ก่อนชีวิตจะเปลี่ยน

สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆผู้อ่านทุกคน
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ผมเขียนขึ้น หากผิดพลาดอย่างไรขออภัยผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ทีนี้ด้วยนะครับ
ขอเกริ่นนำไว้ก่อนเลยว่า ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ไม่มีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ภูติผีปีศาจ ออกไปทางลบหลู่เลยด้วยซ้ำ
แต่เรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ได้สัมผัส ก็คงคิดว่ามันไม่มีอยู่ ไม่มีจริงต่อไปเรื่อยๆ จนมีหลายเรื่องที่ทำให้ผมเริ่มคิด
ว่าแท้จริงเรื่องพวกนี้ ไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย.. สุดแล้วแต่ความเชื่อและใจคนเรา
"ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณผู้ล่วงลับที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงในกระทู้นี้ ให้ไปสู่สุคติ ในภพภูมิที่ดีด้วยเทอญ"
...............................................................................

                            เรื่องทั้งหมดทั้งมวล เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมของประมาณ2ปีที่แล้วครับ เป็นช่วงเปิดเทอมที่เพื่อนๆผมต่างเฝ้ารอคอย
ทุกคนต่างตื่นเต้นเพราะจะได้พบเจอเพื่อน แตกต่างจากผมที่ยังคงเบื่อและอยากพักผ่อนต่อเพราะความขี้เกียจ (ฮา)
ผมรีบตื่นไปเรียนด้วยความรีบร้อน นาฬิกาบอกเวลา8.00น. หน้าแถวเคารพธงชาติ เพื่อนๆต่างคุยกันอย่างคิดถึง เพราะไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนเต็ม
เข้าแถวเสร็จนักเรียนแต่ละระดับก็แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตัวเอง 
                            แต่เทอมนี้ไม่เหมือนทุกๆเทอมที่ผ่านมา เพราะห้องเรียนของผม มีเด็กใหม่เข้ามาแทรกระหว่างชั้น คุณครูพาเขามาแนะนำตัวให้นักเรียนในห้อง "สวัสดีเพื่อนๆทุกคนนะครับ ผมชื่อวุฒิย้ายมาจากจังหวัดอยุธยา ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ" ผมมองเพื่อนใหม่ที่ลักษณะท่าทางดูเป็นคนอัธยาศัยดี
หนุ่มแว่นเดินตรงมายังที่นั่งว่างข้างขวามือของผม "นั่งด้วยได้ไหม?" "ได้ดิ ไม่มีคนนั่งอยู่ละ"ผมตอบกลับวุฒิไป จากนั้นเราก็พูดคุยทำความรู้จักกัน เฮฮาตามประสาเด็กนักเรียนมัธยมต้นทั่วๆไป เวลาผ่านไปหลายเดือน เรายิ่งสนิทกันในกลุ่มมากขึ้น แต่ผมมักจะสังเกตได้ว่า เจ้าวุฒิมักจะชอบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งพอผมมองออกไปก็ไม่พบอะไรนอกเสียจากทุ่งหญ้าหลังโรงเรียน และต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งออกไปเป็นบริเวณใหญ่ๆ 
                            ผมไม่ได้ติดใจอะไรนักกับการที่เพื่อนคนนี้จะชอบเหม่อลอย จึงไม่ได้ไถ่ถามเจ้าตัวโดยตรง
จนกระทั่งช่วงหนึ่ง กลุ่มผมได้รับมอบหมายโครงงานมาจากอาจารย์ ให้ไปทำสำรวจสถานที่สำคัญต่างๆในประเทศไทย นักเรียนในห้องได้ยินอย่างนั้น
จึงตื่นเต้นกันใหญ่ และรีบจับกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อมองตาเพื่อนที่รู้ใจของผม ก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก "ไปที่อยุธยามั้ย จะได้ไปเที่ยวบ้านกูด้วย"
วุฒิพูดพร้อมหันหน้ามองหน้าเพื่อนทุกๆคน ทุกคนพยักหน้ารับและตกลง จุดมุ่งหมายของทุกคน อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทุกคนใจจดใจจ่อรอที่จะได้ไปเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนๆแล้ว ผมรีบกลับบ้านไปเก็บของเพื่อนเตรียมตัวเดินทาง ในอีก2วันที่จะถึงนี้
ผมบอกกล่าวผู้ใหญ่ในบ้านและแม่ไว้ก่อนล่วงหน้า "ไปบ้านเขาอย่าลืมไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางนะลูก ให้เขาคุ้มครองเรา" ยายบอกกับผม ผมได้แต่ตอบอือๆออๆไปกับคำพูดของยาย เพราะไม่อยากให้ยายต้องเป็นห่วงหลานตัวแสบคนนี้

                             และแล้ววันเดินทางที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ทุกท่านคงเข้าใจความรู้สึกที่กำลังจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆใช่ไหมครับ? ว่ามันน่าสนุก
น่าตื่นเต้นขนาดไหน ยิ่งกับเด็กม.3อย่างพวกผม มันจึงเป็นเรื่องที่น่าท้าทายกันเลยทีเดียว
เราทุกคนนัดเจอกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเมื่อสมาชิกมาครบ5คนกันแล้ว จึงขึ้นรถไฟเตรียมออกเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายของเรา ระหว่างทางเราพูดคุยเฮฮากันไป เพื่อนวุฒิพูดแทรกขึ้นมา"พวกมุงเชื่อเรื่องผีกันรึป่าววะ" "ถามแปลก ก็เชื่อดิ" หญิง เพื่อนของผมตอบไป วุฒิยิ้มแล้วตอบเพื่อนไปอย่างเรียบง่าย
"ถ้างั้นก่อนเข้าบ้านอย่าลืมไหว้เจ้าที่บ้านกูหละ" ผมฟังแล้วไม่เข้าใจกับสิ่งที่มันพูดเท่าไหร่ มันจะพูดมาเพื่ออะไร จะสื่อว่าบ้านผีดุหรอ ได้แต่เก็บความคิดไว้ในใจ
                             เวลาประมาณ2ชั่วโมงเศษๆเราก็มาถึงบ้านวุฒิ เพื่อนทุกคนไหว้ทำความเคารพศาลพระภูมิหน้าบ้านและขอให้ท่านช่วยคุ้มครอง ซึ่งผมได้แต่ยกมือไหว้ส่งๆไป เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอะไร (ไม่เชื่อนั่นแหละ)
ลักษณะบ้านวุฒิเป็นบ้านที่ ค่อนข้างมีฐานะเลยทีเดียว เป็นบ้านไม้พื้นใต้ถุนยกสูง หลังใหญ่โต ดูโบราณเก่าแก่ น่ากลัวและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
พ่อแม่วุฒิออกมาต้อนรับพวกผม ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ ก่อนจะพาทุกคนเข้าบ้าน แต่ระหว่างเดินอยู่บนบ้านนั้นผมเห็นผู้ชายแก่ๆท่านมองมายังผมแล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนที่วุฒิพาเข้าไปเก็บของที่ห้องนอนของพวกเราในคืนนี้ ผมไม่ได้ไถ่ถามเพื่อนเลย ว่าในบ้านนี้มีคนอยู่กี่คน มัวแต่เก็บของและเตรียมออกไปสำรวจวัดที่เราได้วางแผนจะไปกันไว้ วุฒิพูดเสริมว่า พยายามอย่าไปแถวส่วนห้องพระนะ ไม่อยากให้เราไปรบกวนคุณปู่คุณย่า
ได้ยินเช่นนั้นผมก็อุ่นใจ ว่าชายแก่ที่ผมเห็นนั้นเป็นมนุษย์ไม่ใช่ผีแต่อย่างใด
                             ล่วงเข้าบ่ายโมง พ่อวุฒิอาสาจะพาพวกผมไปเที่ยว เพราะเป็นวันหยุดของพ่อพอดี สมาชิกทุกคนไม่รอช้า รีบรับข้อเสนอของพ่อ
ระหว่างอยู่บนรถ ผมถามไถ่เรื่องครอบครัวของวุฒิ ได้ความว่า พ่อของวุฒินั้นทำงานเป็นข้าราชการใหญ่ในจังหวัด และคุณปู่ของวุฒินั้นเป็นหมอธรรม
ผมในตอนนั้นไม่เข้าใจคำว่าหมอธรรม จึงถามพ่อวุฒิไปว่า"หมอผีหรอครับ" พ่อวุฒิหัวเราะลั่นรถ "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่ท่านปฏิบัติธรรม ช่วยเหลือผู้ตกยาก และมีในสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราๆไม่มีเนี่ยแหละ" ผมคลายสงสัยไปได้นิดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจคำว่า "สิ่งที่คนธรรมดาไม่มี" อยู่ดี 
                              
                              เข้าถึงวัดใหญ่ชื่อดังในจังหวัดอยุธยา คุณพ่อกำชับเราหนักหนา "อย่าไปหยิบอะไรมานะลูก ของทุกชิ้นมีเจ้าของของเขา"
ทุกคนพยักหน้าและรับคำของพ่อ ณ ตอนนั้นเราทุกคนเดินสำรวจเก็บรายละเอียด และถ่ายรูปที่วัดเก็บไว้ เพื่อนำไปส่งงานคุณครู
เพื่อนตัวดีของผมอีกคน ฟิล์ม รีบวิ่งเข้ามาหาผมและวุฒิ เพื่อให้ดูสิ่งของที่อยู่ในมือ "ดูนี่ดิ กูเจอเหรียญนี่ด้วย สวยเนอะ" ขณะนั้นทุกคนต่างวุ่นๆกับการเขียนงาน จึงลืมคำพูดเตือนของพ่อวุฒิไป ผมได้แต่เอ็ดเพื่อนไป "อย่าหยิบของมามั่วซั่วดิ" เพื่อนผมไม่สนใจอะไร มัวแต่สนใจรายละเอียดของเหรียญนั้น
                             เวลาย่ำค่ำ ตะวันใกล้ลับฟ้า วุฒิติดต่อพ่อให้มารับ แต่พ่อดันติดธุระ จึงให้พวกผมกลับบ้านกันเอง เราเลือกกลับโดยรถสามล้อ
"อ่าวแล้วคนนั้นไม่ไปด้วยหรอ เห็นมาด้วยกัน" วุฒิรีบตอบคนขับ มากันแค่นี้ครับ คนอื่นไม่เกี่ยว คนขับทำหน้างงๆ แล้วออกรถไป
                             ถึงบ้านเป็นเวลาค่ำพอดี แม่วุฒิจัดอาหารไว้ให้พวกเราเสร็จสรรพ น้ำพริก ปลาทู ไข่ชะอม อาหารพื้นบ้านง่ายๆแต่น่าทาน
"วุฒิลูกฝากยกกับข้าวไปให้คุณปู่กับคุณย่าหน่อย" วุฒิรีบเข้าไปยกถาดสำรับและเรียกผมเข้าไปช่วยยกอีกหนึ่งถาดสำรับ "บูม มาช่วยหน่อย" 
ผมเข้าไปในห้องของปู่และย่าของวุฒิ วางอาหารบนโต๊ะและสวัสดีทักทายทั้งสองท่านทั้งสอง ที่แปลกคือ หน้าของปู่วุฒินั้นไม่เหมือนกับชายแก่ที่ผมเห็น
ผมจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง "มาจากกรุงเทพเลยหรอหนุ่ม"ปู่วุฒิกล่าวถาม "ครับ"ผมตอบไปอย่างเรียบๆ ขณะที่กำลังหาคำตอบให้เรื่องที่คาใจ
"ถ้าเห็นอะไรในบ้านไม่ต้องตกใจหรอก เขาคงถูกใจเอ็งหนะ ฮ่าฮ่า"ปู่พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ข้อสงสัยที่ผมตั้ง ได้คำตอบโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากถามเอง
ผมเลือกจะถามอีกคำถามที่อาจจะดูเสียมารยาท แต่มันเป็นสิ่งที่คาใจมาตลอดชีวิต "ปู่ครับ ผีมีจริงไหม? ถ้ามีทำไมผมไม่เคยเห็นเลย" ปู่ตอบกลับผมพร้อมรอยยิ้ม "แล้วแต่ช่วงชีวิต แล้วแต่จังหวะกรรม ส่วนเรื่องมีไม่มีนั้น เอ็งก็ลองถามเพื่อนเอ็งดู" "เอ็งมีคนคุ้มครองนะ ไม่มีใครมาทำอะไรง่ายๆหรอก"ปู่กล่าวประโยคสุดท้ายที่ทำให้ผมงงหนักไปใหญ่ ก่อนที่ผมจะไหว้ปู่ก่อนจะออกจากห้องพร้อมเจ้าวุฒิ "สรุปมันมีจริงหรอวะ ผีเนี่ยเคยเห็นหรอ?" "เดี๋ยวก็รู้เอง"
                            
                               คืนนั้นผมต้องเข้านอนด้วยความสับสนอะไรหลายอย่างในใจ ทั้งเรื่องที่ผีมีจริงหรือไม่ และใครบางท่าน ที่คุ้มครองผมอยู่
จู่ๆก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ฟิล์มลุกขึ้นมาบีบคอตัวเอง ลิ้นจุกปาก และตาที่เหลือกจนแทบไม่เห็นตาดำ ผมรีบเข้าไปดึงมือมันออกและพยายามตะโกนปลุกเพื่อนทุกคน เหตุการณ์โกลาหล พวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร วุฒิถอดสร้อยพระตัวเองออกและเอาสวมให้ฟิล์ม ฟิล์มจึงสงบลง ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่ความปกติ ปู่ของวุฒิมาที่ห้องนอนพวกเรา พร้อมหญ้า1กำมือ ปู่บรรจงเอาหญ้าลูบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของฟิล์ม พร้อมมองไปทางประตูห้อง 
"อย่าทำเด็กมันเลย มันไม่รู้ความ มันทำอะไรพลาดจะให้ไปขอขมาเสีย" จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงตวาดกลับมาอย่างรุนแรง "บอกมันให้เอาของกูคืนมา!!"
เสียงชายหนุ่มตวาดเสียงแข็งอย่างโมโห แต่ผมกลับมองไม่เห็นต้นตอของเสียง "งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้มันเอาไปคืนแล้วทำบุญให้แล้วกัน" ปู่ตอบกลับเสียงนั้น ปู่สั่งให้ผมและวุฒิช่วยกันเช็ดตัวฟิล์ม สักพักใหญ่ๆฟิล์มก็ตื่นขึ้นมาพร้อมอาการสั่นกลัว "ผีๆๆๆ ไม่เอาแล้ววๆๆๆ เดี๋ยวเอาไปคืน ผมขอโทษครับๆๆๆๆ"
ผมและเพื่อนๆอีก4คนต้องพยายามปลอบจนฟิล์มสงบลง ปู่ถามฟิล์ม "ไอหนูเรื่องมันเป็นไงมาไงทำไมเขาจึงมาทวงหละ" ฟิล์มเล่าอย่างสั่นกลัวว่า
ตนได้หยิบเหรียญมาจากที่วัด พอเข้านอนไปได้สักพักรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนโดนบีบคอ จึงลืมตาขึ้นมาดู เห็นร่างที่ไม่มีหัวนั่งคร่อมอยู่บนร่างกายและกำลังบีบคออยู่ จึงพยายามสวดมนต์เพื่อให้ร่างไร้หัวนั้นหายไป แต่ความพยายามนั้นไม่เป็นผล เสียงจากหัวที่หลุดออกจากบ่า ที่วางอยู่เบื้องซ้ายมือของฟิล์มพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น "ไม่ต้องสวด กูไม่กลัว เอาของกูไป กูจะเอาชีวิตแลกให้สาสม!" ฟิล์มรู้สึกใกล้หมดลมหายใจ ในตอนนั้นคิดว่าวันนี้คงต้องเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว จึงร้องไห้ออกมา แต่จู่ๆก็มีแสงสีขาวนวลอบอุ่น สว่างจ้าขึ้นมาต่อหน้าฟิล์ม ร่างไร้หัวนั้นจึงถอยไปอยู่ที่หน้าประตูห้อง

"เป็นอย่างนี้นี่เอง เอ้า พรุ่งนี้ก็เอาของไปคืนเขาแล้วไปทำบุญให้เขาด้วย"ปู่กล่าวพร้อมนำสายสิญจน์มาผูกข้อมือของฟิล์มเพื่อเรียกขวัญ ปู่หันมามองผมแล้วยิ้ม "เชื่อยังหละว่าของแบบนี้มันยังมีอยู่" "เชื่อแล้วครับ"ผมตอบไป แต่ในใจก็ยังคงคิดอยู่ดี ว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญเจ้าฟิล์มคงฝันร้ายละเมอไปเอง
                
                                 รุ่งเช้าพวกผมจึงมุ่งหน้าไปที่วัดเดิม เพื่อไปคืนของให้แก่เจ้าของของเขา และทำบุญขอขมาเป็นพิธีเล็กๆน้อยๆ
ทุกอย่างเหมือนจะกลับเข้าสู่ความปกติสำหรับฟิล์ม แต่สำหรับผมแล้ว มันกำลังจะไม่ใช่ความปกติที่ผมรู้จัก ผมมองไปยังต้นไม้ใหญ่นอกวัดด้วยความสงบ
แต่ร่างชายคนหนึ่งก็ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า เขาแต่งกายเหมือนทหารโบราณ แต่ไม่ใช่ทหารของไทย ผิวดำคล้ำ เลือดอาบตามร่างกาย นัยน์ตาลึกโบ๋
แผลเต็มตัว และตัวขาดครึ่งท่อน ไร้ท่อนล่าง มือของเขากำลังชี้มาที่หน้าผม พร้อมอ้าปากกว้างน่าสยดสยอง คางเกือบจรดกับพื้น เป็นภาพที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย เสียงหนึ่งดังลั่นในหัวผมเป็นภาษาที่ผมไม่เข้าใจ แต่ฟังจากน้ำเสียง คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ก็มีอีกเสียงที่แทรกเข้ามา เป็นเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกหายกลัวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า "ไม่ต้องกลัว ข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง" ในตอนนั้นผมทั้งช็อคทั้งงงในสิ่งที่มันเกิดขึ้นต่อหน้า ร่างนั้นลางหายไป
ผมหันไปมองหน้าวุฒิ "อืมเห็นแล้ว ไม่ต้องทัก" เดี๋ยวกลับไปคุยกับปู่กู 
                               
                                เรื่องราวในตอนนั้น ทำให้ผมรู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้น และมันทำให้รู้ ว่านั่นมันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่