วิเคราะห์และทำนายอนาคตการเมืองไทย

หลายคนอาจจะเลือกพรรคเพราะนโยบาย แต่แท้จริงแล้ว นโยบายของพรรคก็สะท้อนจริตของพรรค คนหลายคนก็อาจเลือกพรรคที่ตรงกับจริตหรือความคิดความชอบของตัวเอง การวิเคราะห์นี้ แบ่งคนออกตามความชอบ (แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันนะ)

วิเคราะห์การเมืองไทย ฉบับที่ 1

ช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของ กปปส. ประเทศของเราแบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน ฝ่ายแรกคือฝ่ายประชาธิปัตย์ และ กปปส. (ขอเรียกฝ่าย ก) และอีกฝ่ายคือ เพื่อไทย และ นปช. (ขอเรียกว่าฝ่าย ข) ซึ่งทั้งสองฝ่ายเป็นคู่ขัดแย้งกัน ต่อมาได้มีการรัฐประหารเกิดขึ้น กปปส. ถือว่าการทำรัฐประหารเป็นชัยชนะของฝ่ายตัวเอง

รัฐบาลทหารได้มีอำนาจมาเป็นเวลา ๕ ปีแล้วจนถึงปัจจุบัน มาถึงวันนี้ที่ไม่กี่วันจะถึงวันเลือกตั้งแล้ว คุณอภิสิทธิ์หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไม่สนับสนุนคุณประยุทธ เป็นรัฐบาล และไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจทุกรูปแบบ

การเมืองไทยจึงกลับไปคล้ายกับก่อนรัฐประหาร นั่นคือมีฝ่าย ก และฝ่าย ข แต่ในปัจจุบันฝ่าย ก นั้นประกอบด้วย ประชาธิปัตย์ พรรค พปชร และพรรคอื่น ๆ ที่มีที่มาจาก กปปส. ส่วนฝ่าย ข ขณะนี้ที่เห็นเด่นชัด คือ เพื่อไทย อนาคตใหม่ และพรรคอื่น ๆ ที่ชูประชาธิปไตย

วิเคราะห์ฝ่าย ก

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากความขัดแย้งเดิมคือ ก่อนหน้านี้ พรรคฝ่าย ก ก็มีแต่ประชาธิปัตย์ที่เป็นตัวหลัก ดังนั้นทั้งกลุ่มนักการเมือง และกลุ่มประชาชน ในฝ่าย ก ก็จะปะปนกัน โดยบางส่วนก็จะยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย แต่บางส่วนก็แค่อาศัยประชาธิปัตย์เป็นที่บ่มเพาะอำนาจที่อยู่นอกเหนือกฎหมายประชาธิปไตย นั่นคือ ในประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ จะมีทั้งคนที่ (1) ชอบประชาธิปไตย แต่ (2) ไม่ชอบทักษิณ (3)ไม่ชอบการโกง (ซึ่งประชาธิปัตย์มักชูเรื่องนี้ และใช้เรื่อง
นี้โจมตีอีกฝ่าย) (4) ไม่ชอบรัฐบาลที่มีอำนาจมาก (มักใช้คำว่าเผด็จการรัฐสภา) (5) นิยมระบอบอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เช่น เผด็จการ เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ฝ่าย ก และเลือกประชาธิปัตย์ แต่พอมาถึงวันนี้ มีพรรคที่แทนใจ ตรงใจตนเองมากกว่า ประชาธิปัตย์ก็จะเสียคะแนนตรงนี้ไป (โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้อ 5 ที่นิยมเผด็จการ เกลียดนักการเมือง)

สรุปคือ ประชาธิปัตย์อยู่ฝ่าย ก แต่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพราะทั้งกลุ่มนักการเมือง และกลุ่มประชาชนที่นิยมเผด็จการ ได้แตกหน่อออกไปเป็นพรรคใหม่แล้ว และเมื่อวันก่อนคุณอภิสิทธิ์ก็ได้ประกาศตัดหน่อแยกกอกลุ่มคนเหล่านั้นออก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ากลุ่มหน่อเหล่านั้น ไม่ปัง ไม่ได้รับความนิยม สุดท้ายกับจะกลับมาซบกับพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลได้

วิเคราะห์ฝ่าย ข 

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากความขัดแย้งเดิมคือ ก่อนหน้านี้ พรรคฝ่าย ข ก็มีแต่เพื่อไทยเป็นตัวหลัก ดังนั้นทั้งกลุ่มนักการเมือง และกลุ่มประขาชน ในฝ่าย ข ก็จะปะปนกัน นั่นคือ ในกลุ่มนักการเมืองและกลุ่มประชาชนที่เลือกพรรคฝ่ายนี้ จะมีทั้งคนที่ (1) ชอบประชาธิปไตย (2) ชอบทักษิณ (3) ชอบความยุติธรรม (เพราะมีความเห็นว่า การที่พรรคฝ่ายนี้โดนรัฐประหาร โดนทั้งยุบพรรค ฯลฯ เป็นความอยุติธรรม) (4) ยึดมั่นในกฎหมาย และความตรงไปตรงมาของกฎหมาย (5) อื่น ๆ เช่น ต้องการให้มีการกระจายอำนาจจากส่วนกลางมากขึ้น (ซึ่งคิดว่าฝั่งนี้ดูเข้ากันได้กับความคิดของตนเองมากกว่าถ้าเลือกเพื่อไทย) กลุ่มคนเหล่านี้จะเลือกเพื่อไทย แต่พอมาถึงวันนี้ มีพรรคที่แทนใจ ตรงใจตนเองมากกว่า เพื่อไทยก็จะเสียคะแนนตรงนี้ไป และการที่เพื่อไทยมีการลงแข่งโดยใช้กลยุทธ์ เช่น ส่ง สส. เพียง 250 เขต มีการชูแคนดิเดต 2 คน มีพรรคเล็กพรรคน้อย ทำให้มีความตรงไปตรงมาน้อยลง ความเข้มข้นน้อยลง เหล่านี้ยิ่งทำให้เพื่อไทยเสียคะแนนไปมาก

สรุปคือ เพื่อไทยอยู่ฝ่าย ข แต่มีความเป็นประชาธิปไตยน้อยลง เพราะมีพรรคการเมืองใหม่ไฟแรงที่ชูเรื่องประชาธิปไตยชัดเจนกว่า เข้มแข็งกว่า ดึงเอากลุ่มคนจำพวก (1), (3), (4), (5) ไป พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนจากกลุ่มคนที่เคยเลือกน้อยลงแน่นอน แต่จะน้อยลงเท่าไหร่ก็อยู่ที่ว่ากลุ่มคน (1), (3), (4), (5) คิดว่าพรรคจะส่งเสริมประชาธิปไตยได้แค่ไหน เพราะพรรคเพื่อไทยมักจะชูเรื่องนโยบายเศรษฐกิจมากกว่า คนที่จะเลือกเพื่อไทยต่อไปก็จะเป็นคนที่มีความคิดเห็นในเรื่องเศรษฐกิจว่าต้องการให้ดีขึ้น และให้เป็นประชาธิปไตยด้วย ส่วนคนที่ไม่เลือก มักมีความเห็นว่า เศรษฐกิจมันเป็นแค่ผลพวงที่ตามมา ถ้าเรายังแก้ปัญหาใหญ่ ๆ เช่นประชาธิปไตยหรือกฎหมายที่มีปัญหาไม่ได้ เรื่องอื่นมันก็ไม่รอด กลุ่มคนเหล่านี้จะหันไปเลือกพรรคอนาคตใหม่ ส่วนเรื่องทักษิณ กลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ชอบหรือเชิดชูแต่อาจจะชื่นชม แต่แน่นอนว่าไม่ได้เกลียด (เพราะถ้าเกลียด เขาจะอยู่ฝ่าย ก)

วิเคราะห์การเปลี่ยนฝ่ายของฝ่าย ก และฝ่าย ข 

จาก 2 หัวข้อก่อน ฝ่าย ก และฝ่าย ข จะมีการเคลื่อนไหว เฉพาะในฝ่ายของตัวเอง ประชาชนในฝ่าย ก และ ฝ่าย ข จะมีตัวเลือกที่ตรงใจตัวเองมากขึ้น แต่ก็จะมีเหมือนกันที่ประชาชนฝ่าย ก จะเปลี่ยนไปอยู่ฝ่าย ข หรือจากฝ่าย ข ไปอยู่ฝ่าย ก สำหรับก่อนที่คุณอภิสิทธิ์จะประกาศไม่เอา คุณประยุทธ และการสืบทอดอำนาจ กลุ่มคน ก ชนิดที่ (1), (3), (4) ถ้าเป็นชนิดนี้แบบจริงแท้ แบบเพียว ๆ ย่อมจะเปลี่ยนไปเป็นฝ่าย ข เนื่องจากฝ่าย ข มีความเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหารชัด เพราะที่ผ่านมารัฐบาลทหารมักถูกโจมตีถึงในเรื่องเหล่านี้ และพรรคฝ่าย ข บางพรรคก็เป็นตัวเลือกที่ไม่มีคำว่าทักษิณ​ (ประชาชนฝ่าย ก มักมีความเป็นคนชนิดที่ ก(2) เล็กน้อย) แต่พออภิสิทธ์ประกาศชัดไม่ให้รัฐบาลทหารสืบทอดอำนาจ กลุ่มคนเหล่านี้ที่เปลี่ยนจะมาฝ่าย ข ก็อาจจะเปลี่ยนใจกลับคืนไปฝ่าย ก ดังเดิม

สำหรับคนที่เปลี่ยนจากฝ่าย ข มาเป็นฝ่าย ก ก็อาจจะมีแต่คิดว่าน้อย กลุ่มที่จะเปลี่ยนคือ ข(1) คือ ชอบประชาธิปไตย แต่ปรากฎว่าประชาธิปไตยที่ฝ่าย ข ชนะ มักจบลงด้วยการยึดอำนาจ จึงต้องการเปลี่ยนไปอยู่ใน safe place คือประชาธิปัตย์ที่พอมาเป็นรัฐบาลแล้ว ไม่เห็นการรัฐประหาร ประเทศเป็นประชาธิปไตย (คิดว่าโอกาสน้อย)

วิเคราะห์เสียงที่ไม่เคยเลือกตั้ง 

ขอเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า กลุ่ม ค เป็นเสียงใหม่ ที่ไม่เคยเลือกตั้ง กลุ่มนี้จะเข้าไปอยู่ฝ่าย ก หรือฝ่าย ข เริ่มต้นขออนุมานว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ มักอยู่ในแวดวงโซเชี่ยล ซึ่ง จะมีทั้งคนที่ (1) ชอบประชาธิปไตย (2) ไม่ชอบรัฐบาลทหาร และไม่ชอบการปฏิวัติ (3) ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบหรือความไม่ยุติธรรม (4) ไม่ชอบการอยู่เหนือกฎหมาย (5) ต้องการเห็นประเทศหลุดจากความขัดแย้ง (6) ชอบคนรุ่นใหม่

สำหรับคนกลุ่มนี้สามารถไปได้ทั้ง ฝ่าย ก และฝ่าย ข แต่ถ้าจะไปฝ่าย ก ก็มักจะไปประชาธิปัตย์ ส่วนถ้าจะไปฝ่าย ข ก็มักจะไปอนาคตใหม่

วิเคราะห์อนาคต (เดาแบบใช้เซ้นส์)

พรรคที่มีคะแนน 2 อันดับแรกคือ ประชาธิปัตย์ที่กำเนิดใหม่จากประชาชนฝ่าย ก เก่า และ อนาคตใหม่ที่กำเนิดจากประชาชนฝ่าย ข เก่า และในอนาคตจะมีแค่ 2 พรรคนี้เท่านั้นที่ชิงกัน ผลัดกันแพ้ชนะ ถามว่าทำไมเพื่อไทยคะแนนไม่เท่าอนาคตใหม่ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกเพื่อไทยเพราะเห็นว่าเป็นประชาธิปไตย แต่พรรคไม่ได้ชูประชาธิปไตยเท่าที่ควร ต่างจากอนาคตใหม่ที่ชัดเจนในเรื่องของประชาธิปไตย และการกระจายอำนาจรัฐ และพรรคอนาคตใหม่ยังเป็นทางเลือกของคนที่เบื่อประชาธิปัตย์แต่ตะขิดตะขวงใจที่จะเลือกพรรคที่ได้ชื่อว่าพรรคทักษิณ (คนฝ่าย ก จะมีความเป็น ก(2) เล็ก ๆ ทุกคน) และนอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังลงสมัครแค่ 250 เขต ซึ่งคิดเป็นประมาณ 70% ของเขตทั้งหมด  เขตที่ไม่ได้ลงสมัครน่าจะเทให้อนาคตใหม่มากพอสมควร

ส่วนที่ว่าประชาธิปัตย์ทำไม่ถึงยังอยู่คงทน เพราะอย่างที่บอก ฝ่าย ก จำนวนมาก มีความเป็น ก(2) อยู่เยอะ และประชาธิปัตย์มีความเป็น safe place คือรู้สึกเป็นที่ปลอดภัย เนื่องจากคนจำนวนมากคิดว่าปัญหาเกิดจากการโกง และการเป็นเผด็จการ ซึ่งประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดไม่เอาทั้ง 2 อย่าง เชื่อว่าคนกลุ่ม ค ส่วนใหญ่เลือกอนาคตใหม่ รองลงมาเลือกประชาธิปัตย์ แต่ประชาธิปัตย์มีฐานเสียงที่ปักหลักมั่นคงอยู่เยอะ อยู่มานานกว่า ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้คะแนนของประชาธิปัตย์และ อนาคตใหม่จะสูสีกัน และเป็นพรรค 2 อันดับแรก

เป็นไปได้หรือไม่ที่ประชาธิปัตย์กับอนาคตใหม่จะร่วมรัฐบาลกัน 

หากเกิดขึ้น ผลเสียจะตกอยู่กับประชาธิปัตย์มากกว่า ดังนั้น ประชาธิปัตย์ไม่น่าจะยอมให้เกิดขึ้น

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงเยอะสุด ในบรรดาพรรคทั้งหมด พรรคในเครือข่าย ก จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ได้บริหารประเทศ แต่หากอนาคตใหม่ได้เสียงเยอะสุด ในบรรดาพรรคทั้งหมด พรรคในเครือข่าย ข จะสนับสนุนอนาคตใหม่ ทำให้ได้บริหารประเทศ

แล้วพรรคอื่นที่ไม่ใช่ ประชาธิปัตย์ และอนาคตใหม่ล่ะ
เพื่อไทยจะได้เป็นพรรคอันดับ 3 แต่ก็เยอะพอสมควร ส่วนพรรคอื่น ๆ จะได้คะแนนไม่ถึง 8%

จบการวิเคราะห์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่