยไม่ปริปากบอกเรา
.
เราเห็นเขาทำสิ่งนี้เพื่อเราได้ เราจึงมอบรักให้เขา และเชื่อว่า ทุกๆครั้งที่เรามาช้อปปิ้ง เขาจะมากับเราด้วยความเต็มใจของเราเหมือนที่แล้วๆมา
.
สิ่งที่ต่างฝ่ายได้ทนฝืนที่จะทำในสิ่งที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองนี้ ก็เพื่อจะให้ความรักนั้นไปต่อได้
.
แต่จริงๆคือ ต่างฝ่ายทำเพื่อให้แน่ใจว่า ความกลัว จะสูญเสียตัวตนของอัตตา จะถูกปกปิดลงได้
.
และกลบความรู้สึกที่แท้จริงที่เป็นตัวของตัวเองแต่ละคนเอาไว้เบื้องหลัง
.
ความสัมพันธ์นั้นแรกๆ อาจเป็นไปอย่างหวานชื่น
.
แต่ที่เราทำเช่นนี้ ไม่ใช่ ความรัก แต่เป็น
“ความกลัว”
กลัวว่า ถ้าเราไม่ทำตามที่เขาต้องการ สถานภาพความรักของเราจะสั่นคลอน
.
เราจึงยอมไม่เป็นตัวของตัวเอง ด้วยการพยายามเป็นตัวตนที่เขาอยากให้เราเป็น
.
เราจำยอมไปเรื่อยๆ และผลที่ตามมา คือ เราขาดความเป็นตัวของตัวเอง
.
เราทำอะไรได้น้อยลง มีอิสรภาพในตัวเองน้อยลง ความคิดสร้างสรรค์น้อยลง ไม่เหมือนตอนอยู่กับเพื่อนเรา หรือ กับครอบครัวเรา ที่เราได้เป็นตัวของตัวเอง
.
เราสับสนว่า เราต้องการความรักเพื่อมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดแคลน แต่เรากลับรู้สึกว่า เราขาดแคลนยิ่งกว่าเดิม
.
การไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต่างจากการเป็นทาสดีๆนี่เอง เพราะเราขาดอิสรภาพในตัวเองเพื่อสร้างมาตัวตนที่เราไม่ได้เป็น เพื่อหวังว่าความรักจะได้ยั่งยืน
.
สุดท้าย เราไม่อาจฝืนความจริงของตัวเราเองได้
.
เราเลือกจะเป็นตัวเอง มากกว่าจะเป็นทาสความรู้สึกให้คนอื่น
.
เรายอมปล่อยความรักนั้น แลกกับอิสรภาพซึ่งเป็น ตัวตนของเราจริงๆ คือจิตวิญญาณของเราที่มี free will หรือ อิสรภาพในการเลือกจะเป็นตัวเอง
.
เมื่อเราไม่อาจทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนของเราได้อีกต่อไป และหันกลับมาเป็นตัวเองแล้ว
.
คนรักของเราคนนั้นได้เห็นสิ่งที่เราทำไม่ตรงตามที่เขาคาดหวังไว้ เขาบอกเราว่า
“เธอเปลี่ยนไปแล้ว”
.
จริงๆเราไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เรากำลังกลับเข้าหาตัวตนของเราจริงๆ
ที่เราทนฝืนเดินออกห่างตัวเองมานาน
.
และจบลงด้วยการที่เราบอกเลิกเขา หรือ เขาเป็นฝ่ายบอกเลิกเรา
.
นั่นไม่ใช่สำคัญว่า ใครจะบอกเลิกใคร
.
แต่ความจริงคือ สิ่งที่เราทำให้เขา หรือ เขาทำให้เรา ไม่ใช่เรียกว่า
“ความรัก” แต่เป็น “ความกลัว” ต่างหาก
.
เราบอกเลิกคนรัก คือเรากำลังบอกเลิกความกลัว หรือ รักปลอมๆนี้ ที่ไม่ได้ทำให้เราเติมเต็มในใจเราอย่างแท้จริง
.
เราเคยทำสิ่งดีๆให้กับเขามากมายเป็นร้อยครั้ง แต่ต้องจบลงเพียงแค่เราทำสิ่งที่ไม่ตรงกับที่เขาคาดหวังไว้ครั้งเดียว
หรือ เขาทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราแค่ครั้งเดียว
.
นี่คือสิ่งที่หลายคนเคยเรียกว่า รักแท้
.
.
เรามักโทษเขาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้รักของเราต้องจบลง
.
แต่ๆๆ
สาเหตุไม่ใช่เพราะเขา
.
แต่เป็นที่เรา
.
เพราะการที่เราเริ่มต้นด้วยความรู้สึกว่า “ขาดรัก” หรือขาดคนที่มารักเรา หรือ ขาดคนที่เราจะรักเขา จักรวาลจะตีความหมายว่า
.
“เราเลือกจะไม่มีความสุขกับความรักในตัวเองตอนนี้”
หรือ
เราเลือก จะไม่มีความรักตอนนี้
.
และเราหลงทางอัตตาด้วยการแก้ไขมันด้วยความ “อยาก” มีความรัก
.
แต่ คำว่า “อยาก” คือ การที่เรารู้สึกว่า เราไม่มีมันตอนนี้ เราขาดแคลนความรัก
.
จักรวาล ซึ่งเป็นกล้องถ่ายรูปความคิด และความรู้สึกของเราออกมาให้ปรากฏในประสบการณ์ชีวิตจริงที่ทำตามคำสั่ง จากความคิดและความรู้สึกเราอย่างซื่อตรงที่สุด จะน้อมนำมาให้
.
จักรวาลจะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามต้นขั้วเสมอ
.
นั่นคือทำให้เรา รู้สึกขาดแคลนเช่นนั้นต่อไป ไม่ว่าเราจะเจอคนที่รัก หรือ คนที่มารักเรากี่คนก็ตาม
.
เมื่อเราผิดหวังกับความรัก เราจะรีบมองหารักครั้งใหม่ จากคนใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เราต้องจมอยู่กับความว้าเหว่เดียวดาย
ซึ่งเป็นอาการของอัตตาในเรา
.
แต่หากไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเรา และทำให้เราต้องจมกับภาวะเดียวดายนั้น
.
เราจะมองความรักด้วยความเกลียดชัง
.
เราจะไม่อยากเห็นคนรักกันคู่อื่นเดินจับมือกันต่อหน้าเรา
เราไม่อยากอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆเราที่มีแฟนกันหมดที่ทำให้เราโดดเดี่ยวคนเดียว
.
ถ้าเราจะอยู่ เราจะฝืนทนเก็บความรู้สึกเกลียดชังนั้นในใจ และพยายามทำเหมือนว่าเรารู้สึกดีเมื่อเห็นเพื่อนเรากับแฟนหวานชื่นกัน
.
เราทำเข่นนี้ได้แค่สักพัก แล้วเราจะเริ่มเหนื่อย และหาทางหนีจากเพื่อนเราขณะที่เขาอยู่กับแฟน
.
เราต้องไปงานแต่งงานคนอื่น เพื่อตอกย้ำความบอบช้ำของเรายิ่งขึ้น
.
เราอาจจะสะใจลึกๆเมื่อเห็นข่าวคนรักทะเลาะและจะเลิกกัน เรารู้สึกว่า เรามีแนวร่วมที่จะได้เป็นแบบเรา ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจเล็กๆที่เราจะมีคนที่ไร้คู่แบบเราแล้ว
.
เมื่อถึงวันวาเลนไลน์ วันแห่งความรักของคู่รักที่จะแสดงออกถึงความรักของเขาอย่างหวานชื่น
.
แต่มันกลับกลายเป็นวันฮาโลวีนของเราที่อยากให้ผ่านภาพหลอนนั้นไปเร็วๆ
.
ทุกสิ่งที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นหรือเติมเต็มความรักขึ้นมาเลย
.
แต่กลับตอกย้ำความกลัวของเราให้แน่นหนาขึ้น และจักรวาลจะยิ่งน้อมนำให้เราได้พบประสบการณ์ขาดรักแบบฝังลึกยิ่งขึ้น
.
จนเรารู้สึกเหมือนเฉยๆกับการไม่มีคู่แล้ว แต่จริงๆมันเป็นการตายด้านทางความรัก
.
วิธีแก้ไข คือ
เปลี่ยนจากความรู้สึก “กลัว” ให้เป็น
“ความรักที่แท้จริง”
.
ความรักที่แท้จริง ไม่ใช่การเริ่มต้นด้วยความรู้สึกขาดแคลนรัก แล้วออกหาด้วยความอยากมาเติมเต็ม
.
นั่นคือทางอัตตา
.
แต่ความรัก คือการแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองมีให้คนอื่นผ่าน คิด พูด และทำ เพื่อให้ตัวเราได้กลับเข้าหาตัวตนภายในเรา คือ จิตวิญญาณ ที่เป็นบ่อเกิดความรักที่แท้จริง
.
เมื่อเราได้กลับเข้าหาตัวเอง เราจะเป็นตัวของตัวเอง คือ เป็นภาวะแห่งจิตวิญญาณ ที่ส่งความรักตัวเองให้คนอื่น ด้วยการแสดงออกในความเป็นตัวของเราเองด้วยความร่าเริงและเบิกบาน
.
เราเริ่มต้นจากตัวเราที่ไม่ขาดแคลนสิ่งใด เพราะเราคือจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมในตัวเองเหมือน ดวงอาทิตย์ที่มีแสงสว่าง และความร้อนในตัวเองที่ไม่ต้องอาศัยจากใคร
.
และดวงอาทิตย์นี้ มีแสงมากพอที่จะแบ่งปันให้ดาวดวงอื่นได้สัมผัส
.
เรารักตัวเอง และไม่ขาดแคลนในความเป็นเราและแสดงออกให้คนอื่นได้สัมผัสถึงตัวตนของเรา และหนึ่งในคนที่ได้สัมผัสนั้น เขาได้เห็นความร่าเริง และความมีชีวิตชีวาในเรา
.
สิ่งนั้นก็เกิดในใจเขาเช่นกัน และเขาอยากจะสัมผัสถึงภาวะจิตวิญญาณนั้นในตัวเขาผ่านเรา
.
เขาจึงแสดงด้านที่เป็นตัวของตัวเองออกมา ให้เราได้สัมผัสถึง ความมีชีวิตชีวาในแบบของเขา
และสิ่งนั้นก็เกิดในตัวเราผ่านทางเขาเช่นกัน
.
และแล้วความรักที่แท้จริงแห่งจิตวิญญาณของคนสองคนได้เบ่งบานในหัวใจของทั้งสองคนอย่างสดใส
.
รักแท้ที่ไม่ต้องเสแสร้ง และสร้างตัวตนที่ไม่ใช่เราอีกต่อไป
เพราะเราเจอรักในตัวเองแต่แรกโดยไม่มีเขาก่อนแล้ว
.
และเขาเข้ามาเพื่อ “รับการแบ่งปัน” รักแท้ที่เรามอบให้เราเองผ่านทางเขา
เพื่อให้เราได้ เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเองยิ่งขึ้น
.
ทำให้เราได้เข้าใกล้จิตวิญญาณของเรา ที่เต็มเปี่ยมด้วยรักบริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น
ยิ่งเราแสดงออกถึงความรักที่เต็มเปี่ยมในตัวเราเองผ่าน การแสดงออกในแบบที่เราเป็นมากเท่าไหร่ เรายิ่งเข้าใกล้จิตวิญญาณมากขึ้น
.
ส่วนเขาก็เช่นกัน ได้เข้าหาจิตวิญญาณตัวเอง ผ่านการแบ่งปันสิ่งดีๆที่เขามีจริงๆ ให้ตัวเขาเองผ่านทางเรา
.
เราไม่ต้องตั้งกรอบกฎเกณฑ์ หรือการคาดหวังใดๆมากมาย เพื่อให้ใครทำตามใคร เพื่อให้อัตตาได้อุ่นใจ
.
แต่ให้แต่ละคนได้ทำตามความจริงในตัวเอง คือ ความรักในตัวเองและส่งมอบให้เราผ่านทางเขา
.
เช่น เมื่อเรานัดเขา แล้วเรามาตรงเวลา และเขามาสาย เราไม่ต้องโกรธเขาและตั้งกฎเกณฑ์ และความคาดหวังให้เขาห้ามมาสาย
.
แต่ เราบอกตัวเองว่า เราจะมาตรงเวลาที่นัดกับเขา เพื่อให้เราได้เป็นความจริงในสัจจะตัวเอง
.
และไม่ต้องสนว่าเขาจะมาสายหรือไม่
เราใส่ใจแค่ว่า เราทำในส่วนของเราให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง
.
ถ้าเราได้ทำแล้ว เขาจะทำอย่างไร นั่นเป็นส่วนของเขา เราไม่ต้องคาดหวังให้เขาทำแบบเรา แต่เราทำส่วนของเราให้เขาได้เห็น
.
แล้วเขาจะเห็นความตรงต่อเวลาในตัวเขาโดยมีเราเป็นแบบอย่าง
.
แล้วเขาจะเปลี่ยนตัวเขาเองในที่สุด เพราะเขาจะละอายใจเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกต้องในการตรงเวลาของเรา
.
แสงอาทิตย์สองดวงที่ส่องสว่างให้กันและกัน ความมืดมิดที่ว้าเหว่ก็ไม่อาจสถิตได้ในรัศมีแสงแห่งรักที่ส่องอำไพให้แก่กันและกันได้
.
และสองดวงอาทิตย์จะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้เรากับเขาเหมือนคนเดียวกัน จากภาวะความเป็นหนึ่งเดียวของจิตวิญญาณ
.
เราพูดกับเขาด้วยความจริงทุกเรื่องเหมือนที่เราพูดกับตัวเอง
.
รักแท้ ไม่ใช่การได้เจอคนที่ใช่ ที่สามารถให้เขาทำตามความคาดหวังของเราได้ทุกเรื่องเพื่อปกปิดความกลัวสูญเสียตัวเอง
.
แต่คือการเจอตัวตนที่แท้จริงของเรา และนำออกมาให้กับคนที่เราเลือกให้เขาได้รับการแบ่งปันความเป็นเราจริงๆนั้น เพื่อให้เราได้เติบโต เป็นอิสระ สร้างสรรค์ เบิกบาน ยิ่งๆขึ้นไป โดยไม่ต้องคาดหวังสิ่งใดจากเขา
.
เมื่อความคาดหวังไม่เกิด ความผิดหวังก็เกิดไม่ได้ ความทุกข์เกิดไม่ได้
และอัตตาของเราที่เป็นต้นเหตุแห่งรักร้าวก็เกิดไม่ได้เช่นกัน
.
เพราะเราได้เจอรักแท้ในตัวตนของเราที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุข ความเบิกบาน จนไม่เหลืออะไรให้ขาดแคลน จนต้องไปคาดหวังเอากับคนอื่น
.
นี่คือความรักที่แท้จริงที่ยั่งยืน เป็นอิสระจากการคาดหวัง แต่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
.
“รักแท้ ไม่ใช่ การหาใครสักคนมาเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด
แต่คือ การหาใครสักคนมารับการแบ่งปันในสิ่งที่เรามี”
.
หากคุณได้พบเจอกับใครสักคนที่คุณคิดว่าเขาคือคนที่จะมาร่วมรับการแบ่งปันความรักจากจิตวิญญาณในตัวคุณเอง
.
ไม่ใช่อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือเราไป
.
แต่อย่าปล่อยให้เราพลาดโอกาสที่จะเพิ่มพูนความรักในตัวเรายิ่งๆขึ้นผ่านทางเขาให้หลุดมือไป