แชร์ประสบการณ์
ยาวไปนิดต้องขออภัย
ก่อนอื่นเราต้องบอกว่ามาจากครอบครัวที่จนมาก เราเป็นคนต่างจังหวัดนะค่ะ ด้วยความที่เราจนเราเลยต้องทำงานมาตั้งแต่เล็กถ้าถามว่าเริ่มทำงานตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตั้งแต่อนุบาล2ค่ะช่วงนั้นพ่อกับแม่รับจ้างในสวนผลไม้แห่งหนึ่งเราก็เก็บผลไม้เขาก็ให้ค่าแรงเราก็ให้แม่เป็นคนเก็บหมดตามประสาเด็กค่ะที่ทำไปเล่นไป อ้อลืมบอกครอบครัวเราค่อนข้างรักสันโดษค่ะ เราเลยไม่ค่อยได้ไปไหนหรือไปเล่นที่ไหน จนเราอยู่ป.1ก็ตามประสาเด็กทั่วไปที่วิ่งเล่นขี้อายไม่กล้าแสดงออกเท่าไหร่ ในทุกอาทิตจะมีคนมาบริจาคของแล้วก็จัดกิจกรรมต่างๆรวมตั้งให้เด็กแสดงความสามารถพิเศษซึ่งสิ่งที่มันล่อใจเราสุดๆคือเงิน เราไม่อายตอนขึ้นไปบนเวทีเลยเราร้องเพลงผิดๆถูกๆบ้างแต่ก็ร้องจนจบเราได้เงินมา100นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้จับเงินเยอะขนาดนั้น(สำหรับเด็กจนๆอย่างเรา100ถือว่าเยอะมากค่ะ)และจากนั้นในทุกครั้งที่มีคนมาบริจาคของเราก็จะร้องเพลงทุกครั้งถึงมันจะได้ไม่มากแต่สำหรับครอบครัวเราแล้วมันช่วยเรื่องค่าขนมของพี่น้องเราทุกคนเลยแต่ว่านั่นก็แค่รายได้พิเศษที่โรงเรียนพอเรากลับมาบ้านเราก็ต้องเก็บพริก/เก็บข้าวโพด/ปลูกต้นกล้าพริก/ปลูกผัก/รดน้ำแปลงผัก เราเหนื่อยมาก เราร้องไห้เราอยากวิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆแต่เรามีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเราคือการเรียนเราเชื่อมาตลอดว่าเราจะไม่จนไปตลอดเราจะต้องได้วิ่งเล่นได้กินขนมดีๆได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆเราเชื่อว่าการเรียนช่วยเราได้เพราะคนที่มาบริจาคของทุกคนเขาดูมีการศึกษากันหมดเลยตอนนั้นเราเลยเชื่อว่าการเรียนทำให้คนมีทุกอย่างที่ต้องการซึ่งขัดกับที่บ้านที่เชื่อว่าเรียนไปเท่าไหร่จบมาก็มาเป็นขี้ข้าเขาอยู่ดีสู้ออกมาเก็บเงินเลยดีกว่าจะได้รวยเร็วๆพี่น้องเราเลยเรียนแค่ประถมแล้วลาออกเราเป็นคนเดียวที่เรียนสูงที่สุดในครอบครัวเราทำงานทุกอย่างที่มีตั้งแต่เด็กรับจ้างจริงจังก็ป.2
ไม่ว่าจะเป็น
ปลูกผัก/เก็บผัก/เป็นแม่บ้านรีสอร์ท/เก็บขยะขาย/ทำร้านอาหาร/ขายเสื้อ/ขายผัก/พี่เลี้ยง/แม่บ้าน/งานขายผลไม้และงานparttimeอีหลายอย่างต้องขอบคุณทุกที่ที่จ้างเด็กอย่างเราถึงจะไม่มากแต่ก็เป็นต้นทุนให้เราได้ เราเก็บเงินจนเราขึ้นมัธยมแล้วเข้าไปเรียนในตัวเมืองโชคดีที่เราได้ทุนแต่ก็แค่ส่วนที่เป็นค่าเทอมที่เหลือเราต้องหาเองค่ากินค่าอยู่ทุกอย่างเราหาเองแต่เราก็ไม่เคยคิดจะทิ้งการเรียนนะเรายังคงเชื่อเหมือนเดิมเราก็ทำงานไปเรียนไปหลายคนบอกว่าเราเก่งมากที่สู้มาขนาดนี้แต่ในใจของเราอ่ะมันไม่สู้ไม่ได้หรอกปากกัดตีนถีบสุดๆในบางครั้งเงินไม่พอใช้อดข้าว3-4วันก็มี
เหนื่อยจนนอนร้องไห้ทุกคืน😭
เราสู้จนจบม.3วันนั้นเราภูมิใจมากเราเรารู้สึกว่าเราก้าวมาขั้นหนึ่งแล้วแต่ในวันที่เราดีใจที่สุดครอบครัวเราก็ไม่มาเราน้อยใจมากเรารู้ว่าเขาอยากให้เราหยุดเรียนแล้วออกไปทำงานเขาพูดกับเราหลายครั้งจนเอือมแต่เราไม่ยอมเราสู้มาเองขนาดนี้เราจะไม่หยุดแค่นี้
เรารู้ว่าเขากลุ้มใจแต่เราไม่ยอมหรอกมันยังไม่ถึงเป้าหมายเรา
วันนั้นเราเดินกลับหอแล้วเราก็นั่งกอดตัวเองกอดแน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้แล้วก็นั่งร้องให้อยู่แบบนั้นจนหลับไปเลย
เราตั้งใจว่าจะเรียนต่อม.ปลายอีกเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ก่อนสมัครแม่เรามาหาเราพยามพูดเพื่อโน้มน้าวใจเราไม่ให้เรียนต่อเรากับแม่เลยมีปากเสียงกันมีคำหนึ่งที่แม่พูดมาแล้วเราเจ็บจนร้องไห้แม่บอกว่า "เป็นผู้หญิงเรียนจบไปแล้วได้อะไรก็ต้องออกมาทำงานเหมือนกันผู้หญิงโตไปก็เป็นเมียคำว่าขี้ข้ามันไม่หายไปหรอกถ้าเป็นผู้ชายก็ว่าไปอย่าง" เราโกรธมาเลยเถียงแม่กลับไม่ว่า"ถึงหนูเป็นผู้หญิง แต่หนูจะทำให้ดูว่าผู้หญิงแบบหนูก็มีอนาคตที่ดีได้"
เราไม่เคยลืมเรื่องในวันนั้นเลยเพราะนั้นเป็นการทะเลาะกับครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดของเราเราเรียน.ปลายแน่นอนว่ายังคงทำงานอยู่จนช่วงม.5แม่เราป่วยทางบ้านเราอยากให้เราลาออกแล้วช่วยกันหาเงินรักษาแม่ เราเครียดมากเครียดมากๆเราไม่อยากลาออกเราเลยไปโรงพยาบาลถามหมอว่าแม่เราเป็นอย่างไรหมอบอกว่ารักษาได้แต่ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเราคิดหาทางออกตลอดเวลาช่วงนั้นเราเครียดจนนอนไม่หลับเราตระเวณหางานพิเศษเพิ่มจากที่ทำแค่เสาร์อาทิตย์เราก็เพิ่มช่วงเย็นแล้วก็ช่วงค่ำฟังดูงงๆใช่มั้ยค่ะ
8:00-16:00
18:00-20:00
21:00-3:00
ช่วงนั้นเราต้องจัดการเวลาทุกอย่างให้รอบคอบที่สุดไม่ให้กระทบกับการเรียนรายได้ก็เอาไม่สมทบกับพี่ๆเพื่อรักษาแม่
ฟังจนถึงตอนนี้คงคิดว่าเราหัวรั้นมากใช่ป่ะ เรายอมรับนะแต่ตอนนั้นเราคิดเรื่องนี้หลายรอบมากมันเหมือนอุดมการเรายิ่งใหญ่มากเราแบบเราไม่อยากเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไป เราทำงานแบบทรมานตัวเองแบบนั้นจนแม่หายป่วยอยู่ประมาณ1ปี สำหรับเรามันทรมานมากเรามีอาการของเครียดเรื้อรัง เราร้องไห้ทุกคืน เพราะเราคิดว่ามันเหนื่อยมากแค่เราอยากเรียนทำไมอุปสรรคมันเยอะมากมายขนาดนี้
บอกเลยว่าช่วงนั้นเรามีความคิดฆ่าตัวตายตลอดแต่มันติดที่ว่าครอบครัวเราแม่ที่ป่วยเรายังทิ้งไม่ได้เรายังต้องอยู่
ถ้ามีใครสงสัยว่ามันเหนื่อยขนาดไหนก็ให้คิดดูว่าเวลานอนไม่กี่ชั่วโมงกับต้องเรียนต้องทำงานทั้งวัน+ความเครียดทุกวันเป็นเวลา1ปีถ้าถามว่ามันเครียดขนาดคิดฆ่าตัวตายเลยหรอบอกเลยว่ามันเหนื่อยมันมีเหมือนด้านมืดที่คอยบอกว่าทำไมต้องสู้ขนาดนี้เหนื่อยมากใช่มั้ยถ้าตายไปก็ไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องทะเลาะไม่ต้องดิ้นรนคิดแค่ว่าอยากพักอยากทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้เบื้องหลังคิดแบบนี้จริงๆ
แต่ทุกอย่างมันคอยเตือนใจเราไว้ไม่ให้ทำ
จนเราผ่านช่วงนั้นมาได้ ช่วงนี้มันเหนื่อยกายมากนะแต่ช่วงม.6เนี่ยสุดจริง
พอม.6เราก็เลือกรับงานพยายามอ่านหนังสือให้มากๆเพราะสอบเยอะเราทำงานเก็บเงินก้อนแบบประหยัดสุดๆเพื่อจะเรียนต่อ แต่มันก็อยู่ในช่วงที่ครอบครัวเราอยากมีกิจการของตัวเองเหมือนกันแม่เราเริ่มขอเงินทีละก้อนๆเราพยายามบอกแม่นะว่าเงินก้อนนี้เราจะเอาไปเรียนต่อแต่ทุกครั้งมันจะกลายเป็นว่าทะเลาะกันตลอดจนสุดท้ายเงินก้อนนั้นก็หมดช่วงนั้นเรานอนไม่หลับ, เราเครียด, เราอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง, ที่หนักสุดคือเรากินอะไรไม่ได้เลยและเราร้องไห้ทุกคืนมันแย่ลงเรื่อยๆเราเริ่มเป็นคนอารมณ์โกรธโมโหร้ายขึ้นหงุดหงิดง่ายเราไม่อยากทำอะไรเลยเราจินตนาการภาพฆ่าตัวตายเยอะมากและวันนั้นวันที่เราตัดสินใจทำก็เกิดขึ้นวันนั้นเราไม่ไปโรงเรียนอันที่จริงเราเริ่มไม่ไปเรียนมาสักพักแล้วเพราะเราไม่อยากไปไม่อยากเจอใครไม่อยากทำอะไรเลยนอกจาก...
เราจำวันนั้นได้ดีวันนั้นฟ้ามันก็ครึ้มเหมือนทุกวันไม่มีลมพัดมีเสียงรถยนต์ที่น่าหนวกหูดังไปหมดมีเสียงจิตใต้สำนึกที่บอกว่าเหนื่อยพอแล้วพอสักที เรามองไปรอบห้องที่รกข้าวของกระจัดกระจายของเราแต่เราเห็นไม่รู้นะปกติเราก็ไม่ค่อยสนใจมันหรอกแต่วันนั้นรู้สึกดีใจที่เจอมันใจมันเต้นรัวๆตอนที่เราเอื้อมไปหยิบคัตเตอร์ที่อยู่บนพื้นห้องตอนนั้นเราไม่สนใจอะไรแล้วใจเรามันบอกแค่ว่าอยากพักมากเหนื่อยแล้วพอได้แล้วคำพวกนี้วนเวียนในหัวเราตลอดเราค่อยๆรูดคมคัตเตอร์ให้มันยาวที่สุดแล้วก็ค่อยๆกดมันลงบนข้อมือเรามันเจ็บจี๊ดๆพร้อมกับคัตเตอร์ที่กรีดเนื้อเราเลือดค่อยๆไหลออกมามันรู้สึกดีมากมันเป็นภาพที่สวยงามมากๆความเจ็บของเราหายไปมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดีเรามองเลือดเราค่อยๆหยดลงบนพื้นห้องหยอดที่ตกลงพื้นแล้วแตกกระจายมันเป็นภาพที่สวยงามมากแล้วเราก็รู้สึกว่าเอาอีกอยากเห็นอีกเราคิดแค่นั้นจริงๆครั้งที่2เราเลือกตรงแขนเราค่อยๆกดมันให้ลึกกว่าเดิมแล้วก็คาคัตเตอร์ไว้อย่างงั้นเลือดมันไหลออกมาเร็วมากๆจนพื้นที่เรานั่งอยู่มีแต่เลือดเต็มไปหมดกลิ่นเลือดมันแตะจมูกในอากาศสุดยอดไปเลยเรารู้สึกดีมากแต่ก็คงดีได้แค่นั้นเสียงเคาะประตูดังมากเราไม่รู้ว่าใครมาแล้วเคาะมานานเท่าไหร่แล้วเรารีบดึงคัตเตอร์ออกเอาเสื้อพันแขนแล้วดึงผ้าห่มมาปิดรอยเลือดที่พื้นแต่เรากลับลืมเปลี่ยนกางเกง
เราไปเปิดประตูเรารู้สึกตกใจเพราะคนที่มาเคาะคือครูที่ปรึกษาของเราเขาหน้าตาเครียดมากและตกใจที่เจอเราในสภาพนั้นเขาตะคอกถามว่าเราทำอะไรแต่ตอนนั้นเราไม่พูดอะไรออกไปเลยเขาพาเราไปโรงพยาบาลทันทีระหว่างทางครูก็ร้องไห้ไปด้วยเราก็งงว่าครูเป็นอะไรพอถึงโรงพยาบาลแน่นอนว่าเรื่องโกลาหลมากคงพอจะเดาได้นะเราถูกนำตัวไปทำแผลเย็บแผลแล้วก็บลาๆจากนั้นก็ถูกส่งตัวไปหาหมอจิต แน่นอนว่าเราต้องรักษาตัวอยู่พักใหญ่ๆเราเป็นโรคซึมเศร้า
จนวันที่เราได้กลับอ้อครอบครัวเราไม่รู้เรื่องนี้นะเพราะเขาไม่ได้อยู่บ้านเดิมกันแล้วไม่มีใครติดต่อครอบครัวเราได้เลย
เราได้กลับบ้านจริงแต่เราก็ยังต้องไปหาหมอทุกเดือนเราก็ยังคงเรียนไปทำงานไปแหละแต่ก็พยายามรักตัวเองให้มากขึ้น
หลายคนคงตั้งคำถามว่าความเครียดทำให้เราเป็นได้ขนาดนั้นเลยหรอ???
เราจะอธิบายให้ฟังนะ
สำหรับคนอย่างเราที่ต้องทำงานตั้งแต่เด็กไม่มีเวลาเล่นไม่ได้ใช้ไม่ได้กินของดีๆอย่างใครเขาอาจดูเหมือนพวกเราเข้มแข็งนะแต่พวกเราก็คนเราเหนื่อยเราร้องไห้เราสู้เพื่อเป้าหมายเพื่อสิ่งที่ฝัน บ่อยครั้งที่เราอิจฉาคนที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรเลย ไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องเครียดมันน่าอิจฉามากนะเมื่อเทียบกับตัวเราที่กว่าจะได้เงินแต่ละบาทมามันไม่ง่ายเลย เรามีเพื่อนที่มีฐานะอยู่หลายคนนะบางคนนี่ไม่อยากเรียนเลยมีหลายคนด้วยซ้ำที่พ่อแม่ต้องจ้างเรียน ได้แต่บอกในใจว่าทำไมไม่ใช่กู ก็เข้าใจแหละว่าต้นทุนเราไม่เหมือนกันก็รู้แหละว่าต้องรับความจริงก็รู้แหละว่าต้องอดทนพยายามเพื่อให้ได้เป้าหมายเดียวกันมา
เราอดทนมามากจนตอนนี้เราจะจบมหาลัยแล้วนะ☺️
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของเจ้าของกระทู้นะแค่อยากแชร์ประสบการณ์เรียนไปทำงานไป
ส่วนใครที่เป็นนักสู้เหมือนเราก็ขอให้ถึงเป้าหมายเร็วๆนะเป็นกำลังใจให้นักสู้ชีวิตทุกคนนะ
แชร์ประสบการณ์เรียนไปทำงานไป
ยาวไปนิดต้องขออภัย
ก่อนอื่นเราต้องบอกว่ามาจากครอบครัวที่จนมาก เราเป็นคนต่างจังหวัดนะค่ะ ด้วยความที่เราจนเราเลยต้องทำงานมาตั้งแต่เล็กถ้าถามว่าเริ่มทำงานตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตั้งแต่อนุบาล2ค่ะช่วงนั้นพ่อกับแม่รับจ้างในสวนผลไม้แห่งหนึ่งเราก็เก็บผลไม้เขาก็ให้ค่าแรงเราก็ให้แม่เป็นคนเก็บหมดตามประสาเด็กค่ะที่ทำไปเล่นไป อ้อลืมบอกครอบครัวเราค่อนข้างรักสันโดษค่ะ เราเลยไม่ค่อยได้ไปไหนหรือไปเล่นที่ไหน จนเราอยู่ป.1ก็ตามประสาเด็กทั่วไปที่วิ่งเล่นขี้อายไม่กล้าแสดงออกเท่าไหร่ ในทุกอาทิตจะมีคนมาบริจาคของแล้วก็จัดกิจกรรมต่างๆรวมตั้งให้เด็กแสดงความสามารถพิเศษซึ่งสิ่งที่มันล่อใจเราสุดๆคือเงิน เราไม่อายตอนขึ้นไปบนเวทีเลยเราร้องเพลงผิดๆถูกๆบ้างแต่ก็ร้องจนจบเราได้เงินมา100นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้จับเงินเยอะขนาดนั้น(สำหรับเด็กจนๆอย่างเรา100ถือว่าเยอะมากค่ะ)และจากนั้นในทุกครั้งที่มีคนมาบริจาคของเราก็จะร้องเพลงทุกครั้งถึงมันจะได้ไม่มากแต่สำหรับครอบครัวเราแล้วมันช่วยเรื่องค่าขนมของพี่น้องเราทุกคนเลยแต่ว่านั่นก็แค่รายได้พิเศษที่โรงเรียนพอเรากลับมาบ้านเราก็ต้องเก็บพริก/เก็บข้าวโพด/ปลูกต้นกล้าพริก/ปลูกผัก/รดน้ำแปลงผัก เราเหนื่อยมาก เราร้องไห้เราอยากวิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆแต่เรามีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเราคือการเรียนเราเชื่อมาตลอดว่าเราจะไม่จนไปตลอดเราจะต้องได้วิ่งเล่นได้กินขนมดีๆได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆเราเชื่อว่าการเรียนช่วยเราได้เพราะคนที่มาบริจาคของทุกคนเขาดูมีการศึกษากันหมดเลยตอนนั้นเราเลยเชื่อว่าการเรียนทำให้คนมีทุกอย่างที่ต้องการซึ่งขัดกับที่บ้านที่เชื่อว่าเรียนไปเท่าไหร่จบมาก็มาเป็นขี้ข้าเขาอยู่ดีสู้ออกมาเก็บเงินเลยดีกว่าจะได้รวยเร็วๆพี่น้องเราเลยเรียนแค่ประถมแล้วลาออกเราเป็นคนเดียวที่เรียนสูงที่สุดในครอบครัวเราทำงานทุกอย่างที่มีตั้งแต่เด็กรับจ้างจริงจังก็ป.2
ไม่ว่าจะเป็น
ปลูกผัก/เก็บผัก/เป็นแม่บ้านรีสอร์ท/เก็บขยะขาย/ทำร้านอาหาร/ขายเสื้อ/ขายผัก/พี่เลี้ยง/แม่บ้าน/งานขายผลไม้และงานparttimeอีหลายอย่างต้องขอบคุณทุกที่ที่จ้างเด็กอย่างเราถึงจะไม่มากแต่ก็เป็นต้นทุนให้เราได้ เราเก็บเงินจนเราขึ้นมัธยมแล้วเข้าไปเรียนในตัวเมืองโชคดีที่เราได้ทุนแต่ก็แค่ส่วนที่เป็นค่าเทอมที่เหลือเราต้องหาเองค่ากินค่าอยู่ทุกอย่างเราหาเองแต่เราก็ไม่เคยคิดจะทิ้งการเรียนนะเรายังคงเชื่อเหมือนเดิมเราก็ทำงานไปเรียนไปหลายคนบอกว่าเราเก่งมากที่สู้มาขนาดนี้แต่ในใจของเราอ่ะมันไม่สู้ไม่ได้หรอกปากกัดตีนถีบสุดๆในบางครั้งเงินไม่พอใช้อดข้าว3-4วันก็มี
เหนื่อยจนนอนร้องไห้ทุกคืน😭
เราสู้จนจบม.3วันนั้นเราภูมิใจมากเราเรารู้สึกว่าเราก้าวมาขั้นหนึ่งแล้วแต่ในวันที่เราดีใจที่สุดครอบครัวเราก็ไม่มาเราน้อยใจมากเรารู้ว่าเขาอยากให้เราหยุดเรียนแล้วออกไปทำงานเขาพูดกับเราหลายครั้งจนเอือมแต่เราไม่ยอมเราสู้มาเองขนาดนี้เราจะไม่หยุดแค่นี้
เรารู้ว่าเขากลุ้มใจแต่เราไม่ยอมหรอกมันยังไม่ถึงเป้าหมายเรา
วันนั้นเราเดินกลับหอแล้วเราก็นั่งกอดตัวเองกอดแน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้แล้วก็นั่งร้องให้อยู่แบบนั้นจนหลับไปเลย
เราตั้งใจว่าจะเรียนต่อม.ปลายอีกเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ก่อนสมัครแม่เรามาหาเราพยามพูดเพื่อโน้มน้าวใจเราไม่ให้เรียนต่อเรากับแม่เลยมีปากเสียงกันมีคำหนึ่งที่แม่พูดมาแล้วเราเจ็บจนร้องไห้แม่บอกว่า "เป็นผู้หญิงเรียนจบไปแล้วได้อะไรก็ต้องออกมาทำงานเหมือนกันผู้หญิงโตไปก็เป็นเมียคำว่าขี้ข้ามันไม่หายไปหรอกถ้าเป็นผู้ชายก็ว่าไปอย่าง" เราโกรธมาเลยเถียงแม่กลับไม่ว่า"ถึงหนูเป็นผู้หญิง แต่หนูจะทำให้ดูว่าผู้หญิงแบบหนูก็มีอนาคตที่ดีได้"
เราไม่เคยลืมเรื่องในวันนั้นเลยเพราะนั้นเป็นการทะเลาะกับครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดของเราเราเรียน.ปลายแน่นอนว่ายังคงทำงานอยู่จนช่วงม.5แม่เราป่วยทางบ้านเราอยากให้เราลาออกแล้วช่วยกันหาเงินรักษาแม่ เราเครียดมากเครียดมากๆเราไม่อยากลาออกเราเลยไปโรงพยาบาลถามหมอว่าแม่เราเป็นอย่างไรหมอบอกว่ารักษาได้แต่ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเราคิดหาทางออกตลอดเวลาช่วงนั้นเราเครียดจนนอนไม่หลับเราตระเวณหางานพิเศษเพิ่มจากที่ทำแค่เสาร์อาทิตย์เราก็เพิ่มช่วงเย็นแล้วก็ช่วงค่ำฟังดูงงๆใช่มั้ยค่ะ
8:00-16:00
18:00-20:00
21:00-3:00
ช่วงนั้นเราต้องจัดการเวลาทุกอย่างให้รอบคอบที่สุดไม่ให้กระทบกับการเรียนรายได้ก็เอาไม่สมทบกับพี่ๆเพื่อรักษาแม่
ฟังจนถึงตอนนี้คงคิดว่าเราหัวรั้นมากใช่ป่ะ เรายอมรับนะแต่ตอนนั้นเราคิดเรื่องนี้หลายรอบมากมันเหมือนอุดมการเรายิ่งใหญ่มากเราแบบเราไม่อยากเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไป เราทำงานแบบทรมานตัวเองแบบนั้นจนแม่หายป่วยอยู่ประมาณ1ปี สำหรับเรามันทรมานมากเรามีอาการของเครียดเรื้อรัง เราร้องไห้ทุกคืน เพราะเราคิดว่ามันเหนื่อยมากแค่เราอยากเรียนทำไมอุปสรรคมันเยอะมากมายขนาดนี้
บอกเลยว่าช่วงนั้นเรามีความคิดฆ่าตัวตายตลอดแต่มันติดที่ว่าครอบครัวเราแม่ที่ป่วยเรายังทิ้งไม่ได้เรายังต้องอยู่
ถ้ามีใครสงสัยว่ามันเหนื่อยขนาดไหนก็ให้คิดดูว่าเวลานอนไม่กี่ชั่วโมงกับต้องเรียนต้องทำงานทั้งวัน+ความเครียดทุกวันเป็นเวลา1ปีถ้าถามว่ามันเครียดขนาดคิดฆ่าตัวตายเลยหรอบอกเลยว่ามันเหนื่อยมันมีเหมือนด้านมืดที่คอยบอกว่าทำไมต้องสู้ขนาดนี้เหนื่อยมากใช่มั้ยถ้าตายไปก็ไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องทะเลาะไม่ต้องดิ้นรนคิดแค่ว่าอยากพักอยากทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้เบื้องหลังคิดแบบนี้จริงๆ
แต่ทุกอย่างมันคอยเตือนใจเราไว้ไม่ให้ทำ
จนเราผ่านช่วงนั้นมาได้ ช่วงนี้มันเหนื่อยกายมากนะแต่ช่วงม.6เนี่ยสุดจริง
พอม.6เราก็เลือกรับงานพยายามอ่านหนังสือให้มากๆเพราะสอบเยอะเราทำงานเก็บเงินก้อนแบบประหยัดสุดๆเพื่อจะเรียนต่อ แต่มันก็อยู่ในช่วงที่ครอบครัวเราอยากมีกิจการของตัวเองเหมือนกันแม่เราเริ่มขอเงินทีละก้อนๆเราพยายามบอกแม่นะว่าเงินก้อนนี้เราจะเอาไปเรียนต่อแต่ทุกครั้งมันจะกลายเป็นว่าทะเลาะกันตลอดจนสุดท้ายเงินก้อนนั้นก็หมดช่วงนั้นเรานอนไม่หลับ, เราเครียด, เราอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง, ที่หนักสุดคือเรากินอะไรไม่ได้เลยและเราร้องไห้ทุกคืนมันแย่ลงเรื่อยๆเราเริ่มเป็นคนอารมณ์โกรธโมโหร้ายขึ้นหงุดหงิดง่ายเราไม่อยากทำอะไรเลยเราจินตนาการภาพฆ่าตัวตายเยอะมากและวันนั้นวันที่เราตัดสินใจทำก็เกิดขึ้นวันนั้นเราไม่ไปโรงเรียนอันที่จริงเราเริ่มไม่ไปเรียนมาสักพักแล้วเพราะเราไม่อยากไปไม่อยากเจอใครไม่อยากทำอะไรเลยนอกจาก...
เราจำวันนั้นได้ดีวันนั้นฟ้ามันก็ครึ้มเหมือนทุกวันไม่มีลมพัดมีเสียงรถยนต์ที่น่าหนวกหูดังไปหมดมีเสียงจิตใต้สำนึกที่บอกว่าเหนื่อยพอแล้วพอสักที เรามองไปรอบห้องที่รกข้าวของกระจัดกระจายของเราแต่เราเห็นไม่รู้นะปกติเราก็ไม่ค่อยสนใจมันหรอกแต่วันนั้นรู้สึกดีใจที่เจอมันใจมันเต้นรัวๆตอนที่เราเอื้อมไปหยิบคัตเตอร์ที่อยู่บนพื้นห้องตอนนั้นเราไม่สนใจอะไรแล้วใจเรามันบอกแค่ว่าอยากพักมากเหนื่อยแล้วพอได้แล้วคำพวกนี้วนเวียนในหัวเราตลอดเราค่อยๆรูดคมคัตเตอร์ให้มันยาวที่สุดแล้วก็ค่อยๆกดมันลงบนข้อมือเรามันเจ็บจี๊ดๆพร้อมกับคัตเตอร์ที่กรีดเนื้อเราเลือดค่อยๆไหลออกมามันรู้สึกดีมากมันเป็นภาพที่สวยงามมากๆความเจ็บของเราหายไปมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดีเรามองเลือดเราค่อยๆหยดลงบนพื้นห้องหยอดที่ตกลงพื้นแล้วแตกกระจายมันเป็นภาพที่สวยงามมากแล้วเราก็รู้สึกว่าเอาอีกอยากเห็นอีกเราคิดแค่นั้นจริงๆครั้งที่2เราเลือกตรงแขนเราค่อยๆกดมันให้ลึกกว่าเดิมแล้วก็คาคัตเตอร์ไว้อย่างงั้นเลือดมันไหลออกมาเร็วมากๆจนพื้นที่เรานั่งอยู่มีแต่เลือดเต็มไปหมดกลิ่นเลือดมันแตะจมูกในอากาศสุดยอดไปเลยเรารู้สึกดีมากแต่ก็คงดีได้แค่นั้นเสียงเคาะประตูดังมากเราไม่รู้ว่าใครมาแล้วเคาะมานานเท่าไหร่แล้วเรารีบดึงคัตเตอร์ออกเอาเสื้อพันแขนแล้วดึงผ้าห่มมาปิดรอยเลือดที่พื้นแต่เรากลับลืมเปลี่ยนกางเกง
เราไปเปิดประตูเรารู้สึกตกใจเพราะคนที่มาเคาะคือครูที่ปรึกษาของเราเขาหน้าตาเครียดมากและตกใจที่เจอเราในสภาพนั้นเขาตะคอกถามว่าเราทำอะไรแต่ตอนนั้นเราไม่พูดอะไรออกไปเลยเขาพาเราไปโรงพยาบาลทันทีระหว่างทางครูก็ร้องไห้ไปด้วยเราก็งงว่าครูเป็นอะไรพอถึงโรงพยาบาลแน่นอนว่าเรื่องโกลาหลมากคงพอจะเดาได้นะเราถูกนำตัวไปทำแผลเย็บแผลแล้วก็บลาๆจากนั้นก็ถูกส่งตัวไปหาหมอจิต แน่นอนว่าเราต้องรักษาตัวอยู่พักใหญ่ๆเราเป็นโรคซึมเศร้า
จนวันที่เราได้กลับอ้อครอบครัวเราไม่รู้เรื่องนี้นะเพราะเขาไม่ได้อยู่บ้านเดิมกันแล้วไม่มีใครติดต่อครอบครัวเราได้เลย
เราได้กลับบ้านจริงแต่เราก็ยังต้องไปหาหมอทุกเดือนเราก็ยังคงเรียนไปทำงานไปแหละแต่ก็พยายามรักตัวเองให้มากขึ้น
หลายคนคงตั้งคำถามว่าความเครียดทำให้เราเป็นได้ขนาดนั้นเลยหรอ???
เราจะอธิบายให้ฟังนะ
สำหรับคนอย่างเราที่ต้องทำงานตั้งแต่เด็กไม่มีเวลาเล่นไม่ได้ใช้ไม่ได้กินของดีๆอย่างใครเขาอาจดูเหมือนพวกเราเข้มแข็งนะแต่พวกเราก็คนเราเหนื่อยเราร้องไห้เราสู้เพื่อเป้าหมายเพื่อสิ่งที่ฝัน บ่อยครั้งที่เราอิจฉาคนที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรเลย ไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องเครียดมันน่าอิจฉามากนะเมื่อเทียบกับตัวเราที่กว่าจะได้เงินแต่ละบาทมามันไม่ง่ายเลย เรามีเพื่อนที่มีฐานะอยู่หลายคนนะบางคนนี่ไม่อยากเรียนเลยมีหลายคนด้วยซ้ำที่พ่อแม่ต้องจ้างเรียน ได้แต่บอกในใจว่าทำไมไม่ใช่กู ก็เข้าใจแหละว่าต้นทุนเราไม่เหมือนกันก็รู้แหละว่าต้องรับความจริงก็รู้แหละว่าต้องอดทนพยายามเพื่อให้ได้เป้าหมายเดียวกันมา
เราอดทนมามากจนตอนนี้เราจะจบมหาลัยแล้วนะ☺️
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของเจ้าของกระทู้นะแค่อยากแชร์ประสบการณ์เรียนไปทำงานไป
ส่วนใครที่เป็นนักสู้เหมือนเราก็ขอให้ถึงเป้าหมายเร็วๆนะเป็นกำลังใจให้นักสู้ชีวิตทุกคนนะ