ส่วนตัวเชฟนั้นทางร้านได้ดึงตัว Vincent Thierry อดีตเอ็กคลูซีฟเชฟ ผู้ปลุกปั้นร้าน Caprice ในฮ่องกง ขึ้นเป็นร้านร้านมิชลินสตาร์สามดาว นอกจากนี้เชฟวินเซนต์เคยทำงานกับเชฟชื่อดังหลายท่าน ที่คุ้นหูกันก็คงจะเป็น ร้าน La Cote Saint Jacques ของ Jean Michel Lorain หรือ Le Cinq ที่ปารีส
[CR] รีวิว : บอสพาชิม Chef Table at Le Bua ความทะเยอทะยานสู่มิชลินสตาร์ (Bangkok,Thailand)
วันนี้เราจะมารีวิวร้านเชฟเทเบิ้ลที่เลอบัว ซึ่งนับเป็นปรากฏการใหม่ของร้านอาหารในเมืองไทย โดยทางร้านต้องการที่จะมีส่วนยกระดับมาตราฐานร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งในบ้านเราขึ้นสูงไปอีกระดับ โดยงานนี้เรียกว่าทางเลอบัวทุ่มสุดตัว ใส่ใจในทุกรายละเอียดกันเลยทีเดียว
อย่างเเรกเริ่มจากครัวก่อน ครัวนี้เป็นครัวที่เรียกว่าหรูหราที่สุดในไทยครัวหนึ่งก็ไม่ผิดนัก จากการคัดสรรค์หินอ่อนคาเรร่ามาประดับประดาครัวเปิดเเห่งนี้ ส่วนเตาในร้านก็ยังอิมพอร์ตเตาเเบรนด์ Molteniมาจากฟรั่งเศส โดยเตาเเบรนด์นี้ได้รับการยอมรับว่าหนึ่งในเตาที่ดีเเละเเพงที่สุดในโลกก็ถูกนำมาใช้อย่างไม่เสียดายเงิน โดยเเค่ค่าเตาอย่างเดียวก็คิดเป็นเงินไทยก็หลายล้านบาทเเล้ว
ส่วนตัวเชฟนั้นทางร้านได้ดึงตัว Vincent Thierry อดีตเอ็กคลูซีฟเชฟ ผู้ปลุกปั้นร้าน Caprice ในฮ่องกง ขึ้นเป็นร้านร้านมิชลินสตาร์สามดาว นอกจากนี้เชฟวินเซนต์เคยทำงานกับเชฟชื่อดังหลายท่าน ที่คุ้นหูกันก็คงจะเป็น ร้าน La Cote Saint Jacques ของ Jean Michel Lorain หรือ Le Cinq ที่ปารีส
สำหรับสต็าฟนั้น ทางเลอบัวก็ทุ่มเต็มที่อย่างไม่เสียดาย จนผู้รวมโต๊ะผมถึงกับหลุดออกมาว่าเขาใช้คนถึง100คนในร้านอาหารนี้เลยไหมนี่ ตั้งเเต่พนักงานต้อนรับจากลิพท์ด้านล่าง ลิฟท์ด้านบน รีเซอร์เวชั่นหน้าร้าน บริกรประจำโต๊ะ ซอมเมอร์ริเย่ เเละอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าหรูหราสุดๆ เเละก็ยังรู้สึกพิเศษทุกครั้งเมื่อมารับประทานอาหารที่ Le Bua
ด้วยการลงทุนลงเเรงขนาดนี้เเต่ทว่าทางร้านกลับมีที่นั่งเพียง46ที่เท่านั้น อาจเป็นเพราะทางร้านอยากให้เเขกได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในค่ำคืนนั้น
สำหรับประสบการณ์ของผมที่ Chef table นั้นยอดเยี่ยมมากๆ หลักจากได้รับการต้อนรับจากพนักงานด้านหน้าร้าน พนักงานก็จะนำเราก็เดินอีกนิดนึงไปยังมุมเเชมเปญเเละตู้ไวน์ด้านหน้า ที่เราจะได้รับcomplimentary champagne จากซอมเมอร์ริเย่สาวสวยผู้ซึ่งมีความรู้ยอดเยี่ยมไม่เเพ้หน้าตา
หลังจากนั้นทางพนักงานก็ถามเราอย่างสุภาพว่า เราสามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มต้นมื้ออาหารเลยหรือว่าจะออกไปยืนรับชมวิวด้านนอก น้องพนักงานยังแนะนำเพิ่มเติมว่าวิวพระอาทิตย์ตกที่เลอบัวนั้นสวยงามมากเป็นไปได้อยากให้ลูกค้ามากันเร็วๆหน่อยเพราะปกติมากันก็มืดเเล้ว เเต่อย่างไรก็ตามวิวกรุงเทพในยามค่ำคืนจากตึกเลอบัวนั้นก็สุดยอดเช่นกัน
เมื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างเต็มที่เเล้วเราก็ได้รับการนำทางไปยังโต๊ะที่ได้รับการจัดเตรียมไว้ ในทันทีที่เรานั่งบริกรประจำโต๊ะก็จะมาเเนะนำตัวพร้อมทั้งเเนะนำเมนู
เมนูของทางร้านมีเเต่เพียง selective choice menu (7900++) เจ็ดคอร์ส พร้อมออฟชั่นเสริมไวน์เเพริ่งที่เราจะเลือกได้ว่าเป็นไวน์ธรรมดาหรือพรีเมี่ยม เเต่ทางน้องพนักงานได้กระซิบผมว่า Pink Bar Champagne louge ด้านข้างก็เสริฟ์ canape ฝีมือเชฟวินเซนต์ด้วยเช่นกัน เป็นอีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจสำหรับผู้ไม่อยากทาน sitdown dinner
ส่วนการบริการของสต๊าฟเเห่งห้องอาหารเชฟเทเบิ้ลนั้นมีความเป็นมืออาชีพมาก เเละชวนให้รู้สึกพิเศษไม่ว่าจะกี่ครั้งที่มาเยี่ยม การรับมือเเขกมีปัญหาโต๊ะข้างๆผมเป็นไปด้วยความละมุนละม่อมเเละมืออาชีพ ซึ่งผมชื่นชมจากใจริง
สำหรับเมนูอาหารจะมีอะไรบ้างไปชมจากรูปได้เลยครับ
มื้ออาหารของเราจะเริ่มต้นด้วย Canape คำเเรกเป็นพานาคอตต้าดอกกะหล่ำตะไคร้กับกุ้งคาราบิเนโร่ คำนี้ผมชอบความนัวๆของพานาคอตต้าดอกะหล่ำที่มีกลิ่นตะไคร้สดชื่นแทรก คำนี้ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีกเมื่อจับคู่กับกุ้งคาราบิเนโร่ที่มีรสเค็มเผ็ดหวาน
คำต่อมาเป็นคำอีกคำที่ผมทึ่งสุดๆ กับขนมปังขิงและเทอรีนโฟรกราตบเเต่งด้วยหัวราดิสขาวเเละเเดง ขนมปังขิงที่กรอบกำลังดีนั้นเข้ากับเทอรีนโฟรกราที่ไม่เลี่ยนมัน รสเข้มข้นได้อย่างยอดเยี่ยม กลิ่นของหัวราดิสนั้นตัวความเลี่ยนได้อย่างน่าทึ่ง ยอดเยี่ยมเเละลงตัวมากๆครับ
คำสุดท้ายเป็นพาเมซานชีสเเครกเกอร์กับเฟรซกรีนบีนเเละทารากอนมูส รสเค็มของชีสเครกเกอร์เข้ากับความหวานจากถั่วอย่างกลมกล่อม รสมันหอมเย็นจากมูสทารากอนช่วยเพิ่มมิติให้กับคำนี้อย่างน่าสนใจ
ขนมปังของร้านนั้นอบสดใหม่โดยจะเสริฟ์มาในชามหินอบเพื่อรักษาอุณหภูมิของขนมปัง ตรงนี้เเสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดของทางร้าน ขนมปังมีให้เราเลือกสองชนิดโดยเป็นซอฟโรลที่อร่อยมากๆจนไม่น่าเรียกว่าซอฟโรลเลยครับเนื้อเนียนนุ่มมากๆ ควรเผื่อท้องเผื่อลองสักนิด กับอีกอย่างเป็นเฟรซบาร์เเกตที่กินเเล้วเหมือนกับร้านดีๆในฟรั่งเศสทีเดียว
ส่วนเนยนั้นก็พิเศษไม่เเพ้กันเป็นเนยโฮมเมดจากนมออเกนิคที่ได้มาจากสหกรณ์การเกษตรที่เขาใหญ่ ซึ่งรวบรวมนมจากผู้ผลิตรายย่อยๆกว่า27เเห่ง
มาถึงจานเเรก Signatureของเชฟที่ไม่ควรพลาดอย่าง Kingcrab Tiramisu ที่ขอบอกว่าอร่อยมาก รสเผ็ดร้อนของเครื่องเทศอินเดียtandooriเข้ากับความหวานอมเปรี้ยวของผลไม้สับได้อย่างลงตัวไม่น่าเชื่อ รสเปรี้ยวหวานเผ็ดเล็กๆนั้นช่วยขับรสของเนื้อปูได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวมาสคาโปนชีสช่วยผสมผสานส่วนประกอบต่างให้เข้ากันได้อย่างนุ่มนวล ยอดเยี่ยมมากๆครับ
จานนี้คือ เคลย์ฟิช แม้เรียกว่าปลาเเต่มันคือเนื้อกุ้งชนิดนึงครับ มากับแป้งลาซาญญ่าสวีทเบรดเเละอิลมูชั่นจากหอยนานาชนิด ตัวเคลยฟิชปรุงมาได้กำลังดีเนื้อกรอบเด้งหวานมากๆ ถ้าคุณเคยกินเคลย์ฟิชที่เหนียวเเข็งมาก่อนที่นี้จะเปลี่ยนความคิดคุณ รสหวานของเคลย์ฟิชถูกชูด้วยตัวอิลมูชั่นรสเข้มข้นจากหอยนานาชนิด น้ำมันเฟนเนลที่หยดมานิดนึงช่วยเพิ่มรสสดชื่นตัดเลี่ยนกับตัวอิลมูชั่นได้อย่างดี เป็นอีกจานที่ดูเรียบง่ายเเต่ทำออกมาได้เนี้ยบมากๆครับ
สำหรับคอร์สถัดไปที่ผมเลือกโฟรกราซึ่งมากับซิตรัสโมเสคเเละส้มโอกับซอสFondantแครอทสีเหลือง
ตัวโฟรกราย่างมาได้สุกกำลังดีตัวเนื้อไม่เละเเละให้มาในปริมาณค่อนข้างจุใจมา สิ่งที่น่าเซอรไพรส์ในจานนี้เลยคือรสส้มโอเเละซิตรัสโมเสก(ผักด้านบน)ที่ให้ความหวานนิดๆบวกกับความหอมจากซิตรัสและรสแฝงของขิงดับความเลี่ยนของโฟกราได้อย่างน่าทึ่งเเละสง่างามมากๆ
สำหรับบางท่านเช่นเพื่อนของผมนั้นอาจจะว่าตัวโฟรกรานั้นสุกน้อยไปนิดเพราะชอบผิวกรอบๆก็สามารถเเจ้งกับทางน้องบริกรได้เลยครับเป็นอีกจานที่ควรสั่งครับ
จานถัดไปผมเลือกปลาโซลจากนอร์มังดียัดไส้มะกอกดำ ทานคู่กับเจรูซาเรมอาติโช้คเเละซอสมาโจเเรม จานนี้ถือเป็นปลาโซลที่อร่อยที่สุดในชีวิตจานนึงก็ไม่ผิดนัก ตัวเนื้อปลาปรุงมาได้สุกอย่างไรที่ติมีความหวานชุ่มช่ำมากๆ ซึ่งยิ่งเด่นชัดเมื่อเรากัดไปเจอรสเค็มโดนๆของมะกอกดำที่ยัดไส้มาเมื่อแกล้มคู่กับเจรูซาเลมอาติโช้คเเล้วนะอย่าให้พูดเลยน้ำลายสอละ (รสของผักตัวนี้มีเอกลักษณ์มากๆบางคนอาจไม่ชอบได้ )
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น