เกมรักพิศวง 12... การตัดสินใจของเขา

กระทู้สนทนา
บทที่ 11
https://pantip.com/topic/38549263

             ข่มตาหลับและนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวในเกม ก่อนมีรอยยิ้มราวคนกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราอันรื่นรมย์...

------------------------


             คนมักจะพูดกันว่าวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ สักกะรู้ว่ามันไม่เป็นจริงเสมอไป โดยเฉพาะการหางานทำในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ทุกวันต้องกลับมาด้วยสีหน้าแววตาบ่งบอกความผิดหวังชัดเจน แต่ก็ไม่ลืมแวะซื้อวัตถุดิบในการทำอาหารมาด้วยทุกครั้ง ล่าสุดสวนทางคุณป้าคนคุ้นเคยก็จ้างให้แกช่วยดูแลบ้าน แม้จะเหนื่อยหน่ายก็ยังฝืนยิ้มให้กับคุณป้าเมื่อเดินสวนทางกันบริเวณหน้าปากซอย
    
             “เจ้าของบ้านเขาฝากทวงค่าเช่ามาด้วย”  คุณป้าบอกประโยคที่ไม่อยากได้ยินได้ฟัง ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำรับรู้ มือคลำกระเป๋าสตางค์ ยังพอมีเงินอยู่บ้างแต่ก็แบนแฟบลงไปจนทำเอาใจหาย ถ้ายังไม่มีงานทำ ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะหาเงินจากไหนมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เรื่องไปปล้นชิงวิ่งราวคนอื่นไม่เคยคิดจะทำ ไม่ใช่เพราะกลัวบาปกรรม แต่เป็นเพราะรู้ว่าไม่ควรจะทำอย่างนั้น มันขัดกับมโนธรรมและสามัญสำนึกของตัวเอง

             อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มพัฒนาฝีมือการทำอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ ชนิดไม่น่าเชื่อ นั่นเพราะพลังแห่งความรักความใส่ใจหรือพรสวรรค์กันแน่

             วันนี้หางานไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ยังมีเวลา หางานไม่ได้จนแห้งตายคาห้องพักก็ให้มันรู้ไป

             พยายามสลัดความคิดหนักอึ้งออกจากสมอง มีเรื่องสำคัญรออยู่  สิ่งแรกที่ทำคือเปิดคอมพิวเตอร์เล่มเกม อยากรู้ว่าสโรชินกลับมาหรือยัง
    
             เธอไม่อยู่ในห้องนั่งเล่น หายไปไหนนะ... ถ้ามาแล้วกำลังทำอะไรอยู่ บางทีเขาก็อยากแอบมองเธออย่างเงียบๆ แม้ว่าจะรู้สึกว่าตัวเองคล้ายพวกโรคจิตก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดไกลจนเลยเถิดไปกว่านั้น ก็แค่อยากเจอ...

             ลากเมาส์ไปวางหน้าประตูห้องนอน

             […ห้ามแอบมอง กรุณาใส่รหัสก่อนเปิดประตูห้อง…]

             ตัวหนังสือบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เต้นไหวระริกบนหน้าจอดำมืด ไม่สามารถทำให้หน้าจอมองเห็นในห้องนอนของสโรชินได้

             “เอ้ย!”  สักกะร้องเสียงหลงเบิกตาโพลง หมดโปรโมชั่นเล่นฟรี? ต้องจ่ายเงินเพื่อเปิดรหัสส่วนตัวหรือยังไง? ไอ้เกมบ้าพวกนี้ หลอกให้เล่นฟรีจนติดแล้วค่อยบังคับเก็บเงินอย่างนั้นเหรอ แกล้งกันชัดๆ เพราะปรกติเขาสามารถมองเห็นในห้องนอนเธอได้ แล้ววันนี้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา

             ไอ้บ้า... อย่ามาล้อเล่นกับความรู้สึกคนนะโว้ย   มือคว้าเก้าอี้หมับ ทำท่าขู่จะทุ่มใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่รักและหวงแหนนักหนา และดูท่ามันจะคำนวณไว้ล่วงหน้าเช่นกัน

             […ไม่ต้องมาแกล้งขู่ คุณไม่กล้าหรอก...]

             เกมดักทางได้ตามเคย มันรู้ว่าเป็นเพียงการตีหน้ายักษ์ขู่เท่านั้น

            [...โทรไปขออนุญาตเธอก่อน โทรฟรี ไม่เสียเงิน ถ้าเธออนุญาตไม่ต้องใช้รหัส...]

             “เอ่อ..”   สักกะเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ตัวเดิมด้วยความรู้สึกยอมแพ้  ไอ้เกมบ้านี่ มันกลายเป็นทั้งเพื่อน ทั้งที่ปรึกษา และยังกลายเป็นผู้ปกครองของสโรชินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำกับเขามากเกินไปนัก สักกะรีบยกหูโทรศัพท์กดเบอร์ยาวเหยียดที่ท่องจำได้ขึ้นใจ

             สโรชินรับโทรศัพท์ช้ากว่าปรกติ แต่ทันทีที่รับสายเธอกลายเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อน

             “กลับมาถึงบ้านแล้วเหรอคะ”

             วันนี้เสียงเธอสดใสกว่าปรกติ ส่วนเขาเองวันนี้มีแต่เรื่องไม่ปรกติเกิดขึ้นหลายอย่าง

            “คุณรู้ได้ยังไงครับ... ว่าเป็นผม”

             เสียงถอนหายใจละมุนละไมแว่วมาเหมือนลมพัด สโรชินตอบอย่างแช่มชื่น   “ถ้าเป็นคนอื่นก็แล้วไป ฉันจะรีบขอตัวและวางสาย ก่อนเขาจะถูกตัดสัญญาณโดยมือลึกลับ ที่ต้องโทรศัพท์มาเวลานี้ตลอด”

             น้ำเสียงร่าเริงของเธอเหมือนน้ำใสเย็นฉ่ำ รินรดกลางใจที่แห้งผากของเขาในเวลานี้ หน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏรูปหัวใจสีชมพูกระเด้งกระดอนไปมาบนกรอบสี่เหลี่ยม สักกะกัดฟันอย่างเจ็บใจที่ถูกตัวเกมจอมบงการตัวร้ายมาคอยล้อเลียน แสดงว่าเจ้าเกมมันก็คอยสังเกตการณ์พฤติกรรมของเขาและเธออยู่เช่นกันถึงได้เสนอหน้ามาก่อกวนกลางคัน ชายหนุ่มยกมือชี้หน้าจอ พูดแบบไม่ให้มีเสียง

             “ฉัน อยาก เตะ แก ไอ้ บ้า”

             […ช่วยด้วย...คนจะเตะเกม…]

             ข้อความกะพริบด้านบน หมายถึงเกมเข้าใจคำพูดแบบไม่มีเสียง หัวใจสีชมพูในจอเปลี่ยนเป็นรูปใบหน้าแสดงความตกใจกลัว แล้วลดขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนหายไปในที่สุด เขารู้ว่ามันไม่ได้กลัวอะไรหรอก เกมพิศวงก็มีอารมณ์ขันของมันเหมือนกันและจงใจมาก่อกวนประสาทมากกว่า  นอกจากการสื่อสารผ่านเสียง เกมดูเหมือนจะรู้ความเคลื่อนไหวของเขาด้วย

             “แล้วคุณเป็นอะไรไปคะ วันนี้ทำไมฟังเสียงเครียดๆจัง” เสียงของหญิงสาวแว่วดังข้างหู ทำให้ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนกับตัวเองที่เสียเวลาไปสนใจการล้อเลียนกวนใจของเกม

             “ผมเข้าเกมไปดูห้องคุณไม่ได้ เกมมันบอกว่า ผมต้องโทรมาขออนุญาตคุณก่อน” ชายหนุ่มกึ่งบอกกึ่งฟ้องขณะภายในใจนึกแช่งชักหักกระดูกเจ้าเกมผู้คอยมาก่อกวนเป็นระยะ คนจะคุยกันมาขัดจังหวะอยู่ได้

             “โอ... ตายจริง นี่เกมเข้าข้างฉันบ้างแล้ว” สโรชินว่าพลางหัวเราะคิกอย่างชอบใจ  “ว่าแต่คุณจะเข้าไปในห้องฉันทำไมคะ”

             “ก็...เอ่อ...ผมก็อยากตรวจดูความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้นครับ”

             “ไม่ต้องกังวลค่ะ ที่นี่ปลอดภัยดี”

              “เผื่อจะมีหนูหรือแมลงสาบยังไงครับ” เขายังไม่ยอมแพ้ แต่แล้วก็เห็นหญิงสาวทำท่าเหมือนหันมามองแล้วพูดด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

             “คุณว่าห้องฉันรกสกปรกหรือคะ จนมีแมลงสาบมีหนู”

             “ไม่..ไม่ใช่ แบบนั้นครับ”

             ไปผิดทางเสียแล้ว ชายหนุ่มใจหายวาบ รีบลุกขึ้นโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวันรากับว่ามีอีกฝ่ายมานั่งอยู่ข้างหน้า เพราะกังวลกับการแก้ตัวทำให้สะดุดกับเก้าอี้นั่ง เสียหลักหงายหลังล้มโครมลงไปกับพื้น ทำเอาต้องเผลอตัวร้องออกมาด้วยความตกใจ อาการชอบช้ำจากการถูกรถชนยังไม่ได้หายสนิทเสียเลยทีเดียว แต่มือขวายังกำโทรศัพท์แน่นไม่ปล่อยราวกับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต

             “คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ”  เสียงปลายสายบอกแววตกใจ คงได้ยินเสียงโครมครามและเสียงร้องของเขา

             “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ สะดุดล้มนิดหน่อยเท่านั้น”   ชายหนุ่มพยายามทำเสียงให้เป็นปรกติ รู้สึกว่าการคุยกับสโรชินโดยมองเห็นเธอฝ่ายเดียวก็มีข้อดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเธอคงเห็นสภาพอันน่าเขินอายให้แล้ว  เสียงดัง ปิ้บ...ปิ้บ...จากลำโพงเป็นสัญญาณบอกว่าเจ้าเกมพิศวงกำลังสื่อสารอยู่ พอลุกขึ้นตั้งหลักก็เห็นด้านบนของจอมีข้อความบนจอกะพริบ

             […ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ สะดุดล้มนิดหน่อยเท่านั้น…]

             ด้านล่างข้อความก็มีเจ้าหน้ากลมกำลังอ้าปากกว้างทำท่าหัวเราะอย่างขบขันสุดชีวิต ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าเกมมันกำลังหัวเราะล้อเลียนคำพูดอย่างสนุกสนาน มันสังเกตเห็นเขาทุกฝีก้าวเหมือนที่เขาติดตามดูชีวิตของสโรชิน  ชายหนุ่มเอามือชี้เจ้าหน้ากลมในจอ เค้นเสียงทีละคำ

             “ฝากไว้ก่อนเถอะแก”

             “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”  เสียงหวานใสแว่วดังเข้าหู น้ำเสียงมีแววกังวลห่วงใยอย่างสังเกตได้

             “ไม่มีอะไรครับ ผมไม่เป็นไร ว่าแต่คุณจะอนุญาตมั้ยครับ”

             “ได้ค่ะ แต่ขออีก ห้านาทีนะคะ ฉันอยากจะเตรียมอะไรบางอย่างก่อน เมื่อกี้ฉันทำมันร่วงตอนคุณโทรมา นึกว่าจะไม่ได้การเสียแล้ว”

             “ครับ...” สักกะถือหูรอโดยไม่วางสาย หันไปยักคิ้วให้จอคอมพิวเตอร์อย่างกวนในอารมณ์ พูดช้าๆแบบไม่ออกเสียงใส่อารมณ์เริงร่ากับเพื่อนตัวแสบอย่างผู้ชนะ

             ‘เ ธ อ อ นุ ญ า ต แ ล้ ว โ ว้ ย’

             คราวนี้ ไม่มีข้อความใดตอบกลับมา แต่ปรากฏเป็นรูปหน้ากลมแลบลิ้นล้อเลียนอย่างน่าเตะ ก่อนจางหายไป ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ กับการกวนประสาทของเกม อารมณ์เปลี่ยนจากหงุดหงิดให้เจ้าหน้ากลมมาเป็นอารมณ์ขันในที่สุด นึกในใจว่าบุคลิกภาพของมันมีหลายแบบ ทั้งจริงจังทั้งเล่นด้วย บางทีก็มีอารมณ์ขันแปลกๆ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต

             ห้านาทีตามคำขอไม่ขาดไม่เกิน ห้องของสโรชินปรากฏในหน้าจอ เจ้าตัวนั่งอมยิ้มอยู่บนเก้าอี้ เธอนั่งอยู่ริมโต๊ะอ่านหนังสือ บนโต๊ะเล็กๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีไหมพรมวางเรียงกันเจ็ดสี

             “คุณชอบสีอะไรคะ”

             “หือ...?”  สักกะชักงง นอกจากเจ้าเกมกวนประสาทแล้ว เธอยังจะมาไม้ไหนกับเขาอีก

             “ให้ดูบนโต๊ะค่ะ ไม่ใช่ให้ดูหน้าฉัน คุณชอบสีไหนที่วางเรียงไว้คะ”

             นั่น...รู้อีกว่ามีคนกำลังจ้องมองเธออยู่ สักกะยิ้มอายๆกับตัวเองทั้งที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอไม่สามารถมองเห็นเขาได้แน่นอน มองม้วนไหมพรมบนโต๊ะข้างหน้าของหญิงสาวเพียงครู่เดียวก็สังเกตได้ว่ามีการทำเครื่องหมายด้วยการปักเข็มหมุดไว้บนตัวไหมพรมในจำนวนไม่เท่ากัน เดาว่าเธอคงใช้แทนสีต่างๆ เพราะสายตามองไม่เห็น และคนที่ช่วยเหลือเธอในเรื่องนี้คงเป็นสาวแจ๋นคนนั้น  ด้วยความรั้น เขาตอบไปโดยเอาความคิดของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจสีที่เธอให้เลือก

             “สีขาวครับ” เขาคิดว่ามันน่าจะเข้ากับเธอที่สุด

             “มีที่ไหน... ฉันไม่ได้เลือกสีขาวมาค่ะ มันเปื้อนง่าย เดี๋ยวคุณจะใช้ไม่ทน อ้ะๆ อย่าเพิ่งถามอะไร ตอบมาก่อนว่าชอบสีไหน คราวนี้ตอบดีๆนะคะ”

             สักกะหน้าเจื่อน เบนสายตาไปมองไหมพรมอีกครั้ง สีต่างๆที่วางเรียงกันถอดแบบมาจากสีรุ้ง ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง และเธอไม่อยากให้เขาเลือกสีที่เปื้อนง่าย...

             “งั้น ผมเลือกสีน้ำเงินครับ”

            “โอเคค่ะ” สโรชินยิ้มกว้างกว่าเดิม   “ทีนี้ คุณบอกให้เกมซูมภาพมาที่มือฉันได้ไหมคะ”  

             สโรชินวางข้อศอกตั้งฉากกับโต๊ะหนังสือ ชูมือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ขึ้นบังใบหน้าของตัวเองไว้ สักกะซูมไปที่มือเล็กๆนั้นอย่างว่าง่าย แม้ว่าอยากจะซูมภาพดูใบหน้าเธอมากกว่า  “มา... เทียบมือกัน มือของคุณ ลองเทียบกับมือฉันดูนะคะ”

             เล่นอะไรของเธอ สักกะยิ้มพลางส่ายหน้า หลังจากจ้องมองพักหนึ่งจึงตอบอย่างมั่นใจ

             “เกือบสองเท่าของมือคุณได้มั้งครับ”

             “อะไร คุณเป็นยักษ์หรือเปล่าคะ ฉันหมายถึงความยาวของนิ้วนะ เอาแค่นิ้วชี้ของคุณก็ได้ ลองกะดูว่ายาวกว่าฉันสักกี่เซ็นต์คะ”

            “อ้อ...น่าจะสักเซ็นต์สองเซ็นต์ได้ครับ ผมคิดว่านะ”

             “โอ้โห... ขนาดนั้นเลย”

             “ก็มือคุณเล็กนี่ครับ นี่คุณ.. เอามือลงเสียที ผมอยากเห็นหน้าคุณมาตั้งแต่เช้า กว่าจะฝ่าด่านตั้งไม่รู้กี่ด่านมาเจอคุณได้ ก็มาชวนเล่นอะไรแผลงๆ อะไรก็ไม่รู้ ตกลงบอกผมได้หรือยัง ว่าคุณจะทำอะไร”

             สโรชินลดมือลง ใบหน้านั้นผุดรอยยิ้มของหญิงสาวที่ดูแจ่มใสและเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา

             “ฉันอยากจะทำถุงมือให้คุณสักคู่หนึ่งน่ะค่ะ ไว้เป็นถุงมืออุ่นๆ ตอนหน้าหนาว หรือไม่ก็เป็นฉนวนกันร้อนเวลาคุณทำกับข้าวก็ได้ ฉันอยากทำให้เป็นการขอบคุณ”

             “ขอบคุณผม? เรื่องอะไรครับ?”

             “ที่คุณคอยมาอยู่คุยเป็นเพื่อนฉัน ที่คุณ...ไม่รังเกียจฉัน…”

             “ผมจะรังเกียจคุณได้ยังไง โธ่...คุยกันมาตั้งนาน คุณไม่รู้เหรอครับ ว่าผม...เอ่อ...ผม...”

             สักกะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่านั่นมันคือความรู้สึก รัก ชอบ หรือหลงกันแน่ และถ้ามันใช่รัก น้ำหน้าอย่างเขา จะดูแลเธอได้สักเท่าไหร่ในโลกของความเป็นจริง



.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่