[CR] "144 ชั่วโมง" หนีธีสิสไปภูเก็จ

"144 ชั่วโมง" หนีธีสิสไปภูเก็จ




สวัสดีชาวพันทิปทุกคนค่ะ กระทู้นี้จะขอมาเล่าเกี่ยวกับทริปภูเก็ต 144 ชั่วโมงที่หนีธีสิสไปเที่ยวของพวกเรานะคะ จริง ๆ แล้วเหตุผลที่ไปก็ไม่ได้เป็นเพราะธีสิส 100% หรอกค่ะ ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเราเรียนวิชา GEN441 หรือวิชา Culture and Excursion (วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว) ที่ในทุกปีจะให้นักศึกษาจัดทริปไปเที่ยวที่ไหนก็ได้และมาบอกเล่าว่าเราได้อะไรจากการท่องเที่ยวครั้งนี้นั่นเองค่ะ ซึ่งกลุ่มของพวกเราก็ได้เลือกภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางค่ะ เนื่องจากเราสนใจในสถาปัตยกรรมเมืองเก่าของภูเก็ต หรือที่หลาย ๆ คนคุ้นกันในชื่อ ‘ชิโนโปรตุกีส’ นั่นเอง

หลังจากได้จุดหมายปลายทางที่จะไปแล้ว เราก็มาคุยกันว่าจะเดินทางกันยังไง จะไปด้วยรถไฟ รถทัวร์หรือว่าเครื่องบินดี และสุดท้ายเราก็เลือกที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินกันค่ะ เนื่องจากตอนนั้นมีโปรลดราคาอยู่พอดี ก็เลยทำการจองตั๋วกันเลย โดยเราเลือกวันเดินทางเป็นวันที่ 18-23 เมษายนค่ะ และนอกจากนี้ ตอนที่เราเอาทริปนี้ไปปรึกษาอาจารย์ประจำวิชา อาจารย์ก็ได้ให้การบ้านพวกเรามาด้วยค่ะ โดยอาจารย์ให้พวกเราไปหาเพิ่มว่าขนมพื้นเมืองของภูเก็ตคืออะไร และ ภูเก็ต กับ ภูเก็จ นั้นต่างกันอย่างไร โดยที่อาจารย์ก็ได้กำชับอีกว่าข้อมูลที่ได้ต้องมาจากคนในพื้นที่เท่านั้น ยังไงถ้าหากทุกคนพร้อมแล้ว ก็ไปเริ่มทริปกับพวกเราได้เลยค่ะ!




DAY - 1
วันเดินทางมาถึง เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาตีสามค่ะ ที่เลือกเวลานี้เพราะตอนนั้นพวกเราคิดกันว่าอยากไปถึงเช้า ๆ จากนั้นก็จะได้ไปเดินเล่นที่ตัวเมืองต่อเลย ไม่เสียเวลา ซึ่งพวกเราคิดผิดค่ะ T_T เพราะหลังจากที่ถึงภูเก็ตตอนประมาณตีห้า พวกเราก็รู้สึกง่วงมาก ๆ ตอนนั้นคิดกันอย่างเดียวว่าอยากไปถึงโฮสเทล(เพื่อนอน)ให้เร็วที่สุด  แต่เนื่องจากรถบัสจากสนามบินไปสถานีขนส่งเริ่มเที่ยวแรกตอนเจ็ดโมง พวกเราจึงตัดสินใจเหมารถตู้ 800 บาทเพื่อเข้าเมืองแทนค่ะ


ในวันแรกพวกเราก็ไม่ได้ไปไหนมากเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่ของเราใช้ไปกับการนอนอยู่ที่โฮสเทลถึงประมาณบ่ายสาม หลังจากนั้นถึงได้ออกมาหาอะไรกินและไปเดินเล่นในตัวเมืองค่ะ
ระหว่างเดินไปเรื่อย ๆ เราก็ผ่านศาลเจ้าแสงธรรมด้วยค่ะ ที่ศาลเจ้ามีภาพเขียนผนังเป็นแนวยาวเลย
เจอป้าย 'ที่นี่ภูเก็จ' ด้วย
บรรยากาศย่านเมืองเก่าของภูเก็ตตอนกลางคืนในวันธรรมดาก็จะเงียบเหงา ๆ หน่อย แต่ก็ได้ฟีลอีกแบบนึงดีนะคะ หลังจากเดินเล่นให้พอคุ้นแล้ว เราก็กลับโฮสเทลเพื่อที่จะพักผ่อนเตรียมแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ค่ะ



DAY - 2
และแล้ววันที่สองก็มาถึง วันนี้เราวางแผนกันไว้ว่าจะไปเดินแถวเมืองเก่าและไปพิพิธภัณฑ์กัน โดยก่อนจะที่ออกเดินเที่ยวชมย่านเมืองเก่า เราก็แวะกินมื้อเช้ากันที่ร้าน ‘โรตี แถวน้ำ’ ค่ะ ซึ่งร้านนี้ก็เป็นร้านแนะนำเลย เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะเคยแวะเวียนไปกินกันบ้างแล้วค่ะ


ร้านนี้ใช้เตาถ่านในการทอดโรตีด้วย
หลังจากกินกันจนอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาออกเดินเที่ยวกัน โดยเราจะเริ่มเดินที่ถนนถลาง ตัดเข้าซอยรมณีย์ ไปถนนดีบุก และจบที่ถนนกระบี่ตามลำดับค่ะ
    
ที่ย่านเมืองเก่าเราได้เห็นสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสของจริงมากมาย ถึงแม้ว่าตึกบางแห่งจะถูกปรับปรุงจนดูใหม่ แต่ก็มีตึกอีกหลายแห่งเช่นกันที่ยังคงเดิมไว้ อาจจะมีปรับปรุงบ้างแต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
  

หลังจากเดินชมย่าน OLD TOWN ไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะได้เดินชมพิพิธภัณฑ์กันต่อ ซึ่งพิพิธภัณฑ์ที่เราจะไปก็คือ ‘พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว’ ที่ถนนกระบี่นั่นเองค่ะ  ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาและวิถีชีวิตต่าง ๆ ของชาวจีนที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามาในจังหวัดภูเก็ต โดยก่อนจะมาเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างในปัจจุบันที่นี่ก็เคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนภาษาจีนมาก่อนค่ะ

ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์คนละ 50 บาท เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 9:00 น. จนถึง 17:00 น. ค่ะ


โชคดีที่วันนั้นเราเจอกับคุณสุรเชษฐ์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวพอดี จึงทำให้เราได้ถามถึงความแตกต่างของคำว่า 'ภูเก็ต' กับ 'ภูเก็จ' และเราก็ได้คำตอบว่า จริง ๆ แล้วคำว่าภูเก็ต ถ้าสะกดตามหลักของภาษาไทย ต้องสะกดด้วย จ. เพราะ ‘ภูเก็จ’ หมายถึงแผ่นดินมีค่าดั่งดวงแก้ว โดย ภู หมายถึงแผ่นดิน และ เก็จ หมายถึงแก้ว แต่ต่อมาเกิดการเพี้ยนเสียงจากภาษามลายู เนื่องจากเมื่อก่อนภูเก็ตในภาษามลายูจะเขียนว่า Bhukit ซึ่งแปลว่าภูเขา จึงเกิดการเพี้ยนจากการสะกดด้วย จ. มาเป็น ต. แต่ถึงอย่างนั้น คุณสุรเชษฐ์ก็บอกว่าจะสะกดยังไงก็ได้ แค่เพียงว่าแบบ ต. เป็นภาษาที่ยืมมาเฉย ๆ




นอกจากเรื่อง 'ภูเก็จ' กับ 'ภูเก็ต' แล้ว คุณสุรเชษฐ์ก็ได้พาเราเดินชมและอธิบายถึงเรื่องสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ต่ออีก และนั่นก็ทำให้เราได้รู้ว่า สถาปัตยกรรมที่ย่านเมืองเก่าของภูเก็ตนั้นไม่ได้เรียกว่า ชิโนโปรตุกีส อย่างเราเข้าใจ มันคือสถาปัตยกรรมแบบ ชิโนยูโรเปียน ต่างหาก โดย ชิโน หมายถึง จีน และ ยูโรเปียน หมายถึง ยุโรป เมื่อสองวัฒนธรรมมารวมกันก็กลายเป็น 'ชิโนยูโรเปียน' นั่นเอง


สิ่งที่เราได้เรียนรู้อีกอย่างนั่นคือบ้านในย่านเมืองเก่าสมัยก่อนจะหน้าไม่กว้าง เพราะถ้าหน้ากว้างก็จะต้องจ่ายภาษีเยอะ ทำให้ในสมัยก่อนเวลาสร้างบ้านเขาจะเน้นความยาวแทน โดยภายในตรงช่วงกลางบ้านจะเปิดโล่งให้แสงส่องเข้ามา ซึ่งจะเป็นลานซักล้างหรือไม่ก็เป็นบ่อน้ำ


นอกจากนี้เรื่องที่ทำให้ทึ่งปนขำคือบ้านสมัยก่อนจะมีรูเล็ก ๆ ที่เจาะไว้จากบนชั้นสอง ซึ่งจุดที่เจาะก็จะตรงกับบริเวณหน้าบ้านตรงประตูพอดี คนข้างบนบ้านก็จะสามารถมองเห็นจากรูนั้นได้ว่าใครมา


ภายในพิพิธภัณฑ์ชั้นสองจะมีห้องห้องนึงที่มีประวัติของชาวจีนเด่น ๆ ที่อพยพเข้ามาที่ภูเก็ตค่ะ 

บ้านชินประชา
และที่ต่อไปที่เราจะไปกันนั่งก็คือบ้านชินประชานั่นเองค่ะ ตามข้อมูลที่ได้ศึกษามา บ้านชินประชา เป็นบ้านที่สร้างตามแบบชิโนยูโรเปียนแห่งแรกในภูเก็ตค่ะ โดยนอกจากสถาปัตยกรรมที่จะมีความยูโรเปียนแล้ว ภายในยังประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากต่างประเทศอีกด้วย เช่น กระเบื้องปูพื้นภายในบ้านที่มาจากอิตาลีนั่นเองค่ะ


พื้นปูจากอิตาลีภายในบ้านชินประชา
ภายในบ้านมีบ่อน้ำที่มีปลาว่างอยู่ด้วย ส่วนตัวรู้สึกชอบการออกแบบมาก ๆ ค่ะ  ตอนที่เข้าไปแล้วเห็นบ่อน้ำก็รู้สึกเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก สถาปัตยกรรมแบบคนภูเก็ตสมัยก่อนนี่ดีจริง ๆ
ชื่อสินค้า:   ภูเก็ต
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่